ถิ่นทุรกันดารของจิตใจ
ลูกา 1:5-25
เรื่องของเศคาริยาห์อาจทำให้หลายคนคิดว่าท่านถูกพระเจ้าลงโทษให้เป็นใบ้เพราะไม่เชื่อพระวาจาของพระเป็นเจ้าที่ทรงใช้ทูตสวรรค์มาบอก เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจตามนี้ ตรงข้ามเราควรเข้าใจว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะพระเจ้าปรารถนาให้เศคาริยาห์อยู่กับพระองค์จนถึงกำหนดที่ยอห์นเกิด การเป็นใบ้หมายความว่าเศคาริยาห์จะพูดกับใครไม่ได้เลยนอกจากพระเจ้าเท่านั้น
พระเจ้าทรงห้ามเขาพูดกับมนุษย์ที่หมายความว่าเศคาริยาห์จะต้องสวดภาวนาไปจนกว่ายอห์นจะเกิด เราบอกได้ว่าการอยู่กับพระเจ้าอย่างลึกซึ้งในจุดที่ลึกที่สุดของจิตใจคือการเข้าไปในถิ่นทุรกันดารของจิตใจ
ก่อนจะเริ่มพันธกิจของยอห์นและพระเยซูต่างก็เข้าไปสวดภาวนาในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งในปาเลสไตน์ถิ่นทุรกันดารเป็นถิ่นที่คนธรรมดาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ และเป็นที่ว่างเปล่า การเข้าในถิ่นทุรกันดารจึงมีแต่พระเจ้ากับผู้ที่เข้าไปเท่านั้น
การตัดสินใจครั้งสำคัญมากในชีวิตของพระเยซูเจ้าเช่นการเลือกอัครสาวกทั้งสิบสองคน (ลูกา 6:12) ภายในสวนเกทเสมนี (มัทธิว 26:36) พระเยซูทรงสวดภาวนาต่อพระเจ้าพระบิดาตลอดคืนด้วย บางครั้งเราเองต้องเข้าไปในถิ่นทุรกันดารของจิตใจและอยู่กับพระเจ้าตามลำพังด้วย โดยเฉพาะการตั้งสินใจครั้งสำคัญๆของชีวิต เราจำเป็นต้องสวดภาวนากับพระเจ้าตลอดคืนบ่อยๆ อย่างที่พระเยซูทรงทำ
สภาพที่เราอยู่กับพระเจ้าเรียกได้ว่าเป็นถิ่นทรกันดารของจิตใจ พระเจ้าปรารถนาให้จิตใจของเศคาริยห์อยู่ในถิ่นทุรกันดารไม่ใช่เพื่อการลงโทษ แต่เป็นการเข้าไปแสวงหาพระเจ้าเท่านั้น ในที่นั้นพระองค์ทรงเป็นน้ำทรงชีวิต ในที่นั้นว่างเปล่าไม่มีอุปสรรคของการสวดภาวนาพระเจ้าประทานพระคุณให้สวดภาวนาอยู่กับพระองค์จนถึงเวลากำหนด
ความจริงสถานที่สวดภาวนาจะเป็นที่ไหนก็ได้ แต่บางทีเราจำเป็นต้องแยกตัวไปสวดภาวนาเพราะมนุษย์อ่อนแอไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคหลายอย่างได้ ทำให้ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าตามลำพังได้