ในวัยเด็กของฉันเมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว ครูส่วนใหญ่ในโรงเรียนประถมของเราทุ่มเทอย่างมากเพื่อพวกเรา เรามีครูท่านหนึ่งซึ่งมีความรู้ในภาษาสันสกฤต ภาษาแมละยาลัม และคณิตศาสตร์ ท่านยังเป็นครูที่ดีมากด้วย แม้ว่าท่านจะเข้มงวด “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” เป็นปรัชญาของท่าน ท่านรักนักเรียนมาก ทุกเช้าท่านจะนำลูกอมครึ่งกิโลกรัมมาแจกให้นักเรียน พวกเราได้รับความรู้จากท่าน พวกเรารักท่าน

    ไม่ใช่แค่เพียงพวกเรา แต่ศิษย์เก่าทุกคนของครูเคารพรักท่าน ท่านเป็นชายโสด เงินบำนาญของท่านก็น้อยมาก แต่ลูกศิษย์ของท่านก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ท่าน
    เมื่อใดก็ตามที่มีการพบปะกันที่โรงเรียนใกล้เคียง ท่านจะไปร่วมงานกับพวกเขา วันหนึ่งที่มหาวิทยาลัยใกล้ๆ มีการประชุมใหญ่ มีการประชาสัมพันธ์ว่าจะมีอาจารย์คนสำคัญที่จบการศึกษาในระดับปริญญาเอกจากประเทศอังกฤษและอเมริกาจะมาเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้ อาจารย์คนสำคัญคนนี้ก็เป็นศิษย์ของท่านด้วย ดังนั้น ครูของเราจึงมีความสุขอย่างมากเมื่อได้อ่านข่าวนี้ ท่านต้องการที่จะไปร่วมประชุมและพบกับศิษย์เก่าของท่าน
    เมื่อท่านมาถึงทางเข้าหอประชุม ผู้ที่ดูแลที่นั่นขอบัตรเชิญจากท่าน แต่ท่านไม่มีบัตรเชิญ ท่านอธิบายกับผู้ดูแลว่าแขกคนสำคัญที่นี่เป็นศิษย์เก่าของท่าน ท่านมาที่นี่เพื่อต้องการที่จะพบเขา ผู้ดูแลยืนกรานและไม่อนุญาตให้ท่านเข้าไปในหอประชุม ท่านรู้สึกโกรธนิดหน่อย ท่านยกเสียงขึ้น ทำให้ผู้รับเชิญบางคนเดินมาที่ทางเข้า ส่วนใหญ่ในพวกเขาเคยเป็นนักเรียนของท่าน ในทันทีพวกเขาตรงไปและสัมผัสที่เท้าของท่าน พลางกล่าวว่า “เชิญเข้ามาข้างในครับ” และเขาพาท่านไปที่ที่นั่งแถวหน้า
    การประชุมเริ่มขึ้น และอาจารย์คนสำคัญมาถึงพร้อมกับบุคคลสำคัญทั้งหมด เขาขึ้นเวที นั่งลง เมื่อเขามองไปรอบๆ เขาเห็นครูเก่าของเขา ทันใดนั้น เขาเดินลงมากจากเวที เดินไปที่ที่คุณครูนั่งอยู่ เขาแตะที่ปลายเท้าของท่าน และจูงมือของท่านให้ขึ้นไปบนเวที เขาขอให้เด็กชายซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ เขา ให้นำเก้าอี้มาอีกตัว และวางมันถัดจากที่นั่งของเขา คุณครูได้รับเชิญให้นั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น ขณะที่เขาเริ่มคำบรรยาย เขากล่าวว่า “ที่ผมเป็นผมมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะครูของผม และผมเป็นหนี้บุญคุณต่อท่าน ซึ่งผมไม่สามารถจ่ายคืนได้หมด”
ชวนคิดสะกิดใจ
    เป็นความความดีและความกตัญญูที่ทำให้คนเรามีเกียรติและยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง