ที่มา :     หนังสือ ตอบคำถามยากๆ ในชีวิต (God’s Answer to Life’s Difficult Questions)
ริค วอร์เร็น เขียน
Seed Publishing


ฉันจะจัดการกับความเครียดได้อย่างไร
พระเยซูคริสต์อยู่ภายใต้แรงกดดันตลอดเวลา มีคนเรียกร้องเวลาจากพระองค์มาก จนแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย พระองค์ถูกขัดจังหวะเป็นประจำ ผู้คนเข้าใจพระองค์ผิดๆ วิพากษ์วิจารณ์และเยาะเย้ยพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระองค์มีความเครียดมากขนาดว่าถ้าเป็นเราก็คงล้มครืนไปแล้วแน่ ๆ
    แต่เมื่อดูชีวิตพระคริสต์ เราจะพบทันทีว่า พระองค์ยังคงสงบนิ่งภายใต้แรงกดดันได้ ไม่เคยเร่งรีบ ไม่เคยกังวลเลย พระองค์มีความสงบในชีวิตที่ช่วยให้สามารถรับมือกับความเครียดมากมายได้ พระองค์ทำแบบนี้ได้อย่างไร คำตอบก็กล่าวได้ง่าย ๆ ว่า พระองค์วางชีวิตบนหลักการที่ถูกต้องในการจัดการความเครียด ถ้าเราเข้าใจและนำหลักการทั้งแปดนี้มาใช้ในชีวิต เราก็จะเครียดน้อยลง และมีจิตใจสงบมากขึ้น

การหาเอกลักษณ์ : รู้ว่าคุณเป็นใคร
    พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นแสงสว่างส่องโลก ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืด แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต” (ยน. 8:12) “เราเป็นประตู”  (ยน. 10:9)  “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต” (ยน. 14:6) “เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี” (ยน. 10:11)  “เราเป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน. 10:36) พระคริสต์รู้ว่าพระองค์เป็นใคร
    หลักการแรกในการจัดการความเครียดในชีวิต คือ รู้ว่าคุณเป็นใคร นี่คือหลักการหาเอกลักษณ์ของตัวเอง พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นพยานให้ตนเอง และพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาทรงเป็นพยานให้เราด้วย” (ยน. 8:18) เรื่องนี้สำคัญยิ่งในการจัดการความเครียด เพราะถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร ถ้าคุณไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร คุณจะปล่อยให้คนอื่นมาควบคุมโดยไม่รู้ตัว และกดดันให้คุณเชื่อว่าคุณเป็นใครบางคนที่ไม่ใช่คุณ
    ความเครียดมากมายในชีวิตเป็นผลมาจากการซ่อนตัวอยู่หลังหน้ากาก การดำเนินชีวิตสองมาตรฐาน โดยไม่เป็นตัวจริงต่อหน้าคนอื่นๆ และพยายามจะเป็นอะไรที่เราไม่ได้เป็น ความไม่มั่นคงมักสร้างแรงกดดันในชีวิตเสมอ และเมื่อเราไม่มั่นคง เรารู้สึกถูกบังคับให้แสดงออกและทำตามคนอื่น เราตั้งมาตรฐานที่ไม่จริงสำหรับชีวิตและถึงแม้เราจะพยายาม ทำ ทำ ทำ แต่ก็จะไม่สามารถบรรลุมาตรฐานที่ไม่จริงเหล่านั้นได้ ความเครียดและแรงกดดันก็จะเกิดตามมาโดยธรรมชาติ

    วิธีแรกที่จะรักษาสมดุลความเครียดในชีวิตผมก็คือ หาสมดุลย์ภายในว่าผมเป็นใครก่อน และผมจะรู้ว่าตัวเองเป็นใครก็ต่อเมื่อรู้ว่าผมเป็นของใคร ผมเป็นลูกของพระเจ้า การที่ผมมาอยู่ในโลกนี้ไม่ใช่สาเหตุบังเอิญ แต่เพื่อเป้าหมายบางอย่าง ผมเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า และพระองค์ยอมรับผม พระองค์มีแผนการสำหรับชีวิตผม และเพราะพระองค์วางผมไว้ในโลกนี้ ผมจึงมีความสำคัญ
    และการที่พระองค์วางคุณไว้ที่นี่ คุณจึงมีความสำคัญ การจะรับมือความเครียดได้คุณต้องรู้ว่าคุณเป็นใคร จนกว่าคุณจะจัดการบัญหานี้ได้ก่อน มิเช่นนั้นคุณก็จะถูกหยุดยั้งจากความไม่มั่นคงเรื่อยไป

การอุทิศตัว : รู้ว่าคุณพยายามเอาใจใคร
    หลักการที่สองในการจัดการความเครียดในชีวิตของพระคริสต์พบได้ในยอห์น บทที่ 5:30 “เราทำอะไรตามใจของเราไม่ได้ เราได้ยินมาอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และคำพิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้แสวงหาที่จะทำตามใจของเรา แต่ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”
    หลักการนี้คือ รู้ว่าคุณกำลังพยายามเอาใจใคร คุณไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ เพราะกว่าคนกลุ่มหนึ่งจะพอใจคุณ อีกกลุ่มก็อารมณ์เสียกับคุณเรียบร้อยแล้ว แม้แต่พระเจ้าก็ไม่เอาใจทุกคน ฉะนั้น จึงเป็นการโง่เขลาที่จะพยายามทำสิ่งที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่ทำ
    พระเยซูเจ้ารู้ว่าพระองค์พยายามทำให้ใครพอใจ นี่เป็นประเด็นที่พระองค์ไม่ลังเลเลย “เราจะทำให้พระเจ้าพระบิดาพึงพอพระทัย” แล้วพระบิดาตรัสตอบว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” (มธ. 3:17)
    เมื่อคุณไม่รู้ว่าคุณพยายามทำให้ใครพอใจ คุณก็จะพ่ายแพ้ในสามเรื่องนี้ คือ การวิพากษ์วิจารณ์ (เพราะคุณสนใจแต่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับคุณ) การแข่งขัน (เพราะกังวลว่า คนอื่นกำลังแซงหน้าคุณไปหรือเปล่า) และความขัดแย้ง (เพราะคุณถูกคุกคามเวลาคนไม่เห็นด้วยกับคุณ) ถ้าผม “แสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้” (มธ. 6:33) นี่หมายความว่า ถ้าผมจดจ่อเอาใจพระเจ้า ก็จะทำให้ชีวิตผมเรียบง่ายขึ้น ผมจะทำสิ่งที่ถูกเสมอ คือ สิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรก็ตาม
    เราชอบโทษคนอื่นและหน้าที่การงานต่าง ๆ เรื่องความเครียดของเรา “คุณทำให้ผมต้อง... ฉันก็ต้อง... ก็ผมจำเป็น” จริง ๆ แล้วมีไม่กี่อย่างในชีวิต (นอกจากงานของเรา) ที่เราต้องทำ เมื่อเราพูดว่า “ฉันต้อง ฉันจำเป็น ฉันจำต้อง” จริง ๆ แล้วเรากำลังพูดว่า “ฉันเลือกที่จะทำ เพราะฉันไม่อยากรับผลที่จะเกิดขึ้น” แทบไม่มีใครบังคับให้เราทำอะไรได้ ดังนั้น ปกติเราจงไม่สามารถโทษคนอื่นเรื่องความเครียดของเราได้ เมื่อเรารู้สึกถูกกดดัน เราก็กำลังเลือกที่จะให้คนมานำเราไปอยู่ใต้ความกดดัน เราไม่ใช่เหยื่อ นอกเสียจากเราจะยอมให้ตัวเองถูกกดดันจากการเรียกร้องของคนอื่นเสียเอง

การจัดการ : รู้ว่าคุณพยายามจะบรรลุเป้าหมายอะไร
    นี่คือสิ่งที่พระคริสต์บอกเป็นนัยไว้เกี่ยวกับหลักการที่สามในการจัดการความเครียด “แม้เราจะเป็นพยานให้ตนเอง คำยืนยันเป็นพยานของเราก็น่าเชื่อถือ เพราะเรารู้ว่า เรามาจากไหน และกำลังจะไปไหน” (ยน. 8:14)  หลักการคือ รู้ว่าคุณต้องการบรรลุเป้าหมายอะไร พระคริสต์ตรัสว่า “เรารู้ว่า เรามาจากไหน และกำลังจะไปไหน” ถ้าคุณไม่วางแผนชีวิตและจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง คุณก็จะถูกคนอื่นกดดันให้ทำสิ่งที่พวกเขาคิดว่าสำคัญ
    ทุก ๆ วัน ถ้าคุณไม่ดำเนินชีวิตตามลำดับความสำคัญของคุณ คุณก็ดำเนินชีวิตด้วยแรงกดดัน ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าคุณไม่ตัดสินใจว่าอะไรสำคัญในชีวิต คุณก็จะปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินใจแทนว่าอะไรสำคัญในชีวิตคุณ
    การทำอะไรภายใต้แรงกดดันของความเร่งด่วนก็ง่าย แต่พอสิ้นสุดวันนั้น แล้วมานั่งคิดดูว่า “ฉันได้ทำอะไรเสร็จไปบ้างหรือเปล่านี่ ฉันใช้พลังงานไปมากมาย และทำหลายอย่าง แต่ได้ทำอะไรที่สำคัญๆเสร็จบ้างไหม” การมีงานยุ่งไม่จำเป็นว่าต้องเกิดผลเสมอไป คุณอาจหมุนติ้วเป็นวงกลม แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเลย
    การเตรียมตัวทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย พูดอีกอย่างก็คือ “การเตรียมตัวเป็นการป้องกันแรงกดดัน แต่การผัดวันประกันพรุ่ง สร้างแรงกดดันขึ้น การจัดการอย่างเป็นระบบและการเตรียมการที่ดีลดความเครียดลงได้ เพราะคุณรู้ว่าคุณเป็นใคร คุณพยายามทำให้ใครพอใจ และคุณต้องการทำอะไรให้สำเร็จ การมีเป้าหมายชัดเจนทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ใช้เวลาวันละสองสามนาทีพูดกับพระเจ้าในคำภาวนา มองดูตารางงานของคุณในวันนั้นแล้วตัดสินใจว่า “ฉันอยากใช้เวลาหนึ่งวันในชีวิตแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม” ฉันยอมแลก 24 ชั่วโมงในชีวิตเพื่อกิจกรรมเหล่านี้หรือไม่”

การรวมศูนย์ : จดจ่อทีละเรื่อง
    บางครั้ง คุณเคยพบตัวเองถูกดึงไปคนละทิศละทางบ้างไหม หลายคนพยายามทำให้พระเยซูเจ้าออกนอกตารางที่พระองค์วางแผนไว้ พวกเขาพยายามทำให้พระองค์เขวไปจากเป้าหมายในชีวิต “เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จออกไปยังที่สงัด ประชาชนต่างเสาะหาพระองค์จนพบ แล้วหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไม่ยอมให้จากพวกเขาไป” (ลก. 4:42) พระเยซูเจ้ากำลังจะจากไป แต่พวกเขาพยายามให้พระองค์อยู่ต่อ
    พระเยซูเจ้าตอบว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เมืองอื่นด้วย เพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อการนี้” (ลก. 4:43) พระองค์ไม่ปล่อยให้เรื่องที่สำคัญน้อยกว่ามาทำให้พระองค์เขวไป
    หลักการข้อสี่สำหรับการจัดการความเครียดคือ จดจ่อทีละเรื่อง นี่เป็นหลักการของการรวมศูนย์ พระเยซูเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้เชียวละ ดูเหมือนทุกคนพยายามขัดจังหวะพระองค์ ใคร ๆ ก็มีแผนสำรองไว้ให้พระองค์ แต่พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ขอโทษที เราต้องมุ่งไปสู่เป้าหมายของเรา” พระองค์ตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งที่พระองค์รู้ว่าพระเจ้าบอกให้ทำ นั่นคือ สั่งสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์แน่วแน่ ยืนหยัด และจดจ่อ
    เวลาผมมีงานสามสิบอย่างที่ต้องทำอยู่บนโต๊ะ ผมจะกวาดโต๊ะให้โล่งแล้วทำอย่างเดียว พอทำเสร็จ ค่อยหยิบงานอื่นมาทำต่อ คุณจะจับปลาสองมือในคราวเดียวไม่ได้ คุณต้องจดจ่อทีละอย่าง
    เมื่อเรากระจายความพยายามของเราไปทำทีละหลาย ๆ อย่าง เราก็จะขาดประสิทธิภาพ แต่เมื่อเรารวบรวมกำลังของเรามุ่งไปยังจุดเดียว เราก็เกิดผลมากขึ้น แสงที่กระจายออกจะให้แสงที่พร่ามัว แต่แสงที่รวมอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งก่อให้เกิดประกายไฟได้ พระเยซูคริสต์ไม่ได้ปล่อยให้สิ่งที่มาขัดจังหวะเหล่านั้นกีดขวางพระองค์จากการจดจ่อที่เป้าหมาย พระองค์ไม่ยอมให้คนอื่นมาทำให้พระองค์ตึงเครียด กดดัน หรือรำคาญใจได้

การกระจายงาน : อย่าทำทุกอย่างเองหมด
    วันหนึ่ง “พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปบนภูเขา ทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงต้องการให้มาพบ เขาเหล่านั้นก็มาเฝ้าพระองค์” มก. 3:13 พระองค์แต่งตั้งชายสิบสองคนและทรงมอบหมายให้เป็นอัครสาวก เพื่อให้อยู่กับพระองค์ และพระองค์จะได้ส่งพวกเขาออกไปเทศนา สั่งสอน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเยซูเจ้ากระจายอำนาจของพระองค์ นี่คือหลักการที่ห้า อย่าพยายามทำทุกอย่างเองหมด ใช้หลักการกระจายงาน
    คุณรู้มั๊ยว่าทำไมเราจึงวิตกกังวลและตึงเครียด เพราะเราคิดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราเราหมด “ผมนี่แหละ แบกภาระความกังวลของโลกไว้หมด ทุกอย่างอยู่บานบ่าผม ถ้าผมปล่อยไป โลกก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ” แต่เมื่อปล่อยจริง ๆ โลกก็ไม่แตกเป็นเสี่ยง ๆ พระเยซูเจ้าไปเกณฑ์สาวกสิบสองคนมาฝึก เพื่อให้พวกเขาแบ่งเบาภาระของพระองค์ พระองค์ทรงกระจายงาน และให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม
    ทำไมเราไม่กระจายงาน ทำไมเราไม่ให้คนอื่นเข้ามามีส่วน ทำไมเราพยายามทำทุกอย่างเองหมด มีเหตุผลสองข้อ เหตุผลแรกคือ การนิยมความสมบูรณ์แบบ เราคิดว่า “ถ้าฉันต้องการให้งานออกมาดี ฉันต้องทำเอง” นี่เป็นความคิดที่ดี แต่ก็มักไม่ได้ผลบ่อย ๆ เพราะมีหลายสิ่งที่ต้องทำมากเกินกำลัง เราไม่มีเวลาทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เองหมด นี่เป็นท่าทีแบบชอบยกตัวเองว่า “ไม่มีใคร ไม่มีใครเลยสามารถทำแบบที่ฉันทำได้”
    คุณคิดว่าพระเยซูเจ้าน่าจะทำงานได้ดีกว่าสาวกเหล่านี้ไหม แน่นอน พระองค์ทำได้ดีกว่าแน่ ๆ แต่พระองค์ปล่อยให้พวกเขาทำทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็ทำได้ดีกว่า เราต้องปล่อยให้คนอื่นทำผิดพลาดบ้าง เพื่อพวกเขาจะได้เรียนรู้ แบบเดียวกับสาวก อย่าปล้นการเรียนรู้ไปจากคนอื่น
    อีกเหตุผลหนึ่งที่เราไม่กระจายงาน ก็คือ ความไม่มั่นคงส่วนตัว “ถ้าฉันมอบความรับผิดชอบนี้ให้คนอื่น แล้วเขาเกิดทำได้ดีกว่าล่ะ” ความคิดเช่นนี้ทำให้เรากลัว แต่คุณจะไม่กลัวความเป็นไปได้แบบนี้ ถ้าคุณรู้ว่า คุณเป็นใคร คุณกำลังพยายามทำให้ใครพอใจ คุณต้องการบรรลุเป้าหมายอะไร และสิ่งเดียวที่คุณต้องจดจ่อคืออะไร การที่จะมีประสิทธิภาพได้ คุณต้องให้คนอื่นเข้ามามีส่วนด้วย เพราะคุณไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้มากกว่าครั้งละเรื่องอย่างมีประสิทธิภาพ

การใคร่ครวญ : สร้างนิสัยการอธิษฐานส่วนตัว
    พระเยซูเจ้ามักจะตื่นมาอธิษฐานบ่อย ๆ “พระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เสด็จออกจากบ้านไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น” (มก. 1:35) หลักการที่หกในการจัดการความเครียดคือ สร้างนิสัยการอธิษฐานส่วนตัว นี่คือหลักการใคร่ครวญ การอธิษฐานเป็นตัวบรรเทาความเครียดได้อย่างมหาศาล เป็นเครื่องมือที่พระเจ้าประทานให้เพื่อระบายความกระวนกระวายของคุณ ไม่ว่าพระเยซูจะยุ่งขนาดไหน พระองค์ก็ปฏิบัติแบบนี้เสมอที่จะใช้เวลาตามลำพังกับพระเจ้า ถ้าพระเยซูยังจัดเวลาอธิษฐานทั้ง ๆ ที่มีงานยุ่งมาก คุณและผมไม่ยิ่งต้องอธิษฐานมากกว่านั้นหรือ เวลาเงียบๆ ตามลำพังกับพระเจ้า แม้จะสั้นๆ ก็อาจเป็นที่ลดความดันเพื่อคลายความตรึงเครียดในชีวิตได้ เราพูดกับพระเจ้าในคำอธิษฐาน บอกพระองค์ถึงสิ่งที่อยู่ในความคิดของเรา และให้พระองค์พูดกับเราขณะอ่านพระคัมภีร์ จากนั้นก็ดูตารางเวลาของเรา ประเมินลำดับความสำคัญก่อนหลัง และรอคอยคำสั่ง
    ปัญหามากมายของเรามาจากการที่เราไม่สามารถนั่งลงนิ่งๆได้  เราไม่รู้ว่าจะนิ่งเงียบเฉยๆ ได้อย่างไร พวกเราหลายคนไม่สามารถนั่งในรถเงียบๆ โดยไม่เปิดวิทยุได้ถึงห้านาทีเลย
    ถ้าคุณเดินเข้าบ้าน แล้วพบว่าตัวเองอยู่คนเดียว คุณจะทำอะไรอย่างแรก คุณก็อาจเปิดโทรทัศน์ หรือเปิดเพลง ความเงียบทำให้เราอึดอัด แต่พระเจ้าตรัสว่า “จงยอมรับว่าเราคือพระเจ้า สูงสุดเหนือชาติทั้งปวง สูงสุดเหนือแผ่นดิน” (สดด. 46:10) เหตุผลหนึ่งที่หลายคนไม่รู้จักพระเจ้าเป็นส่วนตัวก็เพราะพวกเขาอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ พวกเขายุ่งเกินไปที่จะอยู่เงียบๆ แล้วใช้ความคิด
    ครั้งหนึ่งมีคนพูดว่า “ดูเหมือนเป็นนิสัยน่าประหลาดของมนุษย์ที่เมื่อเขาหลงทาง เขาก็ยิ่งเร่งความเร็วขึ้นอีกเท่าตัว “เหมือนนักบินเครื่องบินรบในกองทัพอากาศสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่บินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อเขาส่งสัญญาณวิทยุเข้ามา ผู้คุมวิทยุการบินถามว่า “คุณอยู่ที่ไหน” นักบินตอบว่า “ผมไม่รู้ แต่ผมกำลังเร่งความเร็วทำลายสถิติอยู่”
    หลายคนเป็นแบบนั้น คือ พวกเขากังวลเร่งสปีดชีวิต โดยไม่รู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปไหน เราจำเป็นต้องเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการอธิษฐานเหมือนพระเยซูเจ้า แล้วก็หยุดอธิษฐานอีกเป็นช่วง ๆ ตลอดวัน เพื่อชาร์ตไฟจิตวิญญาณของเรา

การพักผ่อนหย่อนใจ : หาเวลาพักเพื่อสนุกกับชีวิตบ้าง
    ครั้งหนึ่งสาวกทั้งสิบสองของพระเยซูตั้งวงล้อมพระเยซู และรายงานทุกสิ่งที่ได้ทำและสั่งสอนไป พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด” เพราะมีคนไปมาจนเขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินอาหาร (มก. 6:31) หลักการข้อเจ็ดสำหรับการจัดการความเครียดคือ หาเวลาพักเพ่อสนุกกับชีวิต นี่คือหลักการของการผ่อนคลายและพักผ่อนหย่อนใจ พระเยซูเจ้ามองไปยังคนเหล่านี้ซึ่งตรากตรำทำงานหนักโดยไม่หยุดหย่อน แล้วพูดว่า “วันนี้พวกสมควรได้พัก ไปพักผ่อนกัน หยุดงานกันเถอะ” แล้วพวกเขาก็ลงเรือ พายข้ามไปอีกฟากของทะเลสาบ และออกไปพักผ่อนในที่เปลี่ยว
    เหตุผลหนึ่งที่ทำไมพระเยซูจึงรับมือกับความเครียดได้ก็คือ พระองค์รู้ว่าเมื่อไรควรพัก พระองค์มักออกไปไปภูเขาหรือไม่ก็ที่เปลี่ยวอยู่บ่อย ๆ เพื่อผ่อนคลาย
    การพักผ่อนหย่อนใจในชีวิตไม่ใช่ทางเลือก แท้จริง การพักผ่อนสำคัญมากจนพระเจ้าต้องรวบรวมไว้อยู่ในบัญญัติ 10 ประการด้วย วันสับบาโตถูกกำหนดไว้เพื่อมนุษยชาติ เพราะพระเจ้ารู้ว่าองค์ประกอบทางกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณของเราต้องการหยุดพักเป็นระยะ ๆ พระเยซูเจ้าเอาตัวรอดจากความเครียดได้เพราะพระองค์สนุกกับชีวิต พระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ผมชอบมากคือ มัทธิว 11:19 กล่าวไว้ทำนองนี้ว่า พระเยซูเจ้ามา “สนุกกับชีวิต” เปาโล เขียนว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียม “ให้หวังในพระเจ้าผู้ประทานทุกสิ่งที่เราต้องการเพื่อความสุขอย่างสมบูรณ์” (1ทธ. 6:17) ชีวิตสมดุลคือ กุญแจของการจัดการความเครียด

การเปลี่ยนแปลง : การมอบความเครียดของคุณให้พระคริสต์
    หลักการที่แปดของการจัดการความเครียดเป็นหลักการที่พระเยซูเจ้าไม่ต้องใช้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่เราต้องการเพราะเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนักจงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” (มธ. 11:28-30) ดังนั้นหลักการสุดท้ายในการจัดการความเครียดคือ มอบความเครียดของคุณให้พระคริสต์ คุณจะไม่มีทางมีความสุขกับสันติสุขในใจอย่างสมบูรณ์ได้ จนกว่าคุณจะมีความสัมพันธ์กับเจ้าชายแห่งสันติเสียก่อน
    พระคริสต์สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณจากเครียดจัดให้มีความพึงพอใจได้ แหล่งความเครียดที่สำคัญมาจากการพยายามดำเนินชีวิตแยกจากพระเจ้า ผู้ทรงรักเรา แล้วพยายามไปตามทางของตัวเอง และเป็นพระเจ้าของตัวเอง
    คุณต้องการอะไร ถ้าคุณไม่เคยมอบชีวิตให้พระคริสต์ แต่คุณอยากเปลี่ยนแปลง จงมอบชีวิตของคุณ รวมถึงความเครียดทั้งหมดให้พระองค์ แล้วพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานชีวิตใหม่ให้ข้าพระองค์ ขอสันติสุขของพระองค์เข้ามาแทนความกดดันที่ข้าพระองค์รู้สึกอยู่นี้ ช่วยข้าพระองค์ให้ทำตามหลักการจัดการความเครียดของพระองค์ได้ด้วย”