IV. ชาวยิวพ้นอันตราย

ฮามานต้องแสดงความเคารพต่อโมรเดคัย a
6    1คืนนั้นกษัตริย์บรรทมไม่หลับ จึงรับสั่งให้นำหนังสือพงศาวดารที่บันทึกเหตุการณ์น่าจดจำมาอ่านถวาย 2ข้อความที่อ่านกล่าวถึงการที่โมรเดคัยกราบทูลเรื่องบิกธานาและเทเรช ขันทีสองคนผู้เฝ้าประตูพระราชวังพยายามจะปลงพระชนม์กษัตริย์อาหสุเอรัส 3กษัตริย์ตรัสถามว่า “เราได้ทำอะไรบ้างเพื่อให้เกียรติและตำแหน่งแก่โมรเดคัยเพราะเรื่องนี้” ข้าราชบริพารทูลตอบว่า “ยังไม่มีใครทำอะไรเลย พ่ะย่ะค่ะ”b 4กษัตริย์ตรัสว่า “มีใครบ้างอยู่ที่ลานพระราชวัง” เวลานั้นฮามานเข้ามาในพระลานชั้นนอกของพระราชวังไม่นานนักก่อนหน้านั้น เพื่อทูลกษัตริย์ว่าตนจะขออนุญาตแขวนคอโมรเดคัยที่ตะแลงแกงซึ่งได้เตรียมไว้แล้ว 5บรรดาข้าราชบริพารจึงทูลกษัตริย์ว่า “ฮามานกำลังยืนอยู่ในลานพระราชวัง พ่ะย่ะค่ะ” กษัตริย์รับสั่งว่า “ให้เขาเข้ามาที่นี่ซิ” 6ฮามานจึงเข้ามา กษัตริย์ตรัสถามเขาว่า “ถ้าเราต้องการให้เกียรติแก่ใครคนหนึ่ง เราควรจะทำอย่างไรแก่เขา” ฮามานคิดในใจว่า “มีใครเล่าที่กษัตริย์ทรงประสงค์จะประทานเกียรติยศให้มากกว่าเรา” 7ฮามานจึงทูลตอบว่า “ถ้าพระราชาทรงประสงค์จะประทานเกียรติแก่ผู้ใด 8ขอพระองค์ทรงมอบฉลองพระองค์และม้าทรงมีผ้าโพกประดับศีรษะให้เขา 9ข้าราชบริพารตำแหน่งสูงสุดคนหนึ่งจะนำฉลองพระองค์มาให้ผู้ที่พระราชาทรงประสงค์จะประทานเกียรติยศเป็นรางวัล เขาจะให้ผู้นั้นขึ้นบนม้าทรง และจูงม้าไปตามถนนสำคัญของเมือง ร้องประกาศว่า “กษัตริย์ทรงทำเช่นนี้แก่บุคคลที่ทรงประสงค์จะประทานเกียรติยศ” 10กษัตริย์จึงตรัสสั่งฮามานว่า “รีบเข้าเถอะ จงเอาเสื้อและม้าอย่างที่ท่านว่า และทำเช่นนั้นแก่โมรเดคัยชาวยิวซึ่งนั่งที่ประตูพระราชวัง อย่าละเว้นสิ่งใดที่ท่านเสนอมานั้นเลย”
11ฮามานจึงนำฉลองพระองค์กับม้าทรงมาให้โมรเดคัย ให้เขาสวมฉลองพระองค์และขึ้นม้าทรง แล้วจูงม้าไปตามถนนในเมือง ร้องประกาศว่า “กษัตริย์ทรงทำเช่นนี้แก่บุคคลที่ทรงประสงค์จะประทานเกียรติยศ” 12แล้วโมรเดคัยก็กลับมาที่ประตูพระราชวัง แต่ฮามานรีบกลับไปบ้าน คลุมศีรษะด้วยความอับอาย 13เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแก่เศเรชภรรยาและแก่บรรดามิตรสหาย ที่ปรึกษาcและเศเรชภรรยาของเขาบอกเขาว่า “ถ้าท่านเริ่มตกต่ำต่อหน้าโมรเดคัยซึ่งเป็นชาวยิว ท่านจะไม่มีวันชนะเขาได้ ท่านจะพ่ายแพ้เขาแน่นอน”d

ฮามานร่วมงานเลี้ยงอาหารที่พระนางเอสเธอร์ทรงจัด
    14ขณะที่เขาทั้งหลายกำลังพูดกับฮามานอยู่ ขันทีของกษัตริย์ก็มาถึง รีบนำฮามานไปร่วมการเลี้ยงอาหารซึ่งพระนางเอสเธอร์ทรงจัดไว้
7    1กษัตริย์จึงเสด็จพร้อมกับฮามานไปในงานเลี้ยงอาหารกับพระราชินีเอสเธอร์ 2วันที่สอง ขณะที่กำลังเสวยเหล้าองุ่นอยู่ กษัตริย์ตรัสถามพระนางเอสเธอร์อีกว่า “พระราชินีเอสเธอร์ เธอจะขอสิ่งใด เราก็จะให้ แม้เธอจะขอครึ่งหนึ่งของอาณาจักร เราก็จะให้” 3พระราชินีเอสเธอร์ทูลตอบว่า “ข้าแต่พระราชา ถ้าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานเฉพาะพระพักตร์และพระองค์พอพระทัย    หม่อมฉันขอชีวิตของหม่อมฉันและขอพระองค์ทรงไว้ชีวิตประชากรของหม่อมฉัน 4เพราะหม่อมฉันและประชากรของหม่อมฉันถูกขายให้ถูกทำลาย ให้ถูกสังหาร และให้ถูกล้างผลาญ ถ้าพวกเราทั้งชายและหญิงถูกขายเพียงให้เป็นทาส หม่อมฉันก็จะไม่พูดเลย แต่ศัตรูของเราต้องการกำจัดพวกเราทุกคนให้หมดสิ้น”a 5กษัตริย์อาหสุเอรัสจึงตรัสถามพระราชินีเอสเธอร์ว่า “ผู้นั้นเป็นใคร ผู้บังอาจคิดกระทำเช่นนี้อยู่ที่ไหน” 6พระนางเอสเธอร์ทูลตอบว่า “คู่อริและศัตรูคือฮามานคนชั่วร้ายผู้นี้เพคะ”  ฮามานกลัวตัวสั่นอยู่เฉพาะพระพักตร์กษัตริย์และพระราชินี 7กษัตริย์ทรงพระพิโรธ ทรงลุกขึ้นจากงานเลี้ยง เสด็จเข้าไปในพระราชอุทยาน แต่ฮามานยังอยู่ที่นั่นเพื่อทูลขอชีวิตจากพระราชินีเอสเธอร์ เพราะเห็นว่ากษัตริย์จะทรงลงโทษตนแน่นอน 8เมื่อกษัตริย์เสด็จกลับจากพระราชอุทยานมายังสถานที่จัดงานเลี้ยง ฮามานกำลังก้มตัวอยู่ที่พระแท่นซึ่งพระนางเอสเธอร์ประทับอยู่ จึงตรัสว่า “มันยังจะข่มขืนพระราชินีต่อหน้าต่อตาเราในบ้านของเราเทียวหรือ” เมื่อพระวาจาหลุดจากพระโอษฐ์ บรรดาขันทีก็นำผ้ามาคลุมหน้าฮามานไว้b 9ฮารโบนา ขันทีคนหนึ่งที่รับใช้กษัตริย์ทูลว่า “มีตะแลงแกงสูงห้าสิบศอกซึ่งฮามานเตรียมไว้สำหรับโมรเดคัย ผู้เคยทูลรายงานเพื่อพระราชา ตั้งอยู่ที่บ้านของฮามานแล้ว พ่ะย่ะค่ะ” กษัตริย์จึงรับสั่งว่า “เอามันไปแขวนคอไว้บนนั้นเถอะ”c 10ฮามานจึงถูกแขวนคอบนตะแลงแกงที่เขาเตรียมไว้สำหรับโมรเดคัย แล้วพระพิโรธของกษัตริย์ก็สงบลง

ชาวยิวกลับได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์
8    1วันนั้น กษัตริย์อาหสุเอรัสประทานบ้านของฮามานศัตรูของชาวยิวให้แก่พระราชินีเอสเธอร์ โมรเดคัยเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพราะพระนางเอสเธอร์ทูลว่าเขาเป็นญาติกับพระนาง 2กษัตริย์จึงทรงนำพระธำมรงค์ตราที่ทรงมอบให้ฮามานมาประทานแก่โมรเดคัย พระนางเอสเธอร์ก็ทรงตั้งโมรเดคัยให้ดูแลบ้านที่เคยเป็นของฮามาน
    3พระนางเอสเธอร์ยังทรงกราบทูลกษัตริย์อีก พระนางทรงกราบพระบาท หลั่งพระอัสสุชลวอนพระองค์ทรงช่วยชาวยิวให้พ้นจากแผนการร้ายของฮามานชาวอากัก และจากการปองร้ายที่เขาคิดร้ายต่อชาวยิว 4กษัตริย์จึงทรงยื่นพระคทาทองคำไปสัมผัสพระนางเอสเธอร์ พระนางก็ทรงลุกขึ้นประทับยืนเฉพาะพระพักตร์ 5ทูลว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย และถ้าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานเฉพาะพระพักตร์ ถ้าทรงเห็นว่าคำขอของหม่อมฉันถูกต้องและหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานเฉพาะพระพักตร์ ขอทรงมีพระอักษรรับสั่งให้ยกเลิกจดหมายที่ฮามานบุตรฮัมเมดาธาชาวอากักได้คิดขึ้น  สั่งให้ทำลายชาวยิวทุกคนที่อยู่ในแคว้นต่างๆของพระราชา 6หม่อมฉันจะทนดูหายนะของประชากรของหม่อมฉันได้อย่างไร หม่อมฉันจะทนดูการทำลายล้างพี่น้องร่วมชาติของหม่อมฉันได้อย่างไร”
7กษัตริย์อาหสุเอรัสตรัสกับพระราชินีเอสเธอร์และโมรเดคัยชาวยิวว่า “เราให้บ้านของฮามานแก่พระนางเอสเธอร์แล้ว     เขาถูกแขวนคอบนตะแลงแกงเพราะเขาต้องการทำลายชาวยิว 8จงเขียนเพื่อช่วยชาวยิวตามที่ท่านเห็นควรในนามของเรา และประทับตราด้วยแหวนตราของเรา เพราะพระราชกฤษฎีกาที่เขียนในนามของเราและประทับตราด้วยแหวนตราของเราจะยกเลิกไม่ได้”a 9ในวันที่ยี่สิบสามเดือนสาม คือเดือนสิวันb โมรเดคัยเรียกอาลักษณ์เข้ามา สั่งให้เขียนพระราชกฤษฎีกาถึงชาวยิว ถึงผู้ว่าราชการภาค ผู้ว่าราชการแคว้น และเจ้านายของทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดแคว้น ตั้งแต่อินเดียจนถึงเอธิโอเปีย พระราชกฤษฎีกาเขียนถึงแต่ละแคว้นด้วยอักษรเป็นภาษาของชนชาตินั้นๆ และถึงชาวยิวด้วยอักษรเป็นภาษาของเขา 10อาลักษณ์จึงเขียนพระราชกฤษฎีกาในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัส ประทับตราด้วยพระธำมรงค์ตราของพระองค์ และส่งไปโดยผู้ถือสารขี่ม้าเร็วพันธุ์ดีของกษัตริย์ 11ตามพระราชกฤษฎีกานี้ กษัตริย์ทรงอนุญาตให้ชาวยิวที่อยู่ในแต่ละเมืองชุมนุมกันและป้องกันชีวิตของตน ให้ทำลาย ให้สังหาร และให้ล้างผลาญกำลังพลของประชาชนหรือแคว้นใดๆ ซึ่งจะมาทำร้ายตน รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก และให้ปล้นข้าวของของเขาได้ 12พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีผลใช้ในวันเดียวทั่วทุกแคว้นของกษัตริย์อาหสุเอรัส คือวันที่สิบสามเดือนสิบสอง หรือเดือนอาดาร์

พระราชกฤษฎีกาคืนสิทธิแก่ชาวยิว
    (12A) สำเนาของพระราชกฤษฎีกามีว่าดังนี้
    (12B)“กษัตริย์อาหสุเอรัสผู้ยิ่งใหญ่ขอส่งความสุขถึงผู้ว่าราชการของทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดแคว้นตั้งแต่อินเดียจนถึงเอธิโอเปีย และถึงทุกคนที่ดูแลผลประโยชน์ของเรา
    (12C)หลายคนยิ่งได้รับบุญคุณจากผู้มีพระคุณซึ่งมีใจเอื้อเฟื้อ ยิ่งมีความหยิ่งผยองมากขึ้น เขาพยายามทำร้ายผู้อยู่ใต้ปกครองของเขา และวางแผนร้ายต่อผู้มีพระคุณต่อตน เพราะเขาควบคุมความหยิ่งจองหองของตนไม่ได้เลย (12D)เขาลบล้างความกตัญญูรู้คุณจากใจมนุษย์ คิดว่าจะหนีพระเจ้าผู้ทรงเห็นทุกสิ่ง และจะหลบหนีความยุติธรรมของพระองค์ผู้ทรงเกลียดความชั่วร้ายได้ เพราะความหยิ่งยโสโอ้อวดที่ไม่รู้บุญคุณ  (12E)ผู้มีอำนาจปกครองมักจะต้องกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการฆ่าคนบริสุทธิ์ และก่อเหตุร้ายที่แก้ไขไม่ได้ เพราะได้รับอิทธิพลจากเพื่อนที่เขาไว้ใจมอบอำนาจปกครองบ้านเมืองให้ (12F)คนเหล่านี้มักจะหลอกลวงเจตนาบริสุทธิ์ของผู้ปกครองบ้านเมืองด้วยการใส่ร้าย (12G)ความจริงข้อนี้พิสูจน์ได้จากเรื่องราวต่างๆที่ตกทอดมาแต่สมัยโบราณ และยังเห็นได้ชัดยิ่งขึ้นจากการกระทำชั่วร้ายของผู้ที่ใช้อำนาจปกครองอย่างไม่เหมาะสม (12H)ในอนาคต เราจะใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อให้พลเมืองในอาณาจักรของเราอยู่อย่างสงบสุขไม่ถูกรบกวน (12I)เราจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จำเป็น และจะตัดสินอย่างยุติธรรมทุกเรื่องที่มีผู้นำเสนอ”
    (12K)”เช่นเรื่องฮามานบุตรของฮัมเมดาธาชาวมาซิโดเนียc โดยแท้จริงแล้ว เขาไม่มีสายเลือดเป็นชาวเปอร์เซีย และไม่มีใจกว้างเหมือนพวกเรา เราต้อนรับเขาอย่างดี (12L)เขาได้รับความเมตตากรุณาที่เรามีต่อชนทุกชาติ จนได้รับเกียรติได้ชื่อว่า “บิดาของราชอาณาจักร” ทุกคนต้องก้มกราบให้เกียรติเขาที่มีตำแหน่งเป็นที่สองรองจากกษัตริย์ (12M)แต่ความทะเยอทะยานของเขาไม่มีขอบเขต เขาพยายามแย่งอำนาจจากเรา รวมทั้งแย่งชีวิตของเราด้วย (12N)เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมและอ้างเหตุผลหลอกลวงเราให้ประหารชีวิตโมรเดคัยผู้ช่วยชีวิตเราและมีบุญคุณต่อเราตลอดมา และยังต้องการประหารชีวิตพระนางเอสเธอร์ ชายาผู้ไม่มีความผิดของเรา พร้อมกับชนชาติทั้งหมดของพระนางด้วย (12O)ด้วยวิธีนี้ เขาคิดจะทำให้เราต้องอยู่โดดเดี่ยวไม่มีผู้ช่วยเหลือ แล้วจะได้มอบอาณาจักรเปอร์เซียให้แก่ชาวมาซิโดเนีย”
    (12P)”แต่แล้วเราก็พบว่าชาวยิวเหล่านี้ ที่อาชญากรชั่วร้ายที่สุดผู้นี้ต้องการทำลายล้างไม่ใช่อาชญากรเลย แต่เป็นผู้ปฏิบัติตามกฎหมายที่ชอบธรรม (12Q)เขาเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด ยิ่งใหญ่ที่สุด และทรงชีวิต พระองค์ทรงนำอาณาจักรของเราให้อยู่ในสภาพรุ่งเรืองที่สุดเพื่อพวกเราตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษมาแล้ว (12R)ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงยกเลิกจดหมายที่ฮามานบุตรของฮัมเมดาธาส่งมา เพราะผู้ที่ได้กระทำความชั่วเหล่านี้ถูกแขวนคอพร้อมกับครอบครัวทั้งหมดของเขาแล้วที่ประตูนครสุสา พระเจ้าผู้ทรงปกครองทุกสิ่งทรงลงโทษเขาอย่างเหมาะสมโดยไม่รอช้า (12S)ท่านทั้งหลายจงประกาศสำเนาจดหมายฉบับนี้ตามที่สาธารณะทุกแห่ง จงปล่อยให้ชาวยิวดำเนินชีวิตเป็นอิสระตามกฎหมายของตน และจงช่วยเหลือเขาให้ป้องกันตนเองจากผู้ต้องการโจมตีเขาในวันที่กำหนดไว้เพื่อเบียดเบียนเขา คือวันที่สิบสามเดือนสิบสอง หรือเดือนอาดาร์ (12T)วันนั้นแทนที่จะเป็นวันหายนะของชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พระเจ้าผู้ทรงปกครองทุกสิ่งได้ทรงเปลี่ยนให้เป็นวันชื่นชมยินดี (12U)ส่วนท่านทั้งหลายที่เป็นชาวยิว จงจัดวันสำคัญนี้ให้เป็นวันฉลองวันหนึ่งของท่าน ที่ท่านจะต้องฉลองด้วยงานเลี้ยงน่ายินดีเหมือนวันฉลองอื่นๆที่กำหนดไว้ เพื่อทั้งในเวลานี้และในภายหน้าจะได้เป็นวันฉลองชัยชนะของพวกเราและของบรรดามิตรสหายชาวเปอร์เซีย และเป็นการเตือนให้ระลึกถึงความพินาศของผู้ที่วางแผนร้ายต่อพวกเรา”
    (12V)เมืองใดหรือหมู่บ้านใดที่ไม่ปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ จะถูกเผาทำลายสิ้นเป็นการลงโทษ ทั้งมนุษย์ สัตว์ป่าและนกจะเข้ามาอาศัยอยู่ไม่ได้ตลอดไป”
    13สำเนาของพระราชกฤษฎีกาจะต้องประกาศเป็นกฎหมายในแต่ละแคว้น ให้ชนทุกชาติรู้ ชาวยิวจะได้เตรียมพร้อมเพื่อป้องกันตนเองจากศัตรูในวันที่กำหนด 14ผู้ถือสารขี่ม้าเร็วของกษัตริย์รีบปฏิบัติตามพระบัญชา พระราชกฤษฎีกาออกประกาศในนครสุสาทันที 15โมรเดคัยออกจากพระราชวัง สวมอาภรณ์สีม่วงแดงและสีขาวของกษัตริย์ ประดับศีรษะด้วยผ้าโพกผืนใหญ่สีทองและสวมเสื้อคลุมผ้าป่านสีม่วงแดง ชาวนครสุสาก็โห่ร้องด้วยความยินดี 16ชาวยิวมีความสุข ความยินดี ความชื่นบานและเกียรติยศ 17ทุกแคว้นทุกเมือง ไม่ว่าที่ใดที่พระบัญชาของกษัตริย์และพระราชกฤษฎีกามาถึง ชาวยิวมีความยินดีและความชื่นบาน จัดงานเลี้ยงเป็นวันฉลอง คนต่างชาติจำนวนมากที่อยู่ในแผ่นดินยอมรับลัทธิยิว เพราะเขากลัวชาวยิว
ชาวยิวทำลายล้างศัตรู
9    1วันที่สิบสามเดือนสิบสอง หรือเดือนอาดาร์ เมื่อจะต้องปฏิบัติตามพระบัญชาของกษัตริย์ และพระราชกฤษฎีกาจะมีผลใช้บังคับ วันที่ศัตรูของชาวยิวหวังจะปราบเขา เหตุการณ์ตรงกันข้ามก็เกิดขึ้น ชาวยิวกลับปราบพวกที่เกลียดชังเขา 2ชาวยิวชุมนุมกันตามเมืองต่างๆในทุกแคว้นของกษัตริย์อาหสุเอรัสเพื่อจะทำลายผู้พยายามทำร้ายเขา ไม่มีผู้ใดต่อต้านเขาได้ เพราะประชาชนทั้งปวงกลัวชาวยิว 3บรรดาเจ้านายผู้ปกครองแคว้นต่างๆ บรรดาผู้ว่าราชการแคว้น ผู้ว่าราชการภาคและข้าราชการอื่นๆก็ช่วยชาวยิวด้วย เพราะกลัวโมรเดคัย 4โมรเดคัยมีอำนาจยิ่งใหญ่ในราชสำนักและชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น เขามีอำนาจมากยิ่งขึ้นทุกที
    5ชาวยิวใช้ดาบฆ่าฟันทำลายศัตรูทุกคน เขาทำแก่ผู้ที่เกลียดชังเขาตามใจชอบa 6ในนครสุสาชาวยิวฆ่าและทำลายล้างศัตรูห้าร้อยคน 7ฆ่าปารชันดาธา ดาลโฟน อัสปาธา 8โปราธา อาดัลยา อารีดาธา 9ปารมัชทา อารีสัย อารีดัย และไวซาธา 10คนเหล่านี้ทั้งสิบคนเป็นบุตรชายของฮามาน บุตรของฮัมเมดาธา ศัตรูของชาวยิว แต่ชาวยิวไม่ได้ปล้นทรัพย์สินของผู้ใด
    11วันนั้นมีผู้ไปทูลกษัตริย์ให้ทรงทราบจำนวนคนที่ถูกฆ่าในนครสุสา 12กษัตริย์จึงตรัสกับพระราชินีเอสเธอร์ว่า “ในนครสุสา ชาวยิวฆ่าและทำลายศัตรูถึงห้าร้อยคน ฆ่าบุตรชายทั้งสิบคนของฮามานด้วย แล้วในแคว้นอื่นๆในอาณาจักรเขาคงจะได้ฆ่าอีกจำนวนมาก บัดนี้ เธอจะขออะไรอีก เราก็จะให้ เธอจะขออะไร เราก็จะทำ” 13พระนางเอสเธอร์จึงทูลว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ชาวยิวในนครสุสาได้รับอนุญาตให้ทำตามพระราชกฤษฎีกาของวันนี้ในวันพรุ่งนี้อีก และขอให้ศพบุตรชายทั้งสิบคนของฮามานถูกแขวนไว้บนตะแลงแกง” 14กษัตริย์ทรงบัญชาให้ทำเช่นนั้น พระราชกฤษฎีกาถูกประกาศในนครสุสา ศพของบุตรชายทั้งสิบคนของฮามานจึงถูกแขวนบนตะแลงแกง 15ชาวยิวที่อยู่ในนครสุสามาชุมนุมกันอีกในวันที่สิบสี่เดือนอาดาร์ และฆ่าศัตรูสามร้อยคนในนครสุสา แต่ไม่ได้ปล้นทรัพย์สินของเขา
    16ชาวยิวอื่นๆซึ่งอยู่ในแคว้นต่างๆของกษัตริย์ก็ชุมนุมกันป้องกันชีวิตของตน และมีความปลอดภัยจากศัตรู เขาฆ่าผู้ที่เกลียดชังเขาจำนวนเจ็ดหมื่นห้าพันคนb แต่ไม่ได้ปล้นทรัพย์สิน 17เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นวันที่สิบสามเดือนอาดาร์ และวันที่สิบสี่เขาก็หยุดฆ่า และทำวันนั้นให้เป็นวันกินเลี้ยงและยินดี 18แต่ชาวยิวในนครสุสาชุมนุมกันฆ่าศัตรูในวันที่สิบสามและวันที่สิบสี่ แล้วหยุดฆ่าในวันที่สิบห้า ทำให้วันนั้นเป็นวันกินเลี้ยงและยินดีc 19ดังนั้นชาวยิวในชนบท ซึ่งอยู่ตามหัวเมืองที่ไม่มีกำแพงล้อมถือวันที่สิบสี่เดือนอาดาร์เป็นวันยินดีจัดงานเลี้ยงและเป็นวันฉลอง เป็นวันที่เขาส่งอาหารเป็นของขวัญให้แก่กัน (19A)ส่วนชาวยิวซึ่งอยู่ในเมืองใหญ่ทำให้วันที่สิบห้าเดือนอาดาร์เป็นวันยินดีและวันฉลอง เป็นวันที่เขาส่งอาหารเป็นของขวัญให้แก่กัน