23. ไตร่ตรองปัญหา
การสวดภาวนาเป็นกิจกรรมของเด็ก ๆ หรือเปล่า
    “ฉันหมายความว่าต้องมีวันหนึ่งที่คุณโตเกินกว่าจะสวดภาวนา มันก็ดีอยู่หรอกที่จะเชื่อว่ามีใครสักคนหนึ่งที่เป็นมิตร ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆเมื่อคุณยังเป็นเด็ก แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง คุณต้องไขว่คว้าหาความสำเร็จมาด้วยตัวคุณเอง ข้างนอกนั้น มีแต่การต่อสู้ และคุณเองก็ต้องเป็นนักสู้จึงจะอยู่รอดได้ การสวดภาวนาเป็นเรื่องของเด็กประถม”
    เรามีเหตุผลสามข้อที่ตอบความคิดข้างต้นนี้ ข้อแรก การภาวนาต่อพระเจ้าไม่ใช่กิจกรรมของเด็ก ๆ ถ้าเป็นความจริงว่าหัวใจมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพระองค์ ถ้าความเป็นจริงในตัวตนส่วนลึกที่สุดของเรา คือ เราแสวงหาบ้านฝ่ายจิตของเราตลอดเวลา บุคคลที่มีความเชื่อยืนยันว่าตัวตนลึกสุดของเราจำเป็นต้อง “เทียบท่า” อยู่กับพระเจ้า ถ้าเราต้องการเติบโตกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนั้น การสวดภาวนาก็กลายเป็นเครื่องหมายของวุฒิภาวะมิใช่ความเป็นเด็ก

    เหตุผลข้อที่สอง – การสวดภาวนาเป็นกิจกรรมของเด็กอย่างแน่นอน ถ้าเราผู้ใหญ่ยังสวดภาวนาแบบเด็ก ๆ ความเชื่อของเด็ก ๆ เป็นสิ่งที่น่ารักจริง ๆ มารดาของเด็กคนหนึ่งได้ยินลูกเล็ก ๆ ของเธอสวดว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดดูแลแม่ และพ่อ และสตีเฟน และคุณย่า และคุณปู่ และป้าแคลร์ และลุงมาร์ค และสปอต หมาของเรา และอย่าลืมดูแลพระองค์เองด้วย เพราะถ้าพระองค์ไม่ดูแลตนเอง เราทุกคนก็แย่!” แต่เมื่อเราโตขึ้น และมีประสบการณ์มากขึ้นในเรื่องของความเชื่อ เรามีวิธีภาวนาที่ใช้ความคิดมากกว่านี้ การภาวนาอาจมีการไตร่ตรองมากขึ้น และคำวิงวอนของเราก็นุ่มนวลมากขึ้น เช่นเดียวกับความสัมพันธ์อื่น ๆ ที่เติบโตขึ้นได้ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าในการภาวนาก็เติบโตขึ้นได้
    เหตุผลข้อที่สาม – มีความแตกต่างระหว่างการภาวนาแบบเด็ก ๆ และการภาวนาเหมือนเด็ก เราไม่ควรภาวนาแบบเด็ก ๆ เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ การภาวนาขอให้ถูกล็อตเตอรีไม่น่าจะโน้มน้าวให้สวรรค์ช่วยเราได้ เราไม่ควรภาวนาเหมือนหญิงคนหนึ่ง (แม้จะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้) เมื่อเธอทำเครื่องกระเบื้องทั้งถาดตกแตกว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าให้มันเกิดขึ้นอย่างที่เกิดขึ้นนี้เลย” แต่เราควรภาวนาด้วยความวางใจเหมือนเด็กที่รู้ว่าพระบิดาสวรรค์ของเขาใจดี สงสารเขา และจริงใจ ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงบอกเราว่าเมื่อเราภาวนา เราควรเรียกพระเจ้าว่าอับบา – พ่อจ๋า

การภาวนาของเราจะมีความหมายได้อย่างไร
เมื่อเราอยู่ในโลกที่ควบคุมโดยกฎทางวิทยาศาสตร์     เราต้องทำความเข้าใจในประเด็นนี้สักเล็กน้อย สิ่งที่เราเรียกว่า “กฎทางวิทยาศาสตร์” อันที่จริงเป็นเพียงระเบียบแบบแผนที่เราสังเกตเห็นในธรรมชาติ ไม่ใช่กฎที่จารึกไว้บนท้องฟ้า ระเบียบแบบแผนเหล่านี้จำเป็นสำหรับเราอย่างแน่นอน เราจำเป็นต้องรู้ว่าถ้าเรากระโดดจากหน้าผา จะต้องมีผลด้านลบบางอย่างตามมา แต่โลกธรรมชาติมีอะไรที่เกินความเข้าใจของมนุษย์เรา นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่า ความเป็นจริงระดับลึกสุดที่เราสามารถเข้าใจได้ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นของแข็งที่จับต้องได้ แต่ประกอบขึ้นจากมวลพลังงานที่หมุนเป็นวง รูปร่างเหมือนเกลียวเชือก เรารู้ว่าจักรวาลไม่ใช่สิ่งที่คาดเดาได้ล่วงหน้าตามความเข้าใจของคนในโลก แต่เป็นผลมาจากการแสดงอิทธิพลต่อกันระหว่างสิ่งบังเอิญ และสิ่งจำเป็น
    ดังนั้น เมื่อเราสวดภาวนา เราไม่ได้กำลังปาลูกดอกกระดาษใส่กำแพงเหล็กแห่งกฎธรรมชาติ แต่เรากำลังร่วมมือกับพระเจ้าในกิจการยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการเยียวยาสรรพสิ่งทีละน้อย เมื่อข้าพเจ้าภาวนา ข้าพเจ้าไม่ได้กำลังวิงวอนพระเจ้าให้ทรงขัดจังหวะการทำงานตามปกติของจักรวาล แต่ข้าพเจ้ากำลังวิงวอนให้พระองค์ทรงทำงานภายในระเบียบแบบแผนที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น เพื่อให้สิ่งสร้างส่วน นั้น ๆ ทำงานได้อย่างเต็มที่ตามศักยภาพของมัน ข้าพเจ้าอยากเห็นระเบียบแบบแผนตามธรรมชาติทำงานได้อย่างเต็มที่ เหมือนที่เกิดขึ้นในองค์พระเยซูเจ้า (เพราะเหตุนี้จึงเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ต่าง ๆ ขึ้นรอบตัวพระองค์)
    การภาวนาแนวนี้ไม่ได้ต้องการให้พระเจ้าทรงหักล้างระเบียบแบบแผนตามธรรมชาติ แต่ขอให้พระองค์ทรงทำงานภายใต้ระเบียบแบบแผนที่พระองค์ทรงกำหนดขึ้น การทำงานของพระเจ้าไม่ใช่การละเมิด “กฎธรรมชาติ” แต่เป็นกฎธรรมชาติในตัวเองของระเบียบแบบแผนของความเป็นจริงในระดับลึกกว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราเจาะผ่านลงไปถึงระดับลึกสุดของการทำงานในธรรมชาติ
    ดังนั้น การภาวนาจึงกลายเป็นความร่วมมืออย่างน่าตื่นเต้นกับพระเจ้า ผู้ทรงประคับประคองให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำรงอยู่ได้ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องเบียดพระองค์เข้ามาในโลก เหมือนเด็กที่แอบเข้ามาร่วมในงานปาร์ตี้ของบิดามารดา เพราะนี่คือโลกของพระองค์ และพระองค์ทรงต้องการแบ่งปันความยินดี และความรับผิดชอบของโลกนี้กับเรา และเมื่อเราภาวนา เรากำลังร่วมทำงานกับพระองค์

ถ้าคำภาวนาของเราไม่เคยได้รับการตอบสนอง มีมนุษย์คนใดบ้าง ไม่มีคำถามที่เขาอยากถามพระเจ้าสักสองสามข้อเมื่อถึงเวลาที่เราพบหน้าพระองค์ เมื่อเราสวดภาวนา เมื่อเราเห็นอุทกภัยและความอดอยาก หรือเมื่อเราร้องไห้อยู่ข้างเตียงนอน หรือภาวนาอย่างสิ้นหวังเพราะชีวิตสมรสประสบปัญหา พระเจ้าองค์นี้ยังต้องการอะไรอีก ก่อนที่พระองค์จะลงมือช่วยเหลือ
    ถ้าเราคิดถึงคำถามสุดท้ายเกี่ยวกับจักรวาลทางวิทยาศาสตร์ เราจะตระหนักว่าพระเจ้าทรงมีทั้งเสรีภาพและข้อจำกัดภายในองค์ประกอบสิ่งสร้างของพระองค์ พระองค์ทรงจำกัดขอบเขตให้พระองค์เองเพราะเห็นแก่ความรัก พระองค์ทรงมัดพระหัตถ์ของพระองค์เองเมื่อทรงสร้างจักรวาลหนึ่งขึ้นมา เพื่อว่าจักรวาลนั้นจะมีเสรีภาพที่จะเป็นตัวของมันเอง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มนุษย์สร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาเช่นกัน เมื่อเรา “สร้าง” ลูก ๆ ของเรา เราจำกัดเสรีภาพของเราที่จะบังคับเขา ลูก ๆ ของเราจะต้องดำรงชีพอย่างอิสระ ซึ่งหมายความว่าเราสามารถหว่านล้อม แนะนำ หรือเกลี้ยกล่อมลูกของเรา แต่ท้ายที่สุด เราก็ไม่สามารถบังคับให้เขาทำอะไรได้ จอห์น จี. เทย์เลอร์ เคยเขียนไว้ว่า “เป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับพระเจ้าว่า พระองค์ไม่ได้ทรงสรรพานุภาพมากเท่ากับที่ทรงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และเพราะเหตุนี้ พระองค์จะประสบความสำเร็จเสมอ” แต่ “ความสำเร็จ” อาจไม่ใช่ความสำเร็จอย่างที่เรารู้จัก
    การสวดภาวนาเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผู้ที่เราสวดภาวนาให้ หรือเกิดขึ้นกับพวกเราผู้ภาวนา แต่เป็นความรับผิดชอบของเราที่ต้องภาวนา ส่วนความรับผิดชอบของพระเจ้าคือใช้คำภาวนาของเรา ความรับผิดชอบของเราคือต้องรัก (และการภาวนาก็คือการรัก) ส่วนความรับผิดชอบของพระเจ้าคือการใช้ความรักของเรา เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่น
ถ้าเราไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษเมื่อเราภาวนา อย่ากังวล คนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกอะไรเลย อันที่จริง สิ่งที่ตรงกันข้ามต่างหากที่เป็นอันตราย บางคนกระตุ้นอารมณ์ของตนเองจนสามารถสร้างปฏิกิริยาตอบสนองต่อการภาวนา – ส่วนใหญ่เป็นปฏิกิริยาที่ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกิน หรือรู้สึกอึดอัด สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ความรู้สึกต่าง ๆ นั้นเป็นเกณฑ์วัดผลของการภาวนาที่ไว้วางใจได้น้อยที่สุด การภาวนาคือการอยู่เบื้องหน้าพระเจ้า การภาวนาคือการถวายตัวเราแด่พระเจ้าเพื่อตอบแทนพระพรต่าง ๆ ที่พระองค์ได้ประทานแก่เรา การภาวนาคือการฟัง การรัก การยอมรับมนุษย์ทั้งหลายในพระเจ้า การภาวนาคือการเปิดประตูแห่งโอกาสค้างไว้ แทนที่ความสิ้นหวัง การภาวนาคือการดิ้นรน ความชื่นชมยินดี เสียงหัวเราะ และความเจ็บปวด อีกนัยหนึ่งคือ การภาวนาไม่จำเป็นต้องเป็นสารฝ่ายจิต มีกลิ่นกุหลาบ และความรู้สึกอบอุ่น เพราะการภาวนาสำคัญเกินกว่าสิ่งเหล่านี้
    สิ่งที่สำคัญกว่าความรู้สึกคือ เรานำอะไรมาภาวนา ถ้าเรานำตัวของเรา และบุคคลที่อยู่ในใจของเรามาหาพระเจ้าในการภาวนา เรากำลังย่างเข้าสู่การภาวนาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และความรัก อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นธุระของพระเจ้า ถ้าเราถูกนำขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่เจ็ด ก็เยี่ยม (และบางครั้งเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นได้) ถ้าเราถูกทิ้งให้เก็บกวาดขยะฝ่ายจิต – ก็ควรขอบพระคุณพระเจ้า (เพราะต้องมีใครบางคนทำหน้าที่นี้) เราบางคนมีอารมณ์อ่อนไหวมากกว่าคนอื่น ๆ และพระเจ้าก็ทรงทำงานกับเราอย่างที่เราเป็น ความซื่อสัตย์สำคัญกว่าความรู้สึก
    อย่างไรก็ตาม การภาวนาไม่ควรเป็นเพียงหน้าที่ และความมุ่งมั่นตลอดเวลา เช่นที่นักจิตบำบัดชื่อ คาร์ล จุง กล่าวว่า “เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่มนุษย์ควรรู้ความจริงทางศาสนา เสมือนว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่ในวิญญาณมนุษย์ และไม่ใช่อนุสรณ์จากอดีตที่ยากจะเข้าใจและไม่มีเหตุผล” การภาวนาจะต้องแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเรา แต่การแทรกซึมนี้สามารถกระทำได้ผ่านทางความเชื่อมั่นในใจ เช่นเดียวกับผ่านทางความรู้สึก เราแต่ละคนมีประสบการณ์การภาวนาที่ต่างกัน และขอให้ความแตกต่างนี้จงดำรงอยู่ตลอดไป