แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

II. โทบิตตาบอด


2    1ในรัชสมัยของกษัตริย์เอสารฮัดโดน ข้าพเจ้ากลับบ้านมาอยู่กับอันนาภรรยาและโทบียาห์บุตรชายอีกครั้งหนึ่ง ในวันฉลองเปนเตก๊อสเตหรือวันฉลองสัปดาห์ เขาเตรียมอาหารอย่างดีไว้ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มานั่งที่โต๊ะ 2ซึ่งมีอาหารหลายอย่าง ข้าพเจ้าพูดกับโทบียาห์บุตรของข้าพเจ้าว่า “ลูกเอ๋ย จงออกไปเถิด ถ้าพบคนยากจนที่ระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดจิตใจในหมู่พี่น้องของเราที่ถูกเนรเทศมายังกรุงนีนะเวห์ด้วยกัน ก็จงนำเขามาร่วมโต๊ะกินอาหารกับเรา พ่อจะรอจนกว่าลูกจะกลับมา” 3โทบียาห์จึงออกไปหาคนยากจนในหมู่พี่น้องของเรา แต่เขากลับมาบอกว่า “พ่อครับ” ข้าพเจ้าถามว่า “มีอะไรหรือลูก?” เขาพูดต่อไปว่า “พ่อครับ เพื่อนร่วมชาติของเราคนหนึ่งถูกฆ่า ถูกบีบคอและถูกทิ้งไว้ที่ตลาด ศพของเขายังอยู่ที่นั่น” 4ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้น ทิ้งอาหารไว้บนโต๊ะ ยังไม่ทันได้ชิมอะไร นำศพจากตลาดไปไว้ในห้องหนึ่ง รอจนดวงอาทิตย์ตกเพื่อจะได้นำเขาไปฝัง 5ข้าพเจ้ากลับมาอาบน้ำชำระร่างกายแล้วนั่งลงกินอาหารด้วยความเศร้า 6โดยระลึกถึงถ้อยคำของประกาศกอาโมสที่กล่าวถึงเมืองเบธเอลว่า
    “วันฉลองของท่านจะกลายเป็นวันไว้ทุกข์
    การร้องรำทำเพลงของท่านก็จะกลายเป็นการคร่ำครวญ”
    7แล้วข้าพเจ้าก็ร้องไห้ เมื่อดวงอาทิตย์ตก ข้าพเจ้าก็ไปขุดหลุม ฝังศพของเขา 8เพื่อนบ้านของข้าพเจ้าหัวเราะเยาะข้าพเจ้า พูดว่า “เขาไม่กลัวถูกฆ่าอีกแล้วหรือ เขาถูกตามฆ่าเพราะการกระทำเช่นนี้และต้องหนีไป บัดนี้เขากลับมาฝังศพอีกแล้ว”
    9ในคืนเดียวกันนั้น เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากการฝังศพ ข้าพเจ้าก็อาบน้ำและออกไปที่ลานบ้าน นอนที่กำแพงลานไม่ได้คลุมหน้า เพราะอากาศร้อน 10ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามีนกกระจอกอยู่บนกำแพงเหนือศีรษะข้าพเจ้า มูลร้อนของนกตกลงเข้าตาข้าพเจ้า ทำให้เป็นฝ้าขาว ข้าพเจ้าไปพบแพทย์ แต่เขารักษาข้าพเจ้าไม่ได้ ยิ่งเขาใส่ยา ตาของข้าพเจ้าก็ยิ่งมีฝ้าขาวมากขึ้น จนบอดสนิท ข้าพเจ้าตาบอดเป็นเวลาสี่ปี พี่น้องทุกคนของข้าพเจ้าเสียใจมาก อาหิคาร์รับภาระเลี้ยงดูข้าพเจ้าเป็นเวลาสองปี ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังแคว้นเอลีมาอิส
    11เวลานั้น อันนาภรรยาของข้าพเจ้าทำงานที่บ้านเพื่อหารายได้ นางปั่นขนแกะและทอผ้าa 12นำงานที่ทำไปส่งให้นายจ้างและรับเงินเป็นค่าตอบแทน วันหนึ่ง ตรงกับวันที่เจ็ดเดือนดิสตรอสb นางทอผ้าผืนหนึ่งเสร็จและนำไปส่งให้นายจ้าง เขาจ่ายเงินค่าจ้างทั้งหมด และยังแถมลูกแพะอีกตัวหนึ่งมาให้เป็นอาหาร 13เมื่อลูกแพะเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า ก็เริ่มร้อง ข้าพเจ้าจึงเรียกภรรยามาถามว่า “ลูกแพะตัวนี้มาจากไหน เธอไปขโมยมาหรือ จงเอาไปคืนเจ้าของเสีย เราไม่มีสิทธิ์กินของขโมยเลย” 14นางตอบว่า “เขาให้ฉันมาเป็นรางวัลนอกเหนือจากค่าจ้าง” แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อนาง บอกซ้ำให้นางนำลูกแพะไปคืนเจ้าของ ข้าพเจ้ารู้สึกอายแทนนางเพราะเรื่องนี้ นางพูดกับข้าพเจ้าว่า “การทำทานของท่านไปไหนหมด กิจการดีของท่านหายไปไหน ใครๆก็รู้ว่าท่านเป็นอย่างไร”

3    1ข้าพเจ้าเศร้าใจ ถอนใจ ร้องไห้ เริ่มอธิษฐานภาวนาคร่ำครวญว่า
    2”ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม
    พระราชกิจของพระองค์ล้วนชอบธรรมทั้งสิ้น
    วิถีทางของพระองค์แสดงพระกรุณาและความจริง
    พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาโลก
    3ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
    บัดนี้ โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้า โปรดทอดพระเนตรมายังข้าพเจ้าเถิด
    ขออย่าทรงลงโทษข้าพเจ้าเพราะบาปของข้าพเจ้า
    หรือเพราะความผิดของข้าพเจ้าและของบรรพบุรุษ
    4ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาปผิดต่อพระองค์
    ละเมิดพระบัญชาของพระองค์
    พระองค์จึงทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายถูกปล้น
    ถูกจับเป็นเชลยและถูกฆ่า
    กลายเป็นเรื่องเล่า เป็นที่หัวเราะเยาะ
    เป็นเรื่องชวนหัวของนานาชาติ
    ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องกระจัดกระจายไปอาศัยอยู่ด้วย
    5บัดนี้ พระวินิจฉัยทั้งปวงของพระองค์ล้วนเป็นความจริง
    ทรงกระทำกับข้าพเจ้าทั้งหลายตามความผิดของข้าพเจ้าและบรรพบุรุษa
เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์
ไม่ดำเนินชีวิตในความจริงเฉพาะพระพักตร์
6บัดนี้ โปรดทรงทำกับข้าพเจ้าตามพระประสงค์
โปรดทรงบัญชาให้เอาชีวิตข้าพเจ้าไปเสีย
ให้ข้าพเจ้าถูกนำออกไปจากพื้นแผ่นดิน
และกลายเป็นฝุ่นดิน
ให้ข้าพเจ้าตายเสียดีกว่าที่จะมีชีวิต
เพราะข้าพเจ้าต้องได้ยินคำสบประมาทโดยไร้มูลเหตุ
ทำให้ข้าพเจ้าต้องเป็นทุกข์เศร้าใจอย่างสุดซึ้ง
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
โปรดทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าพ้นจากความทุกข์นี้
ไปยังที่พำนักนิรันดร
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
โปรดอย่าทรงเมินพระพักตร์ไปจากข้าพเจ้าเลย
โปรดให้ข้าพเจ้าตายเสีย ดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ต้องทนความทุกข์ทรมานมากมาย
และได้ยินคำสบประมาทตลอดชีวิต”