แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako
love_heart1ความรักของแต่ละคนมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ดร.จอห์น ลี นักจิตวิทยาได้แบ่งประเภทของความรักไว้ 6 รูปแบบ ได้แก่

1. ความรักแบบเสน่หา (Eros)
เป็นความรักแบบโรแมนติก เต็มไปด้วยเสน่หา ความใกล้ชิดผูกพัน มักพบว่าเป็นรักแรกพบ หรือต้องตาต้องใจทันทีที่พบเห็น

2. ความรักแบบไม่ผูกมัด (Ludus)
เป็นความรักที่เหมือนกับการเล่นเกม มักพบว่ามีคู่รักมากกว่า1คน หลีกเลี่ยงการถูกผูกมัดอย่างถึงที่สุด

3. ความรักแบบมิตรภาพ (Storge)
เป็นความรักที่พัฒนามาจากมิตรภาพ เป็นความรู้สึกรักใคร่อันเนื่องมาจากการคบหากันมาเป็นเวลานาน ไม่สามารถระบุจุดเริ่มต้นของความรักได้

4. ความรักแบบลุ่มหลง (Mania)
เป็นความรักที่ต้องการให้คู่รักของตนแสดงความรักมากกว่าปกติ แสดงความเป็นเจ้าของ เมื่อใดที่คู่รักไม่ได้แสดงความใส่ใจ จะรู้สึกแย่จนส่งผลกระทบกับร่างกายและจิตใจ จนอาจทำการกระทำใดๆเพื่อให้ความสนใจจากคู่รักกลับคืนมา

5. ความรักแบบมีเหตุผล (Pragma)
เป็นความรักที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความเป็นจริง ผู้ที่มีความรักแบบนี้จะเลือกคู่ที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด อาจด้วยพื้นฐานหรือฐานะที่ใกล้เคียงกัน

6. ความรักแบบเสียสละ (Agape)
เป็นความรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ต้องการเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ มีความห่วงใย และคำนึงถึงความสุขของคนที่ตนรักก่อนความต้องการของตนเอง ยอมเลือกที่จะเจ็บปวดดีกว่าผู้อื่นเจ็บปวด เป็นการให้อย่างไม่มีเงื่อนไข

  • ความรักแบบเสียสละนี่หล่ะ คือความรักที่หลายต่อหลายคนบอกว่าเป็นความรักในอุดมคติ เป็นจริงไม่ได้ แต่องค์พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงไถ่บาปเพื่อมนุษย์ มอบความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้ให้กับเรา ดังนั้นคริสตชนจึงควรเดินตามรอยพระองค์ มอบความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้ให้แก่พระองค์และเพื่อนบ้านของเรา ความหมายของความรักแบบเสียสละนี้อยู่ในพระคัมภีร์ เมื่อนักบุญเปาโลอธิบายการกระทำของผู้มีความรัก ดังนี้ “ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง” (1โครินธ์ 13:12)
  • ความรักอีก 5 รูปแบบข้างต้นจะเสื่อมลงตามกาลเวลา และถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งรูปแบบมิตรภาพที่ใช้เวลาก่อสร้างความสัมพันธ์นานก็ยังถูกพังลงได้เพียงแค่การกระทำเดียว อาจเป็นการกระทำของบุคคลที่สามด้วยซ้ำ ในขณะที่ความรักแบบเสียสละเป็นความรักอมตะ กล่าวคือไม่มีวันตาย แม้จะถูกบุคคลภายนอกมาขัดขวาง ถูกคนที่เรามอบความรักให้เมินเฉย เราก็ยังเป็นผู้ให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข เรามีความสุขที่ได้เป็นผู้ให้ หากเป็นไปตามทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ว่า คนมีแนวโน้มจะรักผู้ที่รักตน คนที่เรามอบความรักให้ก็ย่อมมอบความรักตอบแทนคืนมา แต่ความสุขของการที่ได้กลับมาก็ยังยิ่งใหญ่ไม่เท่ากับการที่เราเป็นผู้มอบความรักให้ผู้อื่นเอง เพราะเรากำลังเดินตามทางขององค์พระเยซูคริสตเจ้าที่ทรงมอบความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่มนุษย์เรา

“แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งหมดคือความรัก” (1โครินธ์ 13:13)