แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

22.    ภาวนาในถิ่นทุรกันดาร
    บางครั้งการภาวนาเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อ และเราไม่อยากยอมรับเช่นนี้ อันที่จริง นับว่าเป็นผลประโยชน์ต่อคริสตชนเอง ถ้าเราจะทำให้ดูเหมือนว่าความเชื่อของเราประสบความสำเร็จ น่ายินดี และได้ผล ถ้าไม่เช่นนั้น ใครบ้างจะอยากเป็นคริสตชน เมื่อเป็นแล้วไม่ได้อะไร กระนั้นก็ดี บางครั้ง ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างไร้ความหมาย และแห้งแล้ง เราไม่มีพลังงานเหลืออยู่เลย ถังน้ำมันของเราว่างเปล่า

    ถ้าคุณถามคนทั่วไปว่าทำไมเขาจึงเป็นคริสตชน คุณอาจได้รับคำตอบทำนองนี้ว่า “เพราะทำให้ชีวิตของฉันมีความหมาย” “เพราะมันได้ผล” “เพราะเป็นความจริง” แต่หลังจากนั้น คุณก็ต้องถามอีกว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อความเชื่อของคุณไม่ได้ทำให้คุณเข้าใจเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของคุณ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อความคลางแคลงใจเริ่มเข้าโจมตีความคิด และกัดกินหัวใจของคุณ เพราะคุณต้องมีความคลางแคลงใจเช่นนี้แน่นอน
    ลองใคร่ครวญประสบการณ์ของ เฮนรี นูเวน หนึ่งในนักประพันธ์หนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ซึ่งหนังสือ และคำสั่งสอนของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนหลายล้านคน
    “แล้วชีวิตภาวนาของผมเป็นอย่างไร ผมชอบภาวนาหรือไม่ ผมต้องการภาวนาหรือไม่ ผมใช้เวลาภาวนาหรือไม่ ถ้าพูดตามตรง ผมต้องตอบคำถามทั้งหมดนี้ว่า ไม่ใช่ หลังจากผ่านชีวิตมาได้ 63 ปี และชีวิตสงฆ์ 38 ปี การภาวนาของผมดูเหมือนไร้ชีวิตเหมือนกับหินก้อนหนึ่ง ... ผมให้ความสนใจกับการภาวนามาก ผมอ่าน ผมเขียนเรื่องการภาวนา ผมไปเยี่ยมอารามต่าง ๆ และนำทางคนจำนวนมากในการเดินทางฝ่ายจิตของเขา เมื่อถึงเวลานี้ ผมควรเต็มเปี่ยมด้วยไฟแห่งจิตวิญญาณ และถูกเผาไหม้ด้วยการภาวนา คนจำนวนมากคิดว่าผมเป็นเช่นนี้ และพูดกับผมราวกับว่าการภาวนาเป็นพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ที่สุด และความปรารถนาลึกล้ำที่สุดของผม
    แต่ความจริงก็คือ ผมไม่รู้สึกอะไรมากนัก ถ้าผมยังรู้สึกอะไรได้อีกเมื่อผมภาวนา ไม่มีอารมณ์อันอบอุ่น ความรู้สึกซาบซ่านในร่างกาย หรือนิมิตในสมอง ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผมไม่ได้ถูกสัมผัส – ไม่มีกลิ่นพิเศษ ไม่มีเสียงพิเศษ ไม่เห็นภาพพิเศษ ไม่ได้ลิ้มรสชาติพิเศษ และไม่มีความเคลื่อนไหวพิเศษ พระจิตเจ้าทรงเคยทำงานอย่างชัดเจนผ่านเนื้อหนังของผมมานาน แต่บัดนี้ ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ผมคาดหมายมาตลอดชีวิตว่า เมื่อผมอายุมากขึ้น และใกล้ความตายมากขึ้น การภาวนาจะกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากขึ้น แต่สถานการณ์ดูเหมือนว่าตรงกันข้าม คำว่า “ความมืด” และ “ความแห้งแล้ง” ดูเหมือนจะบรรยายสภาพการภาวนาของผมในปัจจุบันได้ดีที่สุด...
    ความมืด และความแห้งแล้งของการภาวนาของผมเป็นเครื่องหมายว่าพระเจ้าไม่ประทับอยู่ หรือเป็นเครื่องหมายบ่งบอกการประทับอยู่ที่ลึกกว่า และกว้างกว่าที่ประสาทสัมผัสของผมสามารถรองรับได้ ความตายในการภาวนาของผมเป็นจุดจบของความสนิทสนมของผมกับพระเจ้า หรือเป็นจุดเริ่มต้นของความสนิทสัมพันธ์ใหม่ที่เหนือคำพูด อารมณ์ และความรู้สึกซาบซ่านในร่างกายกันแน่”
                    Henri Nouwen, Sabbatical Journey
    น่าเสียดายที่เราไม่สามารถตอบคำถามข้อสุดท้ายนี้ได้ เพราะสองสามเดือนหลังจากนั้น นูเวนก็เสียชีวิต แต่นี่คือคำถามสำคัญสำหรับคนจำนวนมาก เพราะเป็นส่วนหนึ่งของคำถามข้อใหญ่กว่า คือประสบการณ์ความแห้งแล้งนี้เป็นเพียงระยะหนึ่งที่จะผ่านพ้นไป และเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ มากมาย หรือเป็นระยะสำคัญในการเดินทางของเราคริสตชน
    มีเส้นแบ่งที่สำคัญในประเด็นนี้ ความแห้งแล้งฝ่ายจิตส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายนอก เราเดินทางบนถนนของคริสตชนมานาน และเราเพียงแต่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง เราอ่อนเพลีย และเครียดในด้านอื่น ๆ ของชีวิต และความเครียดเหล่านี้ย่อมกระทบต่อชีวิตจิตของเราด้วยแน่นอน เราถูกกักอยู่ภายในแนวทางปฏิบัติศาสนกิจ และการภาวนา เหมือนกับสวมเสื้อที่คับเกินไปเพราะเราเติบโตขึ้น และเราต้องการเสื้อผ้าชุดใหม่ สาเหตุของความแห้งแล้งมีอยู่มากมาย
    แต่มีประสบการณ์อีกประเภทหนึ่งที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง และเริ่มต้นด้วยอาการที่เหมือนกัน คือความเบื่อหน่าย ความกระวนกระวาย ความแห้งแล้ง แต่แท้จริงแล้วนี่คือประสบการณ์ที่เรียกว่า “คืนมืดของวิญญาณ” หรืออายตนะ (ประสาทสัมผัส) นี่คือประสบการณ์ที่ อองรี นูเวน กล่าวถึง และหมายความว่าพระเจ้ากำลังนำเราเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น และเราอยู่ใกล้แสงสว่างเกินไปจนเรามองไม่เห็นแสงสว่างนั้น นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน อธิบายประสบการณ์นี้โดยเปรียบเทียบว่า ยิ่งแสงสว่างส่องเจิดจ้าชัดเจนเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ตาของวิญญาณมืดมัวลงเท่านั้น ม่านตาของวิญญาณขยายออก และความเชื่อกลายเป็นความวางใจในพระเจ้าผู้ที่เรามองไม่เห็น ถ้าประสบการณ์นั้นเป็นความมืดในลักษณะนี้ เราวางใจได้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมสถานการณ์อยู่ และทรงกำลังสอนคริสตชนผู้นั้นไม่ให้เขาพึ่งพาอาศัยประสาทสัมผัสของเขา แต่ให้พึ่งพาพระองค์แต่ผู้เดียว นี่คือระยะหนึ่งของการเจริญเติบโต
    แต่ถ้าเป็นความมืดประเภทอื่น เหมือนกับเราขับรถบรรทุกเข้าไปในทะเลทราย และล้อรถจมอยู่ในพื้นทราย เมื่อนั้น ย่อมมีวิธีการแก้ไขซึ่งเราทำได้เอง เมื่อนั้น คำถามที่เราควรถามตนเองจะเหมือนกับคำถามที่หัวหน้ากลุ่มนักปีนเขาถามสมาชิกกลุ่มที่ล้มลงนอนแผ่บนพื้นเมื่อเขาให้หยุดพัก เขาถามในเชิงบวกว่า “เราจะเดินหน้าต่อไปดีไหม ถ้าเราไม่ลุกขึ้น และเดินไปพร้อมกับนักปีนเขากลุ่มใหญ่ เราก็จะป้วนเปี้ยนอยู่แต่ที่เชิงเขานี่แหละ แต่ถ้าเราพร้อมจะเดินทางต่อไป ก็มีพื้นที่ใหม่ให้เราสำรวจ มีที่สูงให้เราขึ้นไปให้ถึง” นี่คือจุดมุ่งหมายของบทนี้ เมื่อเราได้ยินคำถามว่า “เราจะเดินทางต่อไปไหม” ขอให้เราตอบว่า “ไปซิ”

คำถาม
    มีสถานการณ์ใดที่เป็นสาเหตุให้ชีวิตภาวนาของคุณจืดชืดหรือไม่ คุณกำลังเหนื่อย เครียด ป่วย กำลังย้ายบ้าน หรือเปลี่ยนงาน หดหู่ กำลังเกิดปัญหาในความสัมพันธ์กับผู้อื่น สูญเสียคู่ชีวิต กำลังควบคุมอาหาร เป็นต้น จิตใจ ร่างกาย และวิญญาณมนุษย์รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น แต่ละส่วนจึงมีผลกระทบต่อส่วนอื่น คุณเพียงจำเป็นต้องหาวิธีภาวนาแบบใหม่หรือเปล่า

ลองทำดู
•    ผ่อนคลาย สถานการณ์นี้จะผ่านพ้นไปแน่นอน
•    มองย้อนกลับไปในอดีต และมองไปข้างหน้า – การมองย้อนอดีตอาจช่วยให้เห็นพื้นที่ปลอดภัย มีการภาวนาบางวิธีที่คุณรู้ว่าช่วยคุณได้เสมอ แต่คุณลืมไป อาจมีบางแบบแผน หรือนักประพันธ์บางคน หรือความคิดบางอย่าง แต่ในทางตรงกันข้าม คุณอาจต้องมองไปข้างหน้าเช่นกัน และยอมเสี่ยงกับรูปแบบอื่น ๆ ในการภาวนา ซึ่งคุณไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหมาะสมกับคุณ แต่พระเจ้าอาจทรงกำลังเรียกคุณไปสู่การภาวนารูปแบบนี้ในเวลานี้ก็ได้ ลองพิจารณาวิธีการภาวนาอื่น ๆ ที่เสนอในหนังสือเล่มนี้ มีวิธีใดที่ทำให้คุณสนใจหรือไม่
•    ก้าวต่อไปข้างหน้า – การเดินทางของคริสตชนไม่ได้มีแต่ความยินดี และความตื่นเต้น แม้ว่าคุณอาจเคยอ่านหนังสือ และคำพยานของคนที่บอกเล่าประสบการณ์มหัศจรรย์ที่ทำให้คุณแทบหยุดหายใจ จงเดินหน้าต่อไป ภาวนาต่อไป ซื่อสัตย์ต่อไป ปรับตรงนั้นนิด เปลี่ยนตรงนี้หน่อย และรอคอย พระเจ้า
•    พูดคุยกับเพื่อนคริสตชนที่คุณเคารพด้วยสัญชาตญาณ ขอเวลาเขาสักหน่อย และถามว่าคุณจะมาหา และพูดคุยกับเขาสักหนึ่งครั้งทุกสองสามสัปดาห์ได้หรือไม่ เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของคุณ การหาตัว “คนที่เหมาะสม” อาจทำได้ยาก แต่คุณควรทำตามที่ใจของคุณสั่งในกรณีนี้ คุณอาจพบกับบุคคลที่คุณไม่คาดหมายก็ได้
•    เข้าร่วมในกลุ่มภาวนาที่คุณสามารถพักผ่อนในความเชื่อของหมู่คณะ การเดินทางของคริสตชนไม่ใช่การเดินทางตามลำพัง และการหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเองอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของจิตวิญญาณของคุณ ปล่อยให้ผู้อื่นพยุงคุณสักพักหนึ่ง แต่ควรแบ่งปันพรสวรรค์ และความเข้าใจของคุณกับคนในกลุ่มด้วย และคุณอาจรู้สึกว่าพลังฝ่ายจิตของคุณเริ่มกลับคืนมา
•    จงอดทน – เราไม่ใช่เครื่องจักรที่จะ “ซ่อม” ได้ แต่เป็นมนุษย์ที่ต้องได้รับการเยียวยา และเจริญเติบโต


บทภาวนา
    ข้าแต่พระเจ้า
    โปรดประทานพระหรรษทานให้ข้าพเจ้า
    ยอมรับสิ่งต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วยใจสงบ
    ให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลง
    สิ่งที่ข้าพเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้
    และให้ข้าพเจ้ามีปรีชาญาณ
    ที่จะเห็นความแตกต่างของสองสิ่งนี้
    โปรดให้ข้าพเจ้าดำรงชีวิตแต่ละวัน
    ชื่นชมแต่ละนาที
    ยอมรับความทุกข์ยากว่าเป็นหนทางไปสู่สันติสุข
    ยอมรับโลกคนบาปนี้อย่างที่ป็นอยู่ เหมือนที่พระองค์ทรงยอมรับ
    มิใช่อย่างที่ข้าพเจ้าอยากให้โลกนี้เป็น
    ด้วยความวางใจว่าพระองค์จะทรงทำให้ทุกสิ่งถูกต้อง
    หากข้าพเจ้าน้อมรับพระประสงค์ของพระองค์
    เพื่อข้าพเจ้าจะมีความสุขพอสมควรในชีวิตนี้
    และมีความสุขมากที่สุดร่วมกับพระองค์ในชีวิตหน้า
                                Reinhold Niebuhr