แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลปัสกา

ข่าวดี    ยอห์น 10:27-30
    (27)แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา
เรารู้จักมัน และมันก็ตามเรา
(28)เราให้ชีวิตนิรันดรกับแกะเหล่านั้น
และมันจะไม่พินาศเลยตลอดนิรันดร
ไม่มีใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือเราได้
(29)พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะเหล่านี้ให้เรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าทุกคน
และไม่มีใครแย่งชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้
(30)เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน



    ชาวยิวทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ท่านจะปล่อยให้ใจของพวกเราสงสัยอยู่นานเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระคริสตเจ้า ก็จงบอกพวกเราให้ชัดเจนเถิด” (ยน 10:24)
พระองค์ตรัสตอบว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้วแต่ท่านไม่เชื่อ กิจการที่เราทำในนามของพระบิดาของเราก็เป็นพยานให้เรา แต่ท่านไม่เชื่อ เพราะท่านไม่ใช่แกะของเรา” (ยน 10:25-26)
อันที่จริง พระเยซูเจ้าได้ทรงบอกหญิงชาวสะมาเรียแล้วว่าทรงเป็น “พระเมสสิยาห์” (ยน 4:26) และทรงบอกคนตาบอดแต่กำเนิดว่าทรงเป็น “พระบุตรของพระเจ้า” (ยน 9:37)
และก่อนหน้าพระองค์ ประกาศกอิสยาห์ได้ทำนายถึงยุคสมัยของพระเมสสิยาห์ไว้ว่า “นัยน์ตาของคนตาบอดจะเปิดออก หูของคนหูหนวกจะเปิด คนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง และลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลงด้วยความชื่นบาน” (อสย 35:5-6)
สิ่งที่อิสยาห์กล่าวทำนายไว้ทั้งหมด พระองค์ได้ทรงกระทำแล้ว !
ยิ่งไปกว่านั้น โมเสสยังได้ทำนายไว้ก่อนหน้าอิสยาห์เสียอีกว่า พระเจ้าจะทรงแต่งตั้ง “ประกาศกของพระเจ้า” ที่ทุกคนจะต้องเชื่อฟัง (ฉธบ 18:15)
ทั้ง ๆ ที่ชาวยิวได้เห็นและได้ฟังแล้วว่าพระองค์ทรงสอนอย่างผู้ทรงอำนาจทั้งในน้ำเสียงและในเนื้อหา ต่างจากประกาศกก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
แต่พวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์คือประกาศกของพระเจ้า และไม่ยอมรับว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์หรือพระคริสตเจ้า ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า !
ทั้งนี้เพราะ พวกเขาไม่ใช่แกะของพระองค์ ! (ยน 10:26)
ตรงกันข้าม หากเป็นแกะของพระองค์ มันย่อมฟังเสียงของพระองค์ ติดตามพระองค์ และพระองค์ทรงรู้จักมันทุกตัวด้วย (เทียบ ยน 10:27)
ในปาเลสไตน์ ชาวยิวเลี้ยงแกะไว้เพื่อตัดขนมากกว่าเป็นอาหาร  แกะแต่ละตัวจึงมีอายุยืนนานและอยู่กับคนเลี้ยงจนต่างฝ่ายต่างรู้จักและจำกันได้หมด  คนเลี้ยงนิยมตั้งชื่อแกะตามลักษณะของมันเช่น ไอ้ขาลาย นางหูดำ เป็นต้น  ปกติคนเลี้ยงจะเดินนำหน้าฝูงแกะเพื่อดูให้แน่ใจว่าหนทางข้างหน้าปลอดภัย และคอยส่งเสียงร้องเป็นครั้งคราวเพื่อให้แกะรู้ตำแหน่ง  แกะจะฟังเสียงและติดตามคนเลี้ยงเสมอ  หากได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคย พวกมันจะหยุดอยู่กับที่ และจะหันหลังวิ่งหนีทันทีหากเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับ “แกะของพระเยซูเจ้า” ที่ฟังเสียงและติดตามพระองค์ นั่นคือเชื่อและยอมรับว่าพระองค์คือ “พระคริสตเจ้าผู้เป็นบุตรของพระเจ้า”  พระองค์ทรงสัญญาจะประทาน 3 สิ่งคือ
    1.    ชีวิตนิรันดร  ดังที่ทรงตรัสว่า “เราให้ชีวิตนิรันดรกับแกะเหล่านั้น” (ยน 10:28)
        หากเราเชื่อและยอมรับพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า เราจะกลายเป็นสมาชิกในฝูงแกะของพระองค์ และเมื่อนั้นเราจะตระหนักดีว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ด้อยค่าเพียงใดเมื่อเทียบกับความรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ของชีวิตนิรันดร
     เพราะชีวิตนิรันดรก็คือ “ชีวิตแบบเดียวกับพระเจ้า” นั่นเอง !
    2.    ชีวิตที่ไม่สิ้นสุด เพราะแกะของพระองค์ “จะไม่พินาศเลยตลอดนิรันดร” (ยน 10:28)
         ผู้ที่ฟังเสียงของพระองค์จึงมั่นใจได้ว่า “ความตาย” ไม่ใช่การจบสิ้น แต่เป็นการเริ่มต้นของ “ชีวิต” อันรุ่งโรจน์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายให้พินาศได้
    3.    ชีวิตที่มั่นคง ชนิดที่ “ไม่มีใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือเราได้” (ยน 10:28)
        เมื่อพระองค์ทรงปกป้องแกะของพระองค์มิให้ผู้ใดแย่งชิงไปได้เช่นนี้  ชีวิตของเราจึงมีความมั่นคงสูงสุด !
         แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าชีวิตของเราจะรอดพ้นจากความเศร้าโศกเสียใจ หรือจากความทุกข์ยากและความตาย  แต่หมายความว่าในห้วงเวลาอันแสนมืดมิดและเจ็บปวด เรามั่นใจได้เต็มร้อยว่า “พระหัตถ์อันอบอุ่นและทรงฤทธิ์ของพระองค์ทรงโอบอุ้มเราอยู่เสมอ”

    คำถามคือ ทำไมพระเยซูเจ้าจึงมั่นใจและกล้าสัญญาประทานสิ่งที่ยิ่งใหญ่ปานนี้ ?  พระองค์ทรงวางใจในฤทธิ์อำนาจของพระองค์เองมากเกินไปหรือไม่ ?
    เกี่ยวกับประเด็นนี้ พระองค์ทรงตอบคำถามไว้อย่างชัดเจนว่า “พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะเหล่านี้ให้เรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าทุกคน และไม่มีใครแย่งชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้” (ยน 10:29)
    แปลว่า เบื้องหลังความวางใจอย่างเต็มเปี่ยมของพระองค์คือ “พระบิดา” !
    เป็นพระบิดาเองที่ทรงมอบแกะให้แก่พระองค์ !
    เป็นพระบิดาเองที่ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมาปกป้องแกะของพระองค์ !
    พระบิดาทรงเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจและทรงยิ่งใหญ่ที่สุด !
    เพราะฉะนั้น พระองค์ไม่ได้วางใจในฤทธิ์อำนาจของพระองค์เอง  แต่ทรงวางใจในพระบิดาล้วน ๆ !!!
    นี่คือพระเยซูเจ้า !!!
    พระองค์แสนสุภาพและวางใจในพระบิดาอย่างสุด ๆ
    แล้วเรายังคิดจะเป็นศิษย์ล้างครู ด้วยการวางใจและพึ่งพาความสามารถตามประสามนุษย์ของตนเองล้วน ๆ ต่อไปอีกหรือ ?

    ที่สุด พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยความจริงอันยิ่งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับพระองค์เอง นั่นคือ “พระองค์กับพระบิดาทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน” (เทียบ ยน 10:30)    
    นักปรัชญาและนักเทวศาสตร์ได้คิดค้นคำเฉพาะคือ hypostatic union ขึ้นมาเพื่ออธิบายว่าทั้งสองพระองค์ทรงมีพระธรรมชาติเดียวกัน ต่างกัน และเท่ากัน
    ฟังดูรื่นหู แต่ก็ยังเป็นธรรมล้ำลึกที่เข้าใจได้ยาก หรืออาจไม่มีทางเข้าใจได้เลย !
    จึงอยากให้เราหันกลับมาอ่านพระวรสาร เพื่อค้นหาความหมายที่ง่ายและชัดเจนว่าพระองค์ทรงหมายถึงสิ่งใดเมื่อตรัสว่า “เรากับพระบิดาทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน”
    หลังอาหารค่ำครั้งสุดท้าย พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาเพื่อบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดเฝ้ารักษาบรรดาผู้ที่ทรงมอบให้ข้าพเจ้าไว้ในพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับพระองค์และข้าพเจ้า” (ยน 17:11)
    และอีกตอนหนึ่ง พระองค์กล่าวว่า “พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ให้กับเขา เพื่อให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกันเช่นเดียวกับที่พระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยน 17:22)
    แปลว่า พระองค์ทรงมองความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างบรรดาศิษย์ว่า “เหมือน” กันกับความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างพระองค์กับพระบิดา !
    แต่เนื่องจากความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างบรรดาศิษย์มีเคล็ดลับอยู่ที่คำสั่ง “ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด” (ยน 13:34)
    “ความรัก” จึงเป็นบ่อเกิดของความเป็น “หนึ่งเดียว” !
    บรรดาศิษย์เป็นหนึ่งเดียวกันเพราะ “รักกัน” ฉันใด  พระเยซูเจ้าและพระบิดาทรงเป็นหนึ่งเดียวกันก็เพราะทรง “รักกัน” ฉันนั้น !
    นี่คือคำอธิบายว่า “เรากับพระบิดาทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายความว่าอะไร !
    ประเด็นถัดไปคือ แล้วเราจะพิสูจน์ “ความรัก” ของเราได้อย่างไร ?
    พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระบิดาของเรา และดำรงอยู่ในความรักของพระองค์” (ยน 15:10)  และอีกครั้งหนึ่งว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา” (ยน 14:15)
    เห็นได้ชัดเจนว่า บทพิสูจน์ความรักที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากเราคือการปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์
    หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือทรงปรารถนาให้เรา “นบนอบเชื่อฟัง” พระองค์ !
    ทั้งหมดนี้นำมาสู่บทสรุปที่ว่า...
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”  พระองค์กำลังบอกเราว่า “พระองค์ทรงรักพระบิดาจนถึงที่สุด และทรงพิสูจน์ความรักของพระองค์ด้วยการนบนอบเชื่อฟังพระบิดาจนกระทั่งยอมตาย แม้เป็นความตายบนไม้กางเขนก็ตาม”
สำหรับพระองค์ ความเป็นหนึ่งเดียวกันจึงหมายถึง ความรัก และการนบนอบเชื่อฟัง !
    เมื่อ “เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า” โดยเฉพาะทางศีลมหาสนิท  เรากล้าทูลพระองค์หรือไม่ว่า...
    ลูกรักพระองค์สุดชีวิต
    ลูกพร้อมนบนอบเชื่อฟังพระองค์
        ลูกพร้อมดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์
ลูกพร้อมดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์ ?