chaiya1

อาทิตย์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา



ข่าวดี    ลูกา 17:5-10
    (5)บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด’  (6)องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า ‘ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า “จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด” ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน
    (7)‘ท่านผู้ใดที่มีคนรับใช้ออกไปไถนา หรือไปเลี้ยงแกะ เมื่อคนรับใช้กลับจากทุ่งนา ผู้นั้นจะพูดกับคนรับใช้หรือว่า “เร็วเข้า มานั่งโต๊ะเถิด”  (8)แต่จะพูดมิใช่หรือว่า “จงเตรียมอาหารมาให้ฉันเถิด จงคาดสะเอว คอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้าจึงกินและดื่ม”  (9)นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ  (10)ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า “ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น”’


    พระวรสารตอนนี้บอกความจริงแก่เรา 2 ประการ
ประการแรกเกี่ยวกับ “พลังของความเชื่อ”
    พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า ‘จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด’  ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน” (ลก 17:6)
    เมล็ดมัสตาร์ดมีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาพันธุ์ไม้ที่มีอยู่ในพระคัมภีร์  ส่วนต้นหม่อนเป็นไม้ชนิดหนึ่ง ใช้ใบสำหรับเลี้ยงตัวไหม ผลสุกกินได้
    หากนำเมล็ดมัสตาร์ดกับต้นหม่อนมาเปรียบเทียบขนาดกัน คงเหมือนเอาเรือบดไปจอดเทียบเรือบรรทุกเครื่องบิน
    อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงเลือกใช้พันธุ์ไม้สองชนิดที่ไม่น่าจะเทียบเคียงกันได้ เพื่อขับเน้น “พลังของความเชื่อ” ให้เห็นเด่นชัด

    ลำพังความเชื่อเพียงน้อยนิดเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ก็สามารถเคลื่อนต้นหม่อนที่ใหญ่โตกว่ามากให้ไปขึ้นอยู่ในทะเลได้
อนึ่ง การเคลื่อนต้นหม่อนให้ไปขึ้นในทะเล เป็นสำนวนโวหารของชาวยิวและชาวตะวันออกอื่น ๆ ที่นิยมพูดและเขียนให้เห็นจริงเห็นจังมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
คนไทยก็นิยมพูดทำนองนี้เหมือนกันเช่น รักคุณเท่าฟ้า  หน้าบานเป็นกระด้ง  คอแห้งเป็นผง  หนังเหนียวยิงฟันไม่เข้า เป็นต้น
    ในกรณีนี้ เราจึงไม่จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสตามตัวอักษร แล้วด่วนสรุปว่า เมื่อเชื่อและรับศีลล้างบาปแล้ว เราสามารถสั่งต้นหม่อนให้ไปขึ้นในทะเลได้
    เพราะประเด็นสำคัญที่พระองค์ต้องการสอนเราคือ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ย่อมเป็นไปได้เสมอหากเรา “เชื่อ” ว่าเป็นไปได้
    แม้ความเชื่อนั้นจะน้อยนิดเท่าเมล็ดมัสตาร์ดก็ตาม !
    หากเรา “เชื่อ” ว่ามนุษย์ไม่มีทางบินได้  ไม่มีทางไปดวงจันทร์ได้  ไม่มีทางผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจหรือไตได้  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ และจะไม่มีวันเกิดขึ้น !
    แต่ถ้าเรา “เชื่อ” ว่าเราสามารถอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานของเราให้เป็นคนดีได้  เราสามารถทำให้สังคมของเราปลอดจากยาเสพติด การฉ้อราษฎร์บังหลวง การละเมิดทางเพศ  หรือเชื่อว่าเราสามารถทำให้สังคมของเราเป็นพระอาณาจักรของพระเจ้าได้ และตัวเราเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมได้
    แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นไปได้ และจะเกิดขึ้นจริงสักวันหนึ่ง !
    ที่ดีเลิศไปกว่านี้ก็คือ เราคริสตชนไม่เพียงเชื่อมั่นในตัวเองเท่านั้น แต่ยัง “เชื่อมั่น” ในองค์พระเยซูเจ้าอีกด้วย  เราจึงไม่ถูกปล่อยให้เผชิญหน้ากับสิ่งท้าทายต่าง ๆ ตามลำพัง…
แต่เรามีพระองค์ผู้ทรงสรรพานุภาพอยู่เคียงข้างและพร้อมช่วยเหลือเราเสมอ
    นี่คือพลังอันยิ่งใหญ่อย่างยิ่งของความเชื่อ !

ประการที่สอง เราจะทวงบุญคุณจากพระเจ้าไม่ได้
    ทุกครั้งที่ทำความดีหรือประกอบกิจอันเป็นบุญกุศล  เราจะถือเอาพระเจ้าเป็น “ลูกหนี้” ของเรา หรือจะเรียกร้องสิทธิใด ๆ จากพระองค์ไม่ได้เป็นอันขาด
    ดุจเดียวกับคนใช้ที่กลับจากทุ่งนาหลังเลิกงาน ย่อมไม่อาจเรียกนายเป็นลูกหนี้ได้ อีกทั้งไม่อาจเรียกร้องสิทธิที่จะกินอาหารร่วมโต๊ะกับนายได้
และนายก็ไม่จำเป็นต้องขอบใจเขาด้วย
    เพราะ “คนใช้” ในกรณีนี้ตรงกับคำกรีก doulos (ดูลอส) ซึ่งแปลว่า “ทาส”  และตามกฎหมาย ทาสมีสถานภาพเทียบเท่าสมบัติชิ้นหนึ่งของนาย จึงต้องเป็นของนาย โดยนาย และเพื่อนาย ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์
    นั่นคือ ทาสต้องรับใช้นายทุกลมหายใจ
    “นาย” จึงมีสถานภาพเหนือ “ทาส” ชนิดไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย
ทุกสิ่งที่ทาสกระทำเป็นเพียงการปฏิบัติตาม “หน้าที่” ซึ่งไม่อาจเรียกร้องค่าตอบแทนหรือบุญคุณใด ๆ จากนายได้เลย
    จริงอยู่ที่ทุกวันนี้การใช้แรงงานทาสเป็นสิ่งน่ารังเกียจและผิดกฎหมาย เพราะคนงานทุกคนย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างตามความยุติธรรม ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “คนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน” (ลก 10:7)
    แต่เราจะเรียกร้องค่าจ้างจากพระเจ้าไม่ได้ !
    เพราะธรรมชาติของพระเจ้านั้นแตกต่างจากมนุษย์ชนิดไม่อาจเทียบเคียงกันได้ดังเช่นกรณีของนายกับทาสเลย
    พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์ แต่นายเป็นเพียงมนุษย์ผู้ซื้อมนุษย์ไปเป็นทาส !
    อย่างไรก็ตาม แม้เราจะเรียกร้องค่าจ้างหรือทวงบุญคุณจากพระเจ้าไม่ได้ ก็มิได้หมายความว่าชีวิตของเราจะสิ้นหวัง
เพราะ พระเจ้าทรงเป็น “บิดาผู้ใจดี” และเปี่ยมด้วย “ความรัก” ที่พร้อมจะประทานทุกสิ่งแก่เราอยู่แล้ว !
    พระองค์จึงสมควรได้รับ “ความรัก” และ “ความนบนอบเชื่อฟัง” จากเรามนุษย์เป็นการตอบแทน
    “ความรัก” ที่ไม่ทำให้เรานั่งนับวันและชั่วโมงเพื่อคิดค่าแรงตามกฎหมาย  แต่ทำให้เราทุ่มเทชีวิตและจิตใจทำทุกสิ่งเพื่อผู้ที่เรารัก โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากหรืออามิสสินจ้างใดๆ
    หรือว่าหัวใจของเรา “ขาดรัก” ไปเสียแล้ว ?!