แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

chaiya1

อาทิตย์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต


ข่าวดี    ลูกา 4:1-13
(1)พระเยซูเจ้าทรงได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมทรงพระดำเนินจากแม่น้ำจอร์แดน พระจิตเจ้าทรงนำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร  (2)ทรงถูกปีศาจผจญเป็นเวลาสี่สิบวัน ตลอดเวลานั้นพระองค์มิได้เสวยสิ่งใดเลย ในที่สุด ทรงหิว  (3)ปีศาจจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังเถิด” (4)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่ามนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น”  (5)ปีศาจจึงนำพระองค์ไปยังที่สูงแห่งหนึ่ง แสดงให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรต่าง ๆ ของโลกทั้งหมดในคราวเดียว  (6)และทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะให้อำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดแก่ท่าน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ผู้ใดก็ได้ตามความปรารถนา  (7)  ดังนั้น ถ้าท่านกราบนมัสการข้าพเจ้า ทุกสิ่งจะเป็นของท่าน”  (8)พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น’”
(9)ปีศาจนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงกระโจนลงไปเบื้องล่างเถิด (10) เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘พระเจ้าจะทรงสั่งทูตสวรรค์ให้พิทักษ์รักษาท่าน’ และยังมีเขียนอีกว่า (11)‘ทูตสวรรค์จะคอยพยุงท่านไว้มิให้เท้ากระทบหิน’” (12)แต่พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลย” (13)เมื่อปีศาจทดลองพระองค์ทุกวิถีทางแล้ว จึงแยก



    เราได้เห็นผู้นิพนธ์พระวรสารนำเสนอชีวิตของพระเยซูเจ้าที่พัฒนาเป็นขั้นตอนเรื่อยมาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่ “การประสูติ” ที่เมืองเบธเลเฮม  การ “ดำเนินชีวิต” เยี่ยงสามัญชนที่เมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี  และเมื่อพระชนมายุได้ 12 พรรษา ชีวิตของพระองค์ได้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งด้วยทรงค้นพบ “ความสัมพันธ์พิเศษ” ระหว่างพระองค์เองกับพระเจ้า เมื่อทรงตรัสกับโยเซฟและพระนางมารีย์ว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” (ลก 2:49)    
    ครั้นยอห์น ผู้ทำพิธีล้างปรากฏตัว ชาวยิวซึ่งคิดว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องได้รับความรอดเพราะเป็นลูกหลานของอับราฮัมและเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร กลับยอมฟังคำเทศน์สอนของยอห์นและรับพิธีล้างเพื่อแสดงการกลับใจ จนเกิดขบวนการแสวงหาพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน  สำหรับพระเยซูเจ้า นี่คือเครื่องหมายชัดเจนว่าชีวิตของพระองค์ได้ก้าวมาสู่ขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นหนึ่งแล้ว นั่นคือ...
ถึง “เวลา” แห่งการเริ่มต้นภารกิจแล้ว !
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากทรงรับพิธีล้างที่แม่น้ำจอร์แดน ยังมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” (มธ 3:17) ซึ่งผู้ฟังสมัยนั้นเข้าใจได้ทันทีว่า “บุตรสุดที่รัก” หมายถึง “พระเมสสิยาห์” และ “เป็นที่โปรดปราน” นั้นหมายถึง “ผู้รับใช้ที่ทนทุกข์” (เทียบ สดด 2:7; อสย 42:1 และบทที่ 53)
เท่ากับว่าเสียงนี้ช่วยยืนยันว่า “เวลา” แห่งภารกิจมาถึงแล้วจริง
และในวันนี้ ชีวิตของพระองค์ได้ก้าวมาสู่อีกขั้นตอนหนึ่ง นั่นคือการเลือก “วิธีการ” ที่จะทำให้ภารกิจของพระองค์สำเร็จลุล่วงไป
    พระองค์ต้องตัดสินพระทัยเลือกระหว่างวิธีการของปีศาจกับวิธีการของพระองค์เอง !!!
ก่อนศึกษาวิธีการต่าง ๆ ที่ปีศาจนำมา “ผจญ” (peirazein - เปยราเซน) พระเยซูเจ้า  มีข้อสังเกตที่ควรทราบดังนี้
    1.    คำ peirazein ในภาษากรีกมีความหมายว่า “ทดลอง, ทดสอบ” มากกว่าจะแปลว่า “ผจญ, ประจญ, หรือ ล่อลวง” ซึ่งส่อไปในทางชักชวนผู้อื่นให้กระทำผิด
        เหตุผลคือ ถ้าเราแปลคำ peirazein ในหนังสือปฐมกาลบทที่ 22 ข้อ 1 เป็น “ผจญ” เราก็จะได้ความว่า “พระเจ้าทรงผจญอับราฮัมให้ถวายอิสอัคบุตรชายเป็นเครื่องเผาบูชา”  ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่พระเจ้าจะล่อลวงอับราฮัมให้กระทำผิด
    เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงควรเปลี่ยนความคิดจากสิ่งที่เราเคยเรียกว่า “การผจญ” แล้วมักลงเอยด้วยความพ่ายแพ้หรือ “บาป” เสียใหม่  
    หากเราจะส่งมนุษย์ขึ้นไปโคจรในอวกาศ เราจำเป็นต้องทดสอบจนแน่ใจว่าบุคคลนั้นมีความพร้อมและเหมาะสมสำหรับภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้มิใช่หรือ ?
    กับเราก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรง “ประทานการทดสอบ” แก่ผู้ที่ทรงเลือกสรร  เพื่อช่วยให้เราเข้มแข็งมากขึ้น  มีโอกาสชนะมากขึ้น  และเป็นคนดีเหมาะสมกับงานที่พระองค์จะทรงมอบหมายให้มากขึ้น
    การทดสอบจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวหรือน่าอับอายที่จะต้องปกปิดกันอีกต่อไป     แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องเอาชนะหรือผ่านการทดสอบให้จงได้ !!!
     2.    พระเยซูเจ้าเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงเยรูซาเล็มกับทะเลตาย  ดินแดนนี้มีเนื้อที่ประมาณ 24 x 56 = 1,344 ตารางกิโลเมตรและไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย
        หมายความว่าพระองค์ต้องการ “อยู่ตามลำพัง” เพื่อฟังพระสุรเสียงของพระบิดาเจ้าก่อนเริ่มภารกิจอันยิ่งใหญ่
        น่าเสียดายที่หลายครั้งหลายหนเราดำเนินชีวิตหรือประกอบธุรกิจผิดพลาดไปเพียงเพราะเราไม่ “อยู่ตามลำพัง”  และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญใด ๆ ในโลกนี้ก็ไม่อาจทำแทนเราได้ มีแต่เราเท่านั้นที่ต้องทำด้วยตนเอง เช่นการพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้าและกับเพื่อนพี่น้อง เป็นต้น
     เราจึงต้องรู้จัก “หยุด” จากความวุ่นวาย และ “คิด” ตามลำพังบ้าง
        ขออย่าให้เราผิดพลาดไปเพียงเพราะไม่ให้โอกาสอยู่ตามลำพังกับพระเจ้า !
    3.    พระวรสาร 3 ฉบับเน้นเหมือนกันว่าการทดลองของพระเยซูเจ้าเกิดขึ้นทันทีหลังรับพิธีล้างจากยอห์น  โดยเฉพาะมาระโกระบุไว้ชัดเจนว่า “ทันใดนั้น พระจิตเจ้าทรงดลให้พระองค์เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร” (มก 1:12)
        เป็นความจริงว่าเมื่อชีวิตของเราขึ้นสู่จุดสูงสุดหรือผ่านเหตุการณ์สำคัญที่สุดแล้ว จะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ และส่วนใหญ่มักเป็นภัยมากกว่าเป็นคุณ  เหมือนดอกไม้ไฟที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดและสว่างไสวที่สุดแล้ว ก็จะดับมืดและร่วงตกลงมา
        พระเยซูเจ้าก็เช่นกัน พระองค์พึ่งจะได้รับเกียรติสูงสุด โดยพระจิตเจ้าที่เสด็จมาในรูปของนกพิราบทรงรับรองว่าพระองค์ “เป็นบุตรสุดที่รัก” ของพระบิดา  และทันทีเป็นพระจิตเจ้าอีกเช่นกันที่ทรงนำพระองค์สู่ถิ่นทุรกันดารและการทดลอง (ข้อ 1)
        เราจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อเราประสบความสำเร็จ  หรือขึ้นสู่จุดสูงสุดในชีวิต !!
    4.    การทดลองของพระเยซูเจ้าเป็นการดิ้นรนต่อสู้ภายในจิตใจของพระองค์เอง ไม่ใช่เหตุการณ์จริง  เหตุผลคือในโลกนี้ไม่มี “ที่สูง” ที่สามารถมองเห็นอาณาจักรต่าง ๆ ของโลกทั้งหมดได้ในคราวเดียว  (ข้อ 5)
        แสดงว่า “ปีศาจโจมตีจากภายในจิตใจของเราเอง”  มันสามารถเจาะแนวป้องกันของเราเข้ามาได้  และที่ร้ายกาจสุด ๆ คือมันมี “ความคิดและความปรารถนา” ของตัวเราเองเป็นพันธมิตรและเป็นอาวุธของมัน
        อาจกล่าวได้ว่า “ศัตรู” ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ “ตัวตนของเรา” นั่นเอง !!!
    5.    อย่าคิดว่าพระเยซูเจ้าถูกทดลองครั้งนี้แล้วจบเลย ลูกาเล่าว่า “เมื่อปีศาจทดลองพระองค์ทุกวิถีทางแล้ว จึงแยกจากพระองค์ไป รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม” (ข้อ 13)
          เมื่อพระองค์ตรัสทำนายถึงพระทรมานที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิป เป็นเปโตรผู้เป็นศิษย์รักของพระองค์นั่นเองที่คัดค้านวิถีทางของไม้กางเขน และชักชวนพระองค์ให้เลือกหนทางที่สบายและมีเกียรติมากกว่า จนพระองค์ต้องดุว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง” (มธ 16:21-23)
          เมื่อใกล้วาระสุดท้าย พระองค์กล่าวกับพวกศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่กับเราในการทดลองที่เราได้รับ” (ลก 22:28)
          และที่หนักสุดคือบนภูเขามะกอก เมื่อพระองค์ทรงภาวนาว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ โปรดทรงนำถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด” (ลก 22:39-46)
         แสดงว่าพระองค์ทรงถูกทดลองตลอดชีวิต !!!
        เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงต้อง “เฝ้าระวังตลอดชีวิต”  ไม่ใช่หลงผิดตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญตบะหรือทำการใด ๆ เพื่อให้บรรลุถึงขั้นที่เรียกว่าจิตว่าง “ปลอดจากการทดลอง”  เพราะพระเยซูเจ้าเองก็ไม่เคยและไม่พยายามด้วยที่จะบรรลุถึงขั้นนี้
    6.    ปีศาจรู้ว่าพระเยซูเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจพิเศษ และที่สำคัญพระองค์เองก็ทรงทราบเช่นเดียวกันว่าทรงมีอำนาจพิเศษ  การทดลองทั้งหมดจึงเกี่ยวข้องกับอำนาจหรือพรสวรรค์ของพระองค์นั่นเอง
         ผิดกับเรามนุษย์ที่ไม่มีอำนาจและพรสวรรค์เช่นเดียวกับพระองค์ เราจึงไม่ถูกทดลองให้กระโดดจากที่สูง หรือเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปังดังที่พระองค์ทรงประสบ
        อย่างไรก็ตามเราต้อง “ระมัดระวังการใช้พรสวรรค์ที่มี”  จงอย่าใช้พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษในทางที่ผิด เช่นใช้ความงามหลอกหาผลประโยชน์จากผู้อื่น หรือใช้วาทศิลป์พูดจาจนเปลี่ยนขาวให้เป็นดำหรือดำให้เป็นขาว เป็นต้น
    7.    เนื่องจากไม่มีผู้คนอาศัยในถิ่นทุรกันดาร คนที่เล่าเรื่องนี้จึงเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากพระเยซูเจ้าเอง
         ด้วยเหตุนี้ การทดลองของพระองค์จึงเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตภายในที่พระองค์เองทรงเปิดเผยให้เราได้รับรู้  ดังนั้นเราต้องอ่านด้วยความเคารพสูงสุด
        และเนื่องจากพระองค์เคยผ่านการทดลองมาก่อน  “พระองค์จึงสามารถช่วยเรา” ให้เอาชนะการทดลองต่าง ๆ ได้  
        ขอย้ำว่ามี “พระองค์แต่เพียงผู้เดียว” ที่สามารถช่วยเหลือเราให้ผ่านการทดสอบได้ !!!
    
    “วิธีการ” ต่าง ๆ ที่ปีศาจนำมาทดลองพระเยซูเจ้ามีดังต่อนี้
1.    ใช้วัตถุล่อ  ปีศาจทูลพระเยซูเจ้าว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังเถิด” (ข้อ 3)
        เนื่องจากถิ่นทุรกันดารอยู่ไม่ไกลจากทะเลตายซึ่งเค็มจัด จึงมีก้อนหินปูนเล็ก ๆ คล้ายขนมปังเกลื่อนอยู่บนผืนทราย  ปีศาจรีบฉวยโอกาสนี้ทูลเสนอ “วิธีการ” ที่ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานใด ๆ เลย  “ถ้าพระองค์ต้องการให้ประชาชนติดตามพระองค์ ก็จงใช้อำนาจที่พระองค์มี เปลี่ยนก้อนหินเหล่านี้ให้เป็นขนมปัง แล้วแจกประชาชนเถิด”
        แต่พระองค์ “ไม่เลือก” วิธีการ “ประชานิยม” ดังที่ปีศาจเสนอมาด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ประการคือ
        1.1    เป็นการติดสินบนมนุษย์ให้ติดตามพระองค์ ซึ่งไม่ใช่หนทางของพระองค์ที่เสด็จมาสอนมนุษย์ให้ดำเนินชีวิตด้วยการ “ให้” ไม่ใช่ด้วยการ “รับ”
        1.2    พระองค์ต้องการสอนให้เราแก้ปัญหาที่ “ต้นเหตุ”  แต่การแจกขนมปังแก่ผู้หิวโหยเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น  
              ในกรณีของ “ความหิว” เราสามารถวิเคราะห์สาเหตุเบื้องต้นได้ว่าอาจเป็นเพราะเขาไม่รู้จักวิธีทำมาหากิน  หรือเขาอาจไม่เอาใจใส่ทำมาหากิน  หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่ยอมเปลี่ยนวิถีดำเนินชีวิต ฯลฯ
             แต่ถึงที่สุดแล้ว เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า “ความเห็นแก่ตัว” ของบางคนที่ครอบครองสมบัติและทรัพยากรมากเกินไปโดยไม่ช่วยเหลือผู้อื่นที่มีน้อยเกินไป ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งด้วย  ต้นตอของปัญหาจึงอยู่ที่จิตใจและวิญญาณของมนุษย์  ถ้าจิตใจของมนุษย์ดี มีความรัก รู้จักแบ่งปันกัน ความหิวโหยอดอยากย่อมหมดไปจากโลกนี้
             พระองค์จึงตรัสแก่ปีศาจว่า “มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (ฉธบ 8:3)
            สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว วัตถุและสิ่งของไม่อาจทำให้มนุษย์มี “ชีวิต” และ “ความสุข” อันแท้จริงได้เลย !
            จริงอยู่พระศาสนจักรจำเป็นต้องส่งเสริมและผลักดันทุกวิถีทางเพื่อให้มนุษย์มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือ การพัฒนา “ชีวิตวิญญาณ” ของมนุษย์  เหตุว่าเมื่อเขามี “ชีวิตใหม่” แล้ว สภาพความเป็นอยู่ใหม่ ๆ ที่ดีขึ้นก็จะติดตามมาด้วย
    2.    ประนีประนอมกับโลก
        เหนือที่สูงที่สามารถมองเห็นอาณาจักรต่าง ๆ ทั่วโลก ปีศาจทูลพระเยซูเจ้าว่า “ประชาชนในอาณาจักรต่าง ๆ ที่เห็นล้วนตกอยู่ในกำมือของข้าพเจ้า เรามาตกลงประนีประนอมกันดีกว่า ถ้าพระองค์ยอมลดมาตรฐานลงมาสักหน่อย อย่าให้สูงมากนัก  เมื่อเห็นความผิดบกพร่องก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียบ้าง ข้าพเจ้าก็จะมอบประชาชนเหล่านี้ให้ติดตามพระองค์”
        ในเมื่อภารกิจของพระองค์คือการกอบกู้ “มนุษย์ทั้งโลก” แค่ยอมกราบปีศาจหรือยอมประนีประนอมกับมันหน่อยเดียว พระองค์ก็จะได้ “มนุษย์ทั้งโลก” มาเป็นกรรมสิทธิ์โดยไม่ต้องทนทุกข์และพลีชีพเลย
        แต่พระองค์ตรัสตอบปีศาจว่า “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น” (ฉธบ 6:13)
        คำว่า “ผู้เดียวเท่านั้น” แปลว่า “ไม่มีผู้อื่น” อีก  คำนี้ถือว่าเด็ดขาดยิ่งนักเพราะหมายความว่า พระเจ้าก็ต้องเป็นพระเจ้า ถูกก็คือถูก และผิดก็คือผิด
         เท่ากับว่าหลักการของพระองค์คือ “ต้องไม่มีการประนีประนอมกับโลก”
     ด้วยเหตุนี้เราจะลดมาตรฐานศีลธรรมของเราไปหาโลกไม่ได้ แต่เราต้องพยายามยกระดับมาตรฐานของโลกมาสู่มาตรฐานของพระองค์
        ทุกวันนี้ เรามีแนวโน้มที่จะมองสิ่งต่าง ๆ เป็น “สีเทา” ไปหมด  อะไร ๆ ก็หยวนหรือยอมรับได้ไปหมด
        นับจากนี้ไป เราต้องดำเนินชีวิตให้ขาวบริสุทธิ์เจิดจ้า แล้วลบสีดำหรือแม้แต่สีเทาในชีวิตของเราออกไปให้จนหมด !!!
    3.    ใช้อารมณ์ความรู้สึก
        หากได้ยินว่าใครมีอภินิหาร ใครใบ้หวยแม่น ใครไล่ผีได้…    หรือที่ไหนมีของแปลกประหลาดซึ่งอันที่จริงควรเรียกว่าผิดปกติมากกว่า เช่น หมูสองหัว ต้นไม้ประหลาด…    หรือนักบุญองค์ใดช่วยให้มีบุตร ช่วยให้พบสิ่งของที่หายไป... หรือมีปรากฏการณ์พิเศษ เช่นแม่พระร้องไห้  พระอาทิตย์ทรงกลด ฯลฯ...
         พวกเราคงแห่แหนไปดูกันแน่นขนัด เพราะเมื่อได้เห็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไม่ว่าจะเป็นแนวบู๊หรือแนวบุ๋นก็ตาม  ส่วนใหญ่จะ “รู้สึก” ตื่นเต้น ชวนศรัทธา น่าเกรงขาม และมีจำนวนไม่น้อยที่มักเชื่อหัวชนฝา
        เพราะฉะนั้น หากพระองค์จะแสดงอภินิหารด้วยการกระโดดจากยอดพระวิหารลงมาโดยไม่เป็นอันตราย แน่นอนว่าประชาชนต้องตื่นเต้นสุด ๆ กับฤทธิ์อำนาจของพระองค์ และพร้อมที่จะเชื่อและติดตาม “ผู้วิเศษ” ดังเช่นพระองค์
          เท่าที่ผ่านมา พวกที่อ้างตัวเป็นพระคริสต์นิยมชมชอบวิธีการนี้มาก เช่น เธวดัสได้โอ้อวดกับประชาชนว่าแค่เอ่ยปากคำเดียว เขาก็สามารถแยกน้ำในแม่น้ำจอร์แดนออกเป็นสองฝั่งได้
          ชาวอียิปต์ที่ก่อการกบฏ (กจ 21:38) ก็หลอกผู้ร่วมก่อการว่าเขาสามารถสั่งให้กำแพงกรุงเยรูซาเล็มพังลงได้  หรือซีโมน มากุสก็หลอกประชาชนว่าตัวเองเหาะได้ แล้วก็พลาดตกลงมาตายในที่สุด
         แต่พระเยซูเจ้า “ไม่เลือก” วิธีนี้เด็ดขาด เพราะว่า
        3.1    ไม่มีอนาคต  เพราะถ้าวันนี้พระองค์กระโดดได้สูง 100 เมตร แล้วพรุ่งนี้กระโดดได้เท่าเดิม ประชาชนก็ “หมดอารมณ์” ที่จะตื่นเต้นอีกแล้ว
            แล้วศาสนาเที่ยงแท้จะอิงอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกชั่วครู่ชั่วยาม หรือชั่วครั้งชั่วคราวของมนุษย์ได้อย่างไรกัน ?
        3.2    เป็นการไม่วางใจพระเจ้า  เพราะการกระโดดจากที่สูงเป็นการจงใจปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในอันตรายเพื่อ “ทดลอง” ว่าพระเจ้าจะมีอำนาจจริงหรือเปล่า หรือพระองค์จะรักและช่วยเหลือเราจริงหรือไม่ ?
             ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงต้องตรัสว่า “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลย” (ข้อ 12)
            ดังนั้นคนที่ต้องการเห็นอัศจรรย์หรือสิ่งแปลกประหลาดก่อนจึงจะยอมเชื่อ จึงไม่ใช่คนที่มีความเชื่ออย่างแท้จริง แต่เป็นเพียงคนขี้สงสัยที่ต้องการทดลองพระเจ้าเพื่อหาข้อพิสูจน์เท่านั้น  
               อย่าลืมว่าอำนาจในการช่วยเหลือของพระเจ้าไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราทดลองหรือพิสูจน์ แต่มีไว้เพื่อให้เรา “วางใจ” ในพระองค์ !!!

    สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว หนทางเดียวที่จะนำเรากลับไปหาพระบิดาเจ้าได้คือ “หนทางของไม้กางเขน”
    หนทางอื่น ๆ ไม่ต้องพูดถึง !!!...