เพลงสดุดีที่ 102
คำอธิษฐานภาวนาในยามทุกข์ยาก

สดด บทนี้เป็นบทที่ 5 ใน 7 บทของ "เพลงสดุดีขอสมาโทษ" (Seven penitential Psalms) อีก 6 บทได้แก่ สดด 6,32,38,51,130 และ 147 ผู้ประพันธ์ไม่สารภาพความผิดโดยตรง แต่กล่าวเป็นนัยถึงภัยพิบัติและความเจ็บป่วย ภาคแรก (ข้อ 1-11) มีลักษณะเป็นคำอ้อนวอน ส่วนภาคที่สอง (ข้อ 12-22) เป็นคำอธิษฐานภาวนาขอให้พระเจ้าทรงสถาปนาศิโยนขึ้นใหม่ ข้อท้ายๆ ซ้ำคำอ้อนวอนตอนต้น แต่บัดนี้ผู้ประพันธ์แสดงความวางใจในพระอานุภาพของพระเจ้า ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดนิรันดรโดยไม่เปลี่ยนแปลง เพลงสดุดีบทนี้แต่เดิมอาจเป็นคำอธิษฐานภาวนาของพระราชาในฐานะผู้แทนของประชาชนในชาติ การบรรยายถึงความทุกข์ยากส่วนตัวของพระราชา อาจเป็นคำอุปมาถึงความทุกข์ยากของประชาชน เช่นการกันดารอาหารหรือการเห็นกรุงเยรูซาเล็มในสภาพปรักหักพัง ในทำนองเดียวกัน คริสตชนควรคิดว่าตนเป็นเสมือนพระศาสนจักรที่ถูกเบียดเบียนหรืออยู่ในอันตราย จึงวอนขอให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือ
คำภาวนาของผู้มีทุกข์ เมื่อเขาหมดกำลังและระบายความร้อนใจเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์



1    ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดทรงฟังคำภาวนาของข้าพเจ้า
        ขอให้เสียงร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้าขึ้นไปถึง    พระองค์
2    ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ไปจากข้าพเจ้า
        ยามข้าพเจ้าอยู่ในความทุกข์ยาก
    โปรดเงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้า
    เมื่อข้าพเจ้าเรียกหาพระองค์ โปรดตอบข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด
3    วันเวลาของข้าพเจ้าจางหายไปประดุจควันไฟ
        กระดูกของข้าพเจ้าลุกเป็นไฟเหมือนถ่านในเตา
4    ใจของข้าพเจ้าเหี่ยวแห้งเหมือนแต้นหญ้าที่ถูกแดดเผา
        ข้าพเจ้าลืมแม้กระทั่งจะกินอาหาร
5    ข้าพเจ้าส่งเสียงร้องคร่ำครวญ
        จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
6    ข้าพเจ้าเป็นเหมือนนกเค้าแมวในถิ่นทุรกันดาร
        เหมือนนกฮูกในซากปรักหักพัง
7    ข้าพเจ้าตื่นเฝ้าอยู่และคร่ำครวญ
        ข้าพเจ้าเป็นเหมือนนกโดดเดี่ยวเกาะอยู่บนหลังคา
8    ศัตรูของข้าพเจ้าด่าว่าเหน็บแนมข้าพเจ้าตลอดทั้งวัน
        เขาโกรธเคือง และสาปแช่งข้าพเจ้า
9    ถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้ากินขี้เถ้าต่างอาหาร
        ดื่มน้ำตาแทนเครื่องดื่ม
10    พระองค์ทรงยกข้าพเจ้าขึ้นมาและทรงขว้างทิ้งไป
        เพราะพระพิโรธและความกริ้วของพระองค์
11    วันเวลาของข้าพเจ้าหมดไปเหมือนเงาที่ทอดยาวเวลาเย็น
        ข้าพเจ้าเหี่ยวแห้งไปคล้ายต้นหญ้า
12    แต่พระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ตลอดไป
        มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยระลึกถึงพระองค์
13    โปรดทรงลุกขึ้นและทรงเมตตาสงสารศิโยนเถิด
        บัดนี้เป็นเวลาที่จะทรงโปรดปราน
        เวลานั้นมาถึงแล้ว
14    เพราะผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์รักศิลาทุกก้อนในศิโยน
        และสงสารซากปรักหักพังของนครนี้
15    นานาชาติจะยำเกรงพระนามของพระยาห์เวห์
        กษัตริย์ทั้งหลายของแผ่นดินจะเคารพยำเกรงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์
16    เมื่อพระยาห์เวห์จะทรงสร้างศิโยนขึ้นใหม่
        พระองค์จะทรงปรากฏในพระสิริรุ่งโรจน์
17    จะทรงผินพระพักตร์ฟังคำอธิษฐานภาวนาของผู้ถูกทอดทิ้ง
        และจะไม่ทรงดูหมิ่นคำอธิษฐานภาวนาของเขา
18    ขอให้เรื่องนี้ได้รับการบันทึกไว้เป็นหลักฐานสำหรับชนรุ่นต่อๆไปในอนาคต
        และประชากรที่จะเกิดใหม่จะสรรเสริญพระยาห์เวห์
19    พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรลงมาจากสักการสถานเบื้องบนของพระองค์
        จากสวรรค์ พระองค์ทรงสำรวจแผ่นดิน
20    เพื่อทรงฟังเสียงคร่ำครวญของผู้ถูกจองจำ
        และทรงปลดปล่อยผู้ต้องโทษประหารให้เป็นอิสระ
21    แล้วพระนามของพระยาห์เวห์จะได้รับการประกาศในศิโยน
        พระองค์จะทรงได้รับคำสรรเสริญในกรุงเยรูซาเล็ม
22    เมื่อประชาชาติทั้งหลายจะมาชุมนุมกัน
        และบรรดาอาณาจักรจะรับใช้พระยาห์เวห์
23    พระองค์ทรงบันดาลให้พละกำลังของข้าพเจ้าอ่อนเปลี้ยระหว่างการเดินทาง
        พระองค์ทรงทำให้วันเวลาของข้าพเจ้าสั้นลง
24    ข้าพเจ้าจึงพูดว่า "ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า
        โปรดอย่าทรงยกข้าพเจ้าไปก่อนถึงครึ่งอายุของข้าพเจ้า
        พระองค์ทรงพระชนมชีพอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์"
25    พระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินนานมาแล้ว
        ท้องฟ้าเป็นผลงานจากฝีพระหัตถ์ของพระองค์
26    สิ่งเหล่านี้จะผ่านพ้นไป แต่พระองค์จะยังทรงดำรงอยู่
        สิ่งต่างๆจะผุกร่อนไปเหมือนเสื้อผ้า
        พระองค์ทรงเปลี่ยนทุกสิ่งเหมือนอาภรณ์ที่ใช้แล้ว
27    แต่พระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปรเลย
        และปีของพระองค์ก็ไม่มีวันสิ้นสุด
28    บรรดาบุตรของผู้รับใช้พระองค์จะพำนักอยู่อย่างปลอดภัย
     ลูกหลานของเขาจะดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์อย่างมั่นคง