อย่าลักขโมย
อย่ามักได้ทรัพย์สินของผู้อื่น
พระบัญญัติทั้งสองประการนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความยุติธรรมต่อทรัพย์สินของผู้อื่น คำว่าทรัพย์สิน หมายถึง ข้าวของ เงินทองทุกอย่าง รวมไปถึงอาคารสถานที่ (ที่ดิน) และสิ่งมีชีวิต (สัตว์) ทุกชนิดด้วย
ตามความเชื่อของเรา เราถือว่าสรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแต่มาจากพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างขึ้นมาและจุดประสงค์ของการสร้างก็เพื่อมนุษย์ทั้งสิ้น มนุษย์จึงต้องรู้จักใช้ทรัพย์สินต่างๆ อย่างดี อย่างคุ้มค่า
ในเวลาเดียวกัน พระองค์ก็ทรงประทานทรัพย์สิ่งของต่างๆ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของแต่ละคน เป็นการส่วนตัวด้วยเหมือนกันและในขณะเดียวกันก็มีทรัพย์สินสิ่งของที่เป็นของส่วนรวมหรือของสาธารณะด้วย
พระบัญญัติประการที่ 7 “อย่าลักขโมย” กินความหมายหลายแง่หลายมุม ดังต่อไปนี้
1. การเอาทรัพย์สินของคนอื่นไปโดยผิดยุติธรรม ซึ่งมีการกระทำผิดในแง่มุมนี้หลายลักษณะ เช่น
ก. ขโมย หมายถึง การเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาโดยที่เจ้าของไม่รู้ เช่น ขโมยเงินพ่อแม่ ยักยอกเงินของบริษัท หรือ ขโมยของมีค่าของผู้อื่น ฯลฯ
ข. กินดอกเบี้ยเกินควร หมายถึง การให้กู้เงินโดยคิดดอกเบี้ยสูงมาก ถามว่ามากแค่ไหน ตามปกติต้องไม่เกินอัตราของธนาคาร หรือ บางครั้งก็ต่ำกว่าธนาคาร ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกวิธีหนึ่งเหมือนกัน แต่ถ้าหากคิดดอกเบี้ยสูงๆ อย่างนี้ถือว่าเป็นความผิดแล้ว
ค. ฉ้อโกง หมายถึง การทำผิด้วยการใช้วิธีการโกงผู้อื่น กระทำผิดยุติธรรม เช่น ใช้เอกสารปลอม ใช้แง่ของกฎหมายมาบังคับ เช่น การฉ้อราษฎร์บังหลวง (คอรัปชั่น) เชิงนโยบาย ออกกฎหมายเพื่อเอื้อต่อตัวเองและพวกพ้อง เป็นต้น
ง. นายจ้างที่ไม่จ่ายค่าจ้างอันชอบธรรม เช่น ให้ค่าตอบแทนคนงานน้อยเกินไป ไม่ยุติธรรม ใช้งานหนักแต่ให้ค่าตอบแทนไม่สมกับค่าแรง ซึ่งพบเห็นกันบ่อยๆ รวมถึงไม่จัดสวัสดิการที่จำเป็นให้คนงานด้วยการกระทำเช่นนี้ถือเป็นความผิดเพราะขาดความรัก ความเมตตา เอาเปรียบผู้อื่น
จ. ในทางกลับกัน ลูกจ้างที่อู้งาน ทำงานไม่เต็มที่ หนีงาน ก็ถือเป็นการกระทำผิดยุติธรรมต่อนายจ้างเหมือนกัน ซึ่งเราจะเห็นว่ามีการกระทำเช่นนี้บ่อยๆ
นอกจากนั้น บรรดาพ่อค้าแม่ค้าเอารัดเอาเปรียบลูกค้า เช่น โกงตาชั่ง หรือ ขายสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ หรือ โฆษณาเกินความเป็นจริง ก็ถือเป็นความผิดต่อพระบัญญัติประการนี้ด้วย และการฟ้องศาลอย่างผิดยุติธรรม เช่น จงใจเอาผิดเขาเกินกว่าความผิดของเขา หรือ ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้ชี้แจงแก้คดีหรือใช้อิทธิพลบีบบังคับ อย่างนี้ถือว่าผิดด้วยเช่นกัน
2. การเก็บรักษาทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผิดยุติธรรม มีการกระทำผิดในแง่มุมนี้ อยู่หลายลักษณะด้วยเหมือนกัน คือ
ก. ลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ หรือ พวกเหนียวหนี้อย่างนี้ถือว่าขาดความรับผิดชอบ เพราะตอนไปกู้-ยืม เขาก็ตั้งใจอย่างดี แต่พอถึงเวลาจะต้องคืนเขา กลับไม่พยายามที่จะทำหน้าที่ของลูกหนี้ที่ดี อาจทำให้เจ้าหนี้ต้องเสียหายได้ เพราะเขาก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพย์สินของเขาเหมือนกัน
ข. ผู้ที่รับซื้อของโจร คือ รู้ว่าของที่ซื้อมานั้นเป็นของที่เขาขโมยมา เรียกว่าเป็น “ของโจร” เป็นของที่ได้มาโดยผิดกฎหมายและยังไปซื้อมาอีก อย่างนี้ถือเป็นความผิดในฐานะร่วมกระทำความผิดด้วย
ค. การไม่คืนของที่เก็บได้หรือ ของที่มีคนฝากไว้ สิ่งของเหล่านี้มิใช่ของเรา ดังนั้น เราต้องคืนให้เจ้าของโดยเร็ว ถ้าหาเจ้าของไม่พบก็ต้องนำสิ่งนั้นส่งให้เจ้าหน้าที่ประกาศหาเจ้าของต่อไป หรือ อย่างน้อยถ้าไม่สามารถคืนเจ้าของได้จริงๆ ต้องนำทรัพย์สินนั้นไปใช้ในสาธารณะกุศล หรือ จะปรึกษากับพระสงฆ์ก็ได้
3. การจงใจทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น เช่น เวลาโกรธ หรือ โมโหผู้อื่นก็นำไฟไปเผาบ้านเขาเสีย หรือ บางครั้งปล่อยปละละเลยไม่ดูแลสัตว์เลี้ยงของตน ปล่อยให้ไปทำลายทรัพย์สิน หรือ ก่อความรำคาญให้ผู้อื่น
4. ร่วมมือในการทำผิดพระบัญญัตินี้ เช่น การทำหน้าที่เป็นต้นทางให้ผู้อื่นขโมย หรือ ร่วมมือกันฉ้อโกงผู้อื่น หรือ ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น เป็นต้น
อย่างไรก็ดีต้องระลึกเสมอว่าการทำผิดพระบัญญัตินี้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ถ้าเราไม่รู้จักบังคับตนเอง บังคับใจตัวเองไม่ให้โลภอยากได้ทรัพย์สินของผู้อื่น เราก็จะไม่เกิดความเคยชินในการกระทำผิดในเรื่องนี้ หรือ พูดง่ายๆ เราจะไม่มักได้ในทรัพย์ของเขานั่นแหละ เราจะให้ความยุติธรรมทุกกรณีและมีจิตเมตตาต่อผู้อื่นอีกด้วย
แต่อย่าลืมว่าบาปผิดต่อความยุติธรรมนี้ จะได้รับการยกก็ต่อเมื่อต้องชดเชยทรัพย์สินของที่เราทำผิดนั้นให้กับผู้เสียหายด้วย มิฉะนั้นบาปจะไม่หลุด
ในกรณีหาใช้คืนเขาไม่ได้จริงๆ ต้องทำการตกลงให้เรียบร้อยด้วย... พูดง่ายๆ ก็คือเราต้องคืนความยุติธรรมให้เขานั่นเอง
ที่มา : หนังสือ หลักธรรมคำสอนคาทอลิก (คุณพ่อวุฒิเลิศ แห่ล้อม)