ลักษณะพิเศษของความรัก
1 โครินธ์ 13:4-13
ความรักเรียกร้องความอดทนเป็นประการแรก เพราะพระเจ้าทรงอดทนกับเราก่อน (2ปต.3:9,15) กริ้วช้า และอุดมด้วยความรักมั่นคง (สดด.103:8)พระเยซูเจ้าทรงแสดงความเพียนอดทนที่ยาวนาน(1ทธ1:16)
ประการที่ 2 คือความมีใจเอื้อเฟื้อ ความรักไม่ใช่ความสัมพันธ์ทางเดียว แต่เป็นความสัมพันธุ์แบบมีผู้ให้และผู้รับ ถ้าการให้คนอื่นคือ ความรัก การรับจากผู้อื่นก็นเป็นความรักเช่นเดียวกัน
ประการที่ 3 ไม่อิจฉา ทุกบาปเริ่มจากความอิจฉา ความตายเข้ามาในโลกโดยความอิจฉาของมาร (ปชญ.2:24; มธ.27:18; ยก.3:16) ความอิจฉาริษยาทำให้เกิดความวุ่นวาย เกิดจากการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ถ้าดีกว่าก็เย่อหยิ่ง ถ้าแย่กว่าก็น้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกเราต้องเข้าใจว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ต่างกัน ถ้าทุกคนเหมือนกันหมดโลกนี้คงน่าเบื่อ มองให้เห็นได้ว่าความแตกต่างเป็นเรื่องธรรมดา เขามีสิ่งที่เราไม่มีขณะเดียวกัน เรามีสิ่งที่เขาไม่มีใช้ความแตกต่างทำให้เกิดประโยชน์ต่อกันและกัน ความอิจฉาริษยาเกิดขึ้นเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกันกับคนอื่นและเราก็หนีการอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้
ประการที่ 4 ไม่โอ้อวดตนเอง (อฟ.2:9) การโอ้อวดตนเอง บางครั้งเป็นสาเหตุของความอิจฉา นักบุญเปาโลจึงสอนให้เราโอ้อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า (2.คร10:17, 11:30) และตัวท่านเองโอ้อวดความอ่อนแอของตนเอง (2คร.12:6) ท่านมิให้คนอื่นตีราคาเกินกว่าที่เป็น (ยก.3:16)
ประการที่ 5 คือไม่จองหองอวดดี หยิ่งผยอง ในสิ่งที่ตนมีซึ่งไม่นานก็จางหายไปเหมือนควัน (ยก.4:13-16)
ประการที่ 6 คือ ไม่หยาบคาย หมายถึงทำให้คนอื่นอับอาย เสียหน้า ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ประการที่ 7 ไม่เห็นแก่ตัว พระเยซูทรงดำเนินชีวิตเพื่อคนอื่นไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง การมีชีวิตอยู่กับคนอื่นของพระองค์คืออยู่เพื่อคนอื่น พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ด้วยเหตุนี้ คนที่ดำเนินชีวิตเพื่อตนเองทำให้คุณค่าความเป็นมนุษย์หายไป
ประการที่ 8 คือไม่ฉุนเฉียว มนุษย์โกรธได้ แต่ต้องไม่ทำบาป และหายโกรธก่อนพระอาทิตย์ตกดิน (รม.12:19; อฟ.4:26; ยก.1:19-20)
ประการที่ 9 คือ การจดจำความผิดที่ได้รับ หรือพูดง่ายๆคือความแค้น การเก็บความแค้นไว้เป็นผลให้มีการแก้แค้น และเกิดการแก้แค้นต่อเนื่องไปเรื่อยๆไม่รู้จักจบ ความอิจฉาริษยาไม่ทำให้เกิดความสุขได้ฉันใด ความแค้นและการแก้แค้นก็เป็นเช่นนั้น จำไว้เสมอว่าพระเจ้าพระเจ้าเท่ามีสิทธิ์อันชอบธรรมในการแก้แค้น ไม่ใช่ตัวเรา
ประการที่ 10 คือไม่ยินดีในความชั่ว เราดูคาวมหมายของข้อนี้ได้จาก มัทธิว 5 ซึ่งพระเยซูตรัสสอนเรื่อง ผู้เป็นสุข การยินดีในความชั่วคือ การยินดีในความทุกข์ทรมานของผู้อื่น ถ้าเราแก้แค้นคนอื่นแล้วรู้สึกสะใจ นั่นหมายความว่า เรายินดีที่เห็นคนอื่นทุกข์ทรมานเจ็บป่วยเหมือนกัน
ประการที่ 11 คือ การร่วมยินดีในความถูกต้อง (รม.12:15) นักบุญเปาโลสอนเราให้ยินดีกับผู้ที่ยินดี และร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ หมายความว่าเราต้องเดินไปกับทุกคน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา ไม่ใช่กับคนที่เรารักเท่านั้นแต่เป็นทุกคน โดยเฉพาะคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา
ประการที่ 12-15 คือ ถ้าเราปรารถนาให้คนบาปกลับใจ เราต้องอภัย ขณะเดียวกันต้องมีความเชื่อมีความหวังและอดทน พระเยซูเจ้าเองต้องอดทนต่อเราเป็นที่สุดในทุกๆด้าน โดยเฉพาะการกลับใจของเราที่เป็นคนบาป จนถึงที่สุด จนถึงวาระสุดท้าย เราก็เช่นเดียวกัน ต้องอภัย เชื่อ หวัง และอดทนต่อคนบาป ถ้าเราปรารถนาให้เขากลับใจต้องอภัยทุกอย่างแก่เขา แต่บางทีถ้าทำไม่ได้ เราก็ต้องเชื่อว่ามีวันหนึ่งที่เขากลับใจ และต้องเชื่อไปถึงที่สุดด้วย เพราะพระเจ้าเองทรงอดทนต่อเราจนถึงที่สุดเหมือนกัน
ความรักทำให้เกิดความรักต่อไปอีก ถ้าเรารู้จักความรักสักครั้งหนึ่งเราก็จะอยากรู้จักความรักต่อไปอีก เพราะเหตุนี้เอง พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า ผู้หิวกระหายความชอบธรรมย่อมเป็นสุข เพราะเขาอิ่ม ถ้าเราอยากรู้จักความรัก อยากได้ความรัก ทางเดียวก็คือ เราต้องให้ความรักที่เรารับมาแล้วจากพระเจ้าแก่คนอื่นต่อไปก่อน ต้องรักตลอดชีวิตของเรา หยุดรักไม่ได้ คนที่รู้จักรักแล้ว ก็จะต้องการความรักตลอดชีวิต และเขาจะเป็นสุขเพราะได้รับความชอบธรรมด้วย
ที่มา: หนังสือชีวิตนิรันดร