แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

อดอาหาร 
มัทธิว 6:1-6,16-18
    การอดอาหารเป็นพิธีสำคัญทางศาสนามาช้านานนับตั้งแต่สมัยพันธสัญญาเดิม ผู้คนอดอาหารเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ  เช่น  เพื่อเป็นหมายสำคัญแสดงการกลับใจต่อพระเจ้า  หรือเพื่อแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าก่อนตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต  แต่บางครั้งบางคนอาจใช้การอดอาหารเพื่ออวดตัวมากกว่ากลับใจจริง  พระเยซูจึงทรงตักเตือนเสมอว่า  การอดอาหารเพื่อการกลับใจหรือแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความจริงใจนั้น  ต้องเชื่อมโยงกับความรักของพระเจ้าและมนุษย์
พระเยซูทรงอดอาหารบ่อยๆ  แต่ไม่ได้ทรงสั่งให้พวกศิษย์อดอาหารเลยเพราะทรงปรารถนาให้พวกเขาเข้าใจว่าอดอาหารแท้จริงนั้นต้องทำด้วยใจสมัคร  มนุษย์ไม่สามารถบังคับให้ใครอดอาหารได้  ดังนั้นในเทศกาลมหาพรตซึ่งเป็นเวลาของการกลับใจ พระศาสนจักรจึงส่งเสริมให้เราปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรัก  เพราะว่าการหันกลับไปหาความรักของพระเจ้าและความรักต่อผู้อื่นคือการกลับใจ

    มหาพรตเป็นเวลาของการกลับใจ  มีบางคนคิดว่าเพียงแค่รู้สึกตัวว่าทำบาปก็เป็นการกลับใจแล้ว  การกลับใจไม่ใช่เพียงแต่รู้สึกสำนึกหรือเสียใจในความบาปของตนเองเท่านั้น  เพราะบางทีความเสียใจในบาปของตนอาจเป็นอุปสรรคทำให้พระคุณของพระเจ้าเข้ามาในจิตใจของเราไม่ได้ หลายครั้งหลายหนที่เรารู้สึกทุกข์ทรมานใจเพราะบาปผิดที่เราทำ  ทำไมความรู้สึกบาปจึงทำให้เราทุกข์ทรมาน  ทำไมเราไม่สามารถให้อภัยแก่คนอื่นได้  อาจจะเป็นเพราะว่าใจเรายังไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงให้อภัยบาปเราแล้วจริงๆ  เราต้องการรับการรับอภัยจากพระเยซู  แต่ขณะเดียวกันเรายังไม่ยอมปล่อยบาปของเรา  เรายังไม่ยอมแยกจากมัน  เหมือนเรากำลังยื่นมือขวาของเราออกไปทูลขอการยกโทษ  แต่ขณะเดียวกันมือซ้ายก็ยังคงยึดบาปไว้  อิทธิพลของบาปแรกคือความไม่เชื่อฟังยังอยู่ในเรา  ทั้งๆที่พระเยซูตรัสว่าให้อภัยแก่ท่านเสมอ  แต่ดูเหมือนว่าตัวเรายังไม่ยอมเชื่อ  ถ้าเรายอมรับการอภัยของพระเจ้าจริงๆ  เราจะต้องอภัยให้คนอื่นได้ด้วย
    นักบุญกาธารีนา กลุ้มใจและเป็นทุกข์เนื่องด้วยบาปของตนเอง  จึงสวดภาวนาถามพระเยซูว่า ทำไมพระองค์ทรมานเธอด้วยความคิดที่เป็นบาปอย่างนั้น  พระเยซูตรัสถามว่าตัวเธอยินดีด้วยความคิดที่เป็นบาปนั้นหรือเปล่า  เธอตอบว่า  เปล่าและรังเกียจความคิดที่มีอยู่นั้นมาก  พระเยซูจึงตรัสกับเธอว่า การรังเกียจความคิดสกปรกเช่นนั้นเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าพระองค์ทรงอยู่กับเธอ  การรับความทุกข์ทรมานจากบาปเป็นสัญลักษณ์ของการทรงสถิตอยู่  ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยความเห็นแก่ตัว  เราคงจะไม่รู้สึกถึงบาปในตัวเรา
    เปาโลกล่าวว่า ในจิตใจเรามีอำนาจอยู่ 2 แบบ  อำนาจหนึ่งคืออยากดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซู  แต่อีกอำนาจหนึ่งคืออำนาจของความชั่ว  เปาโล กลุ้มใจและเห็นว่าตนเองเป็นคนน่าสมเพชเหลือเกิน
    อย่างไรก็ตามเราต้องรู้ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้อภัยเราก่อนที่เราจะขออภัยต่อพระองค์เสียอีก  เมื่อทรงกลับคืนชีพแล้ว  พระเยซูเสด็จไปพบอัครสาวกอย่างไร หรืออัครสาวกไม่ได้เป็นฝ่ายแสวงหาพระองค์ พระเยซูผู้ทรงถูกทรยศต่างหากที่แสวงหาพวกเขา  บรรดาอัครสาวกผู้ทรยศคงจะไม่เชื่อว่าทรงอภัยให้พวกตน  แต่พระเยซูเสด็จตามเขาไปจนถึงที่ๆ พวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่  และตรัสกับพวกเขาว่า  เราให้สันติสุขแก่ท่าน
    การได้รับรู้ว่าพระเยซูทรงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้อภัยแก่เรานี้เองคือจุดเริ่มต้นของการกลับใจ  ถ้าเราตระหนักดีถึงเรื่องนี้  เราก็สามารถให้อภัยผู้อื่นได้  เราไม่สามารถหยั่งรู้ใจใครได้แต่เรารู้ใจของเราเองดี  เพราะฉะนั้นเราต้องถามใจของเราดูเองว่าเรายอมรับยอมเชื่อจริงๆ  หรือเปล่าว่าพระเยซูทรงอภัยให้เราแล้ว
    เราต้องสวดภาวนาว่า  ถ้าพระเยซูปรารถนาให้เราให้อภัยคนอื่น ขอทรงโปรดประทานพระคุณให้เราสามารถอภัยให้คนอื่นได้  และด้วยกำลังของตัวเราเองเราไม่สามารถทำได้  ยิ่งพยายามดูเหมือนว่าเรายิ่งจมลึกลงไปในบาป  ขอพระเยซูโปรดประทานพระคุณแก่เราด้วย
อย่าลืมว่าถ้าเราไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงอภัยบาปในอดีตของเราให้เราจนหมดสิ้นแล้ว  เราก็จะให้อภัยคนอื่นไม่ได้  และความคิดที่ว่าเราทำทุกสิ่งด้วยตัวเองได้นั้นเป็นอุปสรรคขัดขวางพระคุณและพระพรของพระเจ้า