แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

red and yellow rosesเชื่อว่าหลายคนคงต้องเคยผ่านเหตุการณ์การทะเลาะกับคนรอบข้างมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อน คนในครอบครัว หรือคนรัก คุณมีวิธีการรับมือกับเหตุการณ์นั้นอย่างไรกันบ้าง มีเทคนิคง่ายๆ มาฝากกันครับ
1. รับฟังและไม่ขัดจังหวะ
เชื่อเถอะว่าไม่มีใครชอบที่จะถูกขัดจังหวะในขณะที่เขาพูด ลองเปลี่ยนบทบาทเป็นฝ่ายนั่งฟังเขาพูดตั้งแต่ต้นจนจบดูสิ นอกจากเขาจะรู้สึกดีที่คุณรับฟังแล้ว ยังจะช่วยลดอารมณ์ร้อนในตัวเขาให้เย็นลงได้อีกด้วย

2. ทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
    นอกจากรับฟังแล้ว สิ่งที่คุณควรทำต่อมาคือ พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แม้ว่ามันจะดูไม่มีเหตุผลก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าเขารู้สึกว่าคุณเข้าใจเขา การทะเลาะก็ย่อมจะจบลงเร็วกว่าที่คุณคิดไว้แน่นอน
3. เก็บถ้อยคำอันร้ายกาจไว้
    บ่อยครั้งในยามโมโห เรามักจะลืมตัวหลุดถ้อยคำที่ไม่ทันคิดออกไป แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง อย่าปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับคุณเชียว เพราะเมื่อพูดไปแล้ว เป็นการยากที่จะเรียกคำนั้นกลับคืนมา ทำใจเย็นๆ และเตือนสติตัวเองทุกครั้งก่อนที่จะปล่อยถ้อยคำรุนแรงออกไป เรื่องที่ว่าแย่จะได้ไม่ดูแย่ไปกว่านี้
4. ลืมอดีตเสียบ้าง
    อดีตคืออดีต ปล่อยทิ้งไป เพราะหากคุณยังจมอยู่กับเรื่องราวความผิดพลาดในครั้งก่อนๆ แล้วหยิบมาโต้แย้งในยามที่ทะเลาะกัน นอกจากจะทำให้คุณไม่สามารถแก้ปัญหาของคุณกับเขาได้แล้ว ยังจะทำให้การทะเลาะบานปลายขึ้นไปอีก ให้นึกเสียว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด ให้โอกาสเขาได้ปรับปรุงตัว และทำลืมๆที่จะพูดถึงความผิดย่อมจะดีกว่า
5. เรียนรู้ที่จะประนีประนอม
    ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการประนีประนอมแทนการพยายามที่จะเอาชนะกันดู แล้วคุณจะพบว่าความขัดแย้งนั้นลดน้อยลงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้ายังมีบางสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วย ก็ให้ลองใช้วิธีพบกันครึ่งทาง คงไม่ทำให้คุณเสียศักดิ์ศรีเท่าไรหรอก
6. รับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย
    การโต้เถียงกันส่วนใหญ่มักเป็นการโต้เถียงที่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นด้วยกับความคิดของตน ซึ่งก็คงเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะมีความคิดเห็นเหมือนกับคุณทุกเรื่องไป แม้ว่าคุณจะพยายามแล้วพยายามอีกที่จะอธิบายให้เขาคล้อยตามคุณ ในทางกลับกัน ถ้าคุณลองเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรับเอาความคิดเห็นของเขามาทำความเข้าใจ นอกจากคุณจะได้แสดงให้เขาเห็นถึงการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นแล้ว ยังจะทำให้ลดปัญหาที่จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งได้อีกต่างหาก
7. นึกถึงความสัมพันธ์อันดีเข้าไว้
    บางครั้งอารมณ์ในยามทะเลาะกัน มักทำให้คุณลืมเลือนความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายทิ้งไปชั่วขณะ โดยมุ่งแต่จะสรรหาถ้อยคำดุเดือดเผ็ดร้อนมาโต้ตอบกัน ลองเปลี่ยนเป็นนำความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีระหว่างเขากับคุณมานึกถึงเป็นอันดับแรกในยามที่ทะเลาะกัน ถึงจะดูเหมือนคุณต้องเป็นฝ่ายยอมเขา แต่ก็ดูมีค่ากว่าการทำร้ายจิตใจของกันและกัน
    อ่านแล้วก็ลองนำไปใช้ ตอนนี้คุณอาจจะมองว่าไม่จำเป็น ก็ยังไม่ได้ทะเลาะกับใครนี่ แต่เชื่อเถอะว่ามนุษย์เราต้องมีสักครั้งที่จะต้องขัดใจกับคนรอบตัว ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่ถ้าเรารู้วิธีที่จะรับมือกับเหตุการณ์นั้นแล้ว ต่อให้เหตุการณ์ร้ายแรงขนาดไหน คุณก็ย่อมจะผ่านไปได้อย่างสบายๆ

การให้อภัยคือการจดจำ
การให้อภัยมิใช่การลืม แท้จริงแล้วการให้อภัยคือการจดจำ
จดจำว่าไม่มีผู้ใดดีพร้อม
จดจำว่าเราทุกคนต่างๆเคยผิดพลาดมาทั้งนั้น
จดจำช่วงขณะที่เราเองก็ต้องการที่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง
จดจำว่าเราต่างก็เคยกล่าวสิ่งที่เราไม่ควรกล่าว
จดจำว่าเราเองก็เคยลืมไปแล้วว่าความรักนั้นสำคัญกว่าความถูกต้อง

การให้อภัยคือการจดจำจริงๆ
จดจำว่าตัวเรานั้นมีความสำคัญกว่าความผิดพลาดที่เราทำมากนัก
จดจำว่าบ่อยครั้งเราต้องเป็นผู้เมตตาและห่วงใยมากกว่านี้
จดจำไว้ว่าการยอมรับข้อผิดพลาดของผู้อื่น จะช่วยให้เรายอมรับความผิดของเราเองได้

การให้อภัยคือการจดจำ
จดจำว่าความผิดพลาดต่างๆนั้นก็ดีเหมือนกัน
จดจำว่าเราเองต้องการการให้อภัยจากผู้อื่นด้วย
จดจำว่าบางครั้งชีวิตก็ได้อะไรหลายอย่างแก่เรา ที่เราควรรับไว้ด้วยความกตัญญู

การให้อภัยคือการจดจำ
จดจำว่าหัวใจของเรายังมีที่ว่างพอสำหรับ
การเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แล้วก็อีกครั้งหนึ่ง
แล้วก็อีกครั้งหนึ่ง

ที่มา : นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 151

ข้อความจากหนังสือพระคัมภีร์ที่ช่วยให้เราเข้าใจความหมายของการให้อภัย ตามที่พระเยซูเจ้าทรงสอน
มธ. 6:12 โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น
มธ. 6:14-15 ถ้าท่านให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน
ยน. 20:23 ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย
รม. 4:7 เป็นความสุขของผู้ที่ได้รับการอภัยความผิด ผู้ซึ่งบาปของเขาถูกลบล้าง
1คร. 13:7 ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง
2คร. 2:7 จึงดีกว่าที่ท่านจะให้อภัยและให้กำลังใจเขา เพื่อเขาจะไม่ต้องรับความทุกข์เกินกว่าที่จะทนได้
อฟ. 1:7 ในองค์พระคริสตเจ้าเราได้รับการไถ่กู้เดชะพระโลหิต คือได้รับการอภัยบาป นี่คือพระหรรษทานอันอุดม
อฟ. 4:32 แต่จงมีใจโอบอ้อมอารี มีเมตตาต่อกัน ให้อภัยกันดังที่พระเจ้าทรงให้อภัยท่าน ในองค์พระคริสตเจ้าเถิด
คส. 3:13 จงผ่อนหนักผ่อนเบากัน หากมีเรื่องผิดใจก็จงยกโทษกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยความผิดของท่านอย่างไร ท่านก็จงให้อภัยอย่างนั้นเถิด
ยก. 5:15 คำอธิษฐานภาวนาด้วยความเชื่อจะช่วยผู้ป่วยให้รอดชีวิต องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดให้ผู้ป่วยลุกขึ้น และถ้าเขาเคยทำบาป เขาก็จะได้รับการอภัย
ยก. 5:20 จงรู้ไว้เถิดว่า ผู้ที่ช่วยคนบาปให้กลับมาจากทางผิด ก็จะช่วยวิญญาณของตนให้รอดพ้นจากความตาย และจะได้รับการอภัยบาปมากมาย