มีเรื่องเล่าเล่าว่าเวลามาถึงแล้วเมื่อพระเยซูเจ้าทรงตัดสินพระทัยเลือกอัครสาวก 12 คน สำหรับวิธีในการเลือกนั้น พระองค์ทรงจัดในรูปแบบของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ผู้ที่พระองค์เห็นสมควรเท่านั้นจึงจะได้เป็นอัครสาวกของพระองค์ มีผู้เดินทางมาแข่งขันมากมาย และการแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือด

    การแข่งขันเริ่มด้วยการแข่งขันสวดภาวนา ผู้ที่เข้าร่วมแข่งขันพยายามแสดงความสามารถในการสวดภาวนา บางคนก็แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถสวดบทภาวนาได้มากมายในเวลาที่จำกัด บางคนใช้ถ้อยคำที่ไพเราะจับใจในการสวดภาวนา บางคนแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถสวดภาวนาได้ด้วยคำพูดที่หลากหลาย แต่เมื่อการตัดสินมาถึง พระเยซูเจ้าไม่ทรงเลือกใครเลย ดูเหมือนว่าการภาวนาที่พวกเขาพยายามแสดงกันอยู่นั้น เป็นเพียงถ้อยคำที่ไร้หัวใจ
    การแข่งขันต่อไปเป็นการแข่งขันการประกอบพิธีกรรม ดูเหมือนว่าผู้แข่งขันเตรียมตัวกันมาอย่างดี บางคนสวมอาภรณ์ในพิธีกรรมที่สวยงาม บางคนใช้กำยานที่มีกลิ่นหอมและราคาแพงในการสร้างบรรยากาศในพิธีกรรม บางคนเน้นไปที่ความหลากหลายของเครื่องดนตรีและการร้องเพลงอันไพเราะ บางคนเน้นที่อิริยาบถอันสง่างาม แต่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูเจ้าไม่ทรงเลือกใคร พระองค์บอกว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันเป็นพิธีกรรมที่ไร้หัวใจ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการแสดง
    การแข่งขันสุดท้ายเป็นการแข่งขันเทศนา ผู้แข่งขันต่างเตรียมตัวมาอย่างดีเช่นกัน บางคนเทศน์สอนโดยมีภาพประกอบ บางคนใช้วาทศิลป์ที่เยี่ยมยอด บางคนนำเสนอด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อีกครั้งหนึ่งที่ไม่มีใครชนะในการแข่งขันครั้งนี้ พระองค์ให้เหตุผลว่า พระองค์ไม่เห็นหัวใจของพวกเขาในการเทศน์สอน สิ่งที่พระองค์เห็นคือวิธีการนำเสนอที่ดีเท่านั้น
    เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดโดยไม่มีใครได้รับเลือกเป็นอัครสาวก พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก พระองค์จึงทรงพระดำเนินไปยังทะเลสาบเพื่อที่จะผ่อนคลายและพักผ่อน พระองค์ทรงเห็นชาวประมงบางคนกำลังจับปลา พระองค์ทรงรู้สึกพอพระทัยพวกเขา เพราะสิ่งที่พระองค์เห็นก็คือเขาทุ่มเทสุดหัวใจและใส่ใจในสิ่งที่เขากำลังกระทำ ดังนั้นพระองค์จึงทรงเลือกพวกเขาเป็นอัครสาวกกลุ่มแรกที่ติดตามพระองค์

ชวนคิดสะกิดใจ
มนุษย์มักมองและตัดสินจากความเก่ง และสิ่งที่เห็นได้จากภายนอก แต่พระเจ้าทรงมองที่จิตใจและความทุ่มแทของเรา