แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์ที่ยี่สิบหก เทศกาลธรรมดา

ลูกา 16:19-31
    พระเยซูเจ้าตรัสแก่ชาวฟาริสีว่า “เศรษฐีผู้หนึ่งแต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน คนยากจนผู้หนึ่ง ชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประดูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกันและถูกฝังไว้ เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้นมองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า ‘ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้’ แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดี ๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลว ๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย’
    เศรษฐีจึงพูดว่า ‘ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย อับราฮัมตอบว่า ‘พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด’ แต่เศรษฐีพูดว่า ‘มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ’ อับราฮัมตอบว่า ‘ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ’”

บทรำพึงที่ 1

ข้อรำพึงที่หนึ่ง
สารที่รบกวนจิตใจ

    ในบทอ่านที่หนึ่ง ประกาศกอาโมส และลูกา ร่วมกันโจมตีความนิ่งนอนใจ และนิสัยรักความสนุกสบายว่า “วิบัติจงเกิดแก่คนที่ซ่อนตัวอยู่ในความสุขสบายในศิโยน และคนที่รู้สึกปลอดภัยบนภูเขาแห่งสะมาเรีย”

    เคยมีผู้ประมาณการว่าทุกวันนี้มีเด็กสี่หมื่นคนเสียชีวิตเพราะขาดสารอาหาร ซึ่งหมายความว่ามีเด็กตายหนึ่งคนทุกสองวินาที เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในโลกที่สื่อสารถึงกันได้ทั่วโลกด้วยอินเตอร์เน็ต ทุกชาติถือว่าการชิงเหรียญโอลิมปิก หรือเวิร์ลคัพ สำคัญกว่าเทคโนโลยีในการผลิตอาหาร หรือการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน ถ้าเราเฉลิมฉลองพิธีบิปังในวัด แต่ไม่ทำอะไรเลยเพื่อเลี้ยงดูพระคริสตเจ้าในตัวบุคคลที่หิวโหย พิธีกรรมของเราก็เป็นความหน้าซื่อใจคดระดับสูงสุด เพราะเราได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแสวงหาสิ่งบรรเทาใจจากศาสนา ในขณะที่ไม่สนใจสิ่งที่ศาสนาท้าทายให้เราปฏิบัติ

    มีศาสนาคริสต์บางนิกายที่สอนให้เชื่อว่าการได้รับความรอดพ้นจากพระเยซูคริสตเจ้าเป็นเรื่องส่วนบุคคล และไม่สอนเรื่องพันธะต่อสังคมเลย นักธุรกิจผู้ร่ำรวยจอดรถคันหรูไว้นอกโรงแรมใหญ่ และเข้าไปร่วมกินอาหารเช้าที่ทางศาสนจักรของตนจัดขึ้น และเป็นพยานยืนยันว่าเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นนับตั้งแต่เขามอบชีวิตของเขาให้พระเยซูเจ้า นักกีฬาที่มีชื่อเสียง และร่ำรวยหลายคนอ้างว่าเขาพบพระเยซูเจ้าแล้วก็ประสบความสำเร็จ และเขาพบความสำเร็จมากขึ้นไปอีก เมื่อเขารับมือกับความเครียดได้ด้วยการมอบชีวิตของเขาให้พระเยซูเจ้า ข้าพเจ้าอยากจะคิดว่าการมอบตนเองเช่นนี้จะรวมถึงการบริจาครายได้มหาศาลของเขาให้แก่พระคริสตเจ้าในตัวคนยากจนด้วย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่มั่นใจ

    เมื่อศักเคียสกลับใจหลังจากเขาสัญญาว่าจะแบ่งปันทรัพย์ของเขาให้คนจนแล้วเท่านั้น พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่าความรอดพ้นได้เข้ามาสู่บ้านของเขาแล้ว แนวความคิดที่ขาดความสมบูรณ์เกี่ยวกับความรอดพ้นกำลังถูกใช้ซักฟอกมโนธรรมเพื่อทำให้คนรวยไม่รู้สึกผิด

    ลูกาเป็นผู้นิพนธ์พระวรสารที่มักพูดถึงความเมตตากรุณา แต่เขาก็เป็นผู้นิพนธ์ที่เตือนเรื่องความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับเงินทองด้วย “เงินทองของโลกอธรรม” (16:11) พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงหลักการทางสังคมในบทเทศน์อันยิ่งใหญ่ที่เริ่มต้นด้วยเรื่องของความสุขแท้ พระเยซูเจ้าทรงคัดค้านความคิดของชาวยิวที่ถือว่าพระพรในชีวิตอยู่ที่ความเจริญรุ่งเรือง อำนาจ เกียรติภูมิ และความนิยมชมชอบจากผู้อื่น พระองค์ทรงพลิกคุณค่าเหล่านี้ด้วยการประกาศว่า ในสายพระเนตรของพระเจ้า ความสุขแท้เป็นของคนยากจน คนหิวโหย คนที่เป็นทุกข์เดือดร้อนใจ และเหยื่อของความอยุติธรรม

    ในเรื่องอุปมาที่เราได้ยินวันนี้ เศรษฐีคนนี้ได้ชื่นชมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความสุขจอมปลอม ความร่ำรวย งานเลี้ยง ความสำเร็จ และการเป็นจุดเด่นในสายตาของผู้อื่น พระองค์ไม่ได้บอกว่าเขาสะสมทรัพย์สมบัติมาด้วยวิธีทุจริต บาปของเขาอยู่ที่เขาละเลยสิ่งที่เขาควรทำ บาปละเลยนี้เป็นบาปที่เรามองข้ามได้ง่าย ความรักเมตตาเป็นกิจการในเชิงรุก เป็นการมองผู้อื่นมากกว่ามองตนเอง การเป็นฝ่ายริเริ่ม การแสดงท่าที และกระทำสิ่งที่สามารถทำได้

    ตรงกันข้ามกับเศรษฐี ลาซารัสเป็นตัวแทนของบุญลาภ หรือความสุขแท้ เขายากไร้ รอคอยเศษอาหาร ไม่ได้รับการรักษาโรคอย่างเหมาะสม และเป็นเหยื่อของการละเลยและความอยุติธรรมทางสังคม แต่พระเจ้าทรงได้ยินเสียงคร่ำครวญของคนยากจน ดังนั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า เขาจึงเป็นผู้ได้รับพระพร คือมีความสุขแท้ ไม่ใช่ชายเศรษฐี น่าสังเกตว่าลาซารัสเป็นตัวละครเพียงคนเดียวในเรื่องอุปมาในพระวรสารที่พระเยซูเจ้าทรงระบุชื่อ ชื่อของเขาแปลว่า “พระเจ้าทรงมีความเวทนาสงสาร”

    มีช่องว่างกว้างใหญ่กั้นกลางระหว่างเศรษฐีและลาซารัส เราเดาได้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายใด น่าเสียดายที่เราเห็นคนรวยที่ปรนเปรอตนเอง ฟอกตนเองด้วยความเคารพนับถือจากคนในสังคม ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกตัว การเป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักรอาจทำให้บางคนคิดว่าเขาอยู่ข้างเดียวกับพระเจ้า แต่ลาซารัสทุกคนที่รออยู่หน้าประตูบ้านเป็นความท้าทายให้เราระลึกว่าพระเจ้าประทับอยู่ที่ใด ... พระองค์ทรงอยู่ข้างคนจน

    บทสดุดีตอบรับในวันนี้เป็นบทสรรเสริญพระเจ้า ผู้ประทานพรแก่คนทั้งหลายที่ถูกกดขี่ หิวโหย ถูกจองจำ หรือพิการในด้านใด ๆ “จงสรรเสริญพระเจ้า ผู้ทรงยกชูคนจน”


ข้อรำพึงที่สอง
นายเงินล้าน และนายพระเจ้าช่วย

นายเงินล้าน – คนทั่วไปเรียกผมว่านายเงินล้าน ... และผมค่อนข้างจะชอบชื่อนี้ พ่อของผมช่วยพวกเราให้เริ่มต้นชีวิตอย่างดีได้ แต่พวกเราก็ต้องทำงานหนักกว่าจะมายืนในจุดปัจจุบันนี้ได้ ผม และน้องชายทั้งห้าคน ทำงานหนักก่อนเราจะเข้มแข็งพอจะแยกย้ายกันไปก่อตั้งอาณาจักรส่วนตัวของเรา เราใช้เงินต่อเงิน แต่คุณทำอย่างนี้ได้เฉพาะเมื่อคุณมีสมองที่เฉลียวฉลาดพอจะรู้ว่าจะใช้เงินต่อเงินอย่างไร บางครั้ง คุณต้องเหี้ยม แต่เราทำไปเพื่อป้องกันตนเองทั้งนั้น เพราะความอยู่รอดของเราขึ้นอยู่กับหลักการว่า คนอ่อนแอที่สุดต้องหลบไป ผมไม่รู้สึกผิด เพราะผมไม่เคยใช้วิธีบีบบังคับใคร หรือละเมิดหลักจริยธรรมทางธุรกิจที่คนทั่วไปยอมรับ เพราะวิธีนั้นจะทำให้คุณพบปัญหาเสมอ ผมจึงไม่ยอมเสียเวลากับมัน เพื่อน ๆ บอกว่าผมโหด แต่ผมถือว่านั่นเป็นคำชม ผมรู้ตัวว่าผมโชคดีกว่าคนส่วนใหญ่ ผมไม่อายที่จะแสดงว่าผมศรัทธาในศาสนา และผมยอมรับว่าเป็นพระพรของพระเจ้าที่ผมโชคดีและมีไหวพริบ ผมแสดงความกตัญญูต่อพระเจ้าอย่างเปิดเผย และผมจ่ายเงินให้พระสงฆ์อย่างงาม ใคร ๆ ก็รู้ว่าผมพร้อมจะบริจาคถ้ามีเป้าหมายที่ดี

    ความใจอ่อนแบบนี้แหละที่เพื่อน ๆ ของผมมักมองไม่เห็น

    ขอให้ดูขอทานที่นอนอยู่หน้าประตูบ้านของผมทั้งวันเป็นตัวอย่าง ดูเหมือนเขาจะชื่อ “พระเจ้าช่วย” สภาพของเขาไม่น่าดูเลย แต่ผมก็ยอมให้เขานั่งที่นั่นมานานหลายปีแล้ว ร่างกายเขาส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว และดึงดูดสุนัขแถวนี้ สุนัขที่คอยหาเศษอาหารเหมือนกับเขา

    ผมไม่รู้ว่าเขาทำผิดอะไรต่อพระเจ้า เขาจึงต้องมีชะตากรรมเช่นนี้ และไม่ใช่ธุระของผมที่จะสอบถาม ผมมีใจเป็นธรรมพอ และนั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เขาสามารถกินอาหารที่เรากินเหลือ ซึ่งคนรับใช้เอาไปให้เขาทุกวันตามคำสั่งของผม

    ผมยอมให้เขานั่งที่หน้าประตูบ้านเสมอ เพราะเขาขาพิการ และช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ ขอทานอื่น ๆ ส่วนใหญ่ต้องโทษตนเอง พวกเขาขี้เกียจ และไม่คิดถึงอนาคต

    นี่เป็นหัวข้อที่ผมเคยยกขึ้นมาคุยกับเพื่อน ๆ บนโต๊ะอาหาร ... คุณสามารถขายสมบัติทุกชิ้นที่คุณมีอยู่ และบริจาคเงินทุกสตางค์ให้คนจนก็ได้ และคุณรู้ไหม พวกเขาจะกลับมาขอคุณอีกอาทิตย์หน้าเพราะไม่มีเงินเหลือสักแดงเดียว คนพวกนี้ใช้เงินไม่เป็น

    เวลานี้ ผมไม่ทำงานหนักเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นี่เป็นเวลาหาความสุขกับสิ่งดี ๆ ในชีวิต มนุษย์เราต้องพักผ่อนบ้าง ผมทำให้หลายคนมีงานทำ ผมจ้างพ่อครัว คนรับใช้ ช่างตัดเสื้อ และคนที่รับจ้างสร้างความบันเทิง คนเหล่านี้จะบอกคุณว่าผมจ่ายพวกเขาอย่างงาม คนเดียวที่ผมจ่ายเงินให้ แต่ผมไม่ชอบ ก็คือหมอโง่ ๆ คนนั้นที่ต้องการให้ผมงดทำอย่างนั้น และลดอาหารอย่างนี้ ผมเห็นโลกมามากพอจะรู้ว่าจะมีความสุขกับชีวิตอย่างไรโดยไม่ต้องได้ยินเสียงบ่นของเขา ผมไม่ยอมฟังคนโง่หรอก
นายพระเจ้าช่วย – ดูเหมือนว่าไม่มีใครจำชื่อจริงของผมได้แล้วในเวลานี้ นั่นเป็นความลับของผม และเมื่อมันเป็นสิ่งเดียวที่เรียกได้ว่าเป็นสมบัติของผม ผมจึงจะยึดมันไว้กับตัว ทุกคนเรียกผมว่า “นายพระเจ้าช่วย” มานานหลายปีแล้ว แต่บางที เมื่อเด็ก ๆ ต้องการล้อเลียนผม เขาก็เรียกชื่อที่แย่กว่านี้

    ผมจำพ่อของผมได้เพียงราง ๆ ... ถ้าผมจะเรียกชายคนนั้นได้ว่าพ่อ เขาเป็นคนขี้เมา และชอบข่มขู่แม่และพวกเราทุกคน ผมจำอะไรไม่ได้หลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น แม่ของผมไม่เคยพูดถึงเรื่องในอดีต ผมรู้แต่ว่าพ่อยกโต๊ะขึ้นทุ่ม และมันกระแทกผมไปติดข้างฝา ทำให้ผมขาพิการอย่างนี้ วันนั้น เป็นวันที่เขาทิ้งพวกเราไป และเราไม่เคยพบเห็นเขาอีกเลย แต่เราก็ไม่ต้องการพบเห็นเขาหรอก

    แม้ผมจะพิการ แต่ผมควรหาเลี้ยงชีพได้ ถ้ามีใครให้โอกาสสักครั้ง ผมรู้ว่าผมสติปัญญาดี เพราะผมอ่านออกเขียนได้ แม้ว่าผมไม่เคยไปโรงเรียน ไม่มีใครยอมให้ผมเข้าเรียน และสภาพของผมก็ไม่เรียบร้อยพอจะเข้าวัดได้

    แต่ผมยังโชคดีกว่าบางคน ผมมีอาหารพอประทังชีวิตจากเศษอาหารที่ได้รับจากบ้านของนายเงินล้าน พวกคนรับใช้มีใจเมตตา และนายเงินล้านเองก็ไม่เคยไล่ผม

    ผมรู้ว่าคนดี ๆ คงรังเกียจที่จะกินขนมปังที่เขาใช้กวาดจานและเช็ดนิ้วมือมาแล้ว แต่มันก็ยังเป็นขนมปังชั้นดี และขอทานอย่างผมไม่มีสิทธิจู้จี้

    แผลเปื่อยตามตัวของผมก็เหมือนกัน ผมไม่มีเงินซื้อยาจากร้านขายยา แต่สุนัขก็เป็นสัตว์ที่เป็นมิตร ลิ้นของมันช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากบาดแผล และใคร ๆ ก็บอกว่าน้ำลายของมันรักษาแผลได้ แต่ผมยังไม่โชคดีถึงขนาดนั้น แต่ผมอยู่อย่างมีความหวัง อันที่จริง ชีวิตของผมเต็มไปด้วยความหวัง ผมอ่านพระคัมภีร์ และเรื่องราวในนั้นทำให้จิตใจของผมสงบและเข้มแข็ง คุณอาจไม่เชื่อ แต่ผมรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเดียวกับผม ผมว่าผมเปลี่ยนไปมากระยะหลังนี้ เมื่อก่อนจิตใจของผมไม่เคยสงบเท่านี้

    ครั้งหนึ่ง ผมเคยโกรธมากกับสถานการณ์ทั้งหมดนี้ ผมโกรธระบบสังคม โกรธพ่อของผม โกรธทุกคน และโกรธพระเจ้ามากที่สุด ผมเคยคิดวางแผนแก้แค้น ผมจะวางเพลิงบ้านของนายเงินล้าน ระหว่างงานเลี้ยงสักครั้งหนึ่งของเขา และเผาทุกคนให้ตาย มันบ้าใช่ไหม เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเขา

    แต่นั่นมันนานมาแล้ว และความโกรธของผมก็หมดไปนานแล้ว ผมเริ่มรู้ตัวว่าบุคคลเดียวที่ผมโกรธจริง ๆ ก็คือตัวผมเอง ผมค่อย ๆ พูดให้ตนเองคลายความโกรธ เมื่อเวลาผ่านไป ผมช่วยเหลือตนเองได้น้อยลง ผมรู้ว่าผมจะต้องยากจนไปตลอดชีวิต แต่น่าแปลกที่ผมมีสันติสุข และพอใจในสิ่งที่ผมมี ลึก ๆ ในใจ ผมไม่มีความคิดชั่วต่อนายเงินล้านเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ใช่คนเลวที่สุด อันที่จริง ผมไม่อิจฉาเขาเลย ผมมองว่าเขาเองก็ดูเหมือนไม่ค่อยมีความสุขนัก ผมคิดว่าเขาจัดงานเลี้ยงเหล่านี้ขึ้นมาเพราะต้องการหลบหนีจากความคิดของเขาเอง ดูเขาอ้วนฉุและสุขภาพไม่ดี ผมรู้ตัวว่าผมคงอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเขาต่อไปอีกไม่นาน ผมคิดว่าเขาเองก็คงอยู่อีกไม่นานเหมือนกัน

    ผมสงสัยว่าเราจะพบกันอีกไหมในชีวิตหน้า เพราะมีช่องว่างกว้างใหญ่ขวางกั้นอยู่ระหว่างเราสองคน

บทรำพึงที่ 2

พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาว่า เศรษฐีผู้หนึ่งแต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน...

    พระเยซูเจ้าทรงสังเกตเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ... มีความไม่เสมอภาคในสังคมมาตั้งแต่ยุคสมัยของพระองค์ บางคนรวยเกินไป และบางคนก็ยากจนเกินไป...

คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว...

    ขอให้สังเกตว่าพระองค์ไม่ทรงระบุชื่อของเศรษฐี บางทีเราอาจมองเห็นตนเองในตัวของเขา ... ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง ...

    แต่ชายผู้ยากไร้คนนี้มีชื่อ เขาชื่อลาซารัส เขาเป็นคนสำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้าตั้งแต่เวลานั้นแล้ว นี่เป็นครั้งเดียวที่บุคคลในเรื่องอุปมาได้รับชื่อ และชื่อนี้มีความหมายมาก El’azar ในภาษาฮีบรู แปลว่า “พระเจ้าทรงช่วยเหลือ”

    เราคงเดาได้แล้วว่าเศรษฐีคนนี้ถูกตำหนิเรื่องอะไร เขาวางใจในความร่ำรวยของตน ในสมบัติฝ่ายโลก ตรงกันข้าม พระเยซูเจ้าทรงชมเชยคนยากจนผู้นี้ เพราะเมื่อเขาไม่มีทรัพย์ทางโลกเลย เขาจึงพึ่งพาอาศัยแต่พระเจ้าให้ทรงช่วยเหลือเขา

ลาซารัส อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา

    เราจงอย่าลืมว่าคำบรรยายนี้มาจากพระเยซูเจ้าเอง ภายในบ้านมีอาหารอย่างเหลือเฟือและมีความสะดวกสบายทุกอย่าง ภายนอกบ้านที่ธรณีประตู มีแต่ความยากไร้ ระหว่างสภาพทั้งสองนี้มีประตูคั่นกลาง เหมือนกับ “เหว” ที่แยกคนรวยออกจากคนจน นี่คือสองโลกที่ดำรงอยู่คู่ขนานกัน เศรษฐีขังตัวอยู่แต่ในโลกของเขา ซึ่งไม่ปล่อยให้เขาก้าวพ้นประตูบ้านของตนเอง

    ความรวยปิดกั้นคนรวยไม่ให้ “มองเห็น” ผู้อื่น ... เศรษฐีที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงนี้ดูเหมือนว่ามองไม่เห็นชายคนที่นอนอยู่นอกบ้าน ที่หน้าประตู ทั้งตัวมีแต่บาดแผล

    เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 1980 ที่เมืองเซาเปาโล (บราซิล) พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงเปรียบเทียบเรื่องอุปมานี้กับโลกสมัยใหม่ว่า “คลื่นผู้อพยพย้ายถิ่นอยู่กันอย่างเบียดเสียดในห้องพักโกโรโกโส ที่ซึ่งหลายคนสูญสิ้นความหวัง และจบชีวิตอย่างน่าเวทนา เด็ก เยาวชน วัยรุ่น ไม่มีพื้นที่ให้พัฒนาพลังงานทางกายภาพ และจิตวิญญาณอย่างเต็มที่ บ่อยครั้งต้องถูกขังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นภัยต่อสุขภาพ หรือถูกทิ้งไว้ตามถนนท่ามกลางการจราจร และอาคารที่ก่อสร้างด้วยปูน ... ใกล้กับเขตที่ผู้คนอยู่ท่ามกลางสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ ยังมีคนอื่น ๆ ที่ขาดแม้แต่สิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน ... บ่อยครั้งที่การพัฒนากลายเป็นอุปมาเรื่องเศรษฐีและลาซารัสฉบับมโหฬาร ความฟุ่มเฟือยที่อยู่เคียงข้างกับความขัดสน เพิ่มความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจให้แก่ผู้ด้อยโอกาส...”

    พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้เช่นนี้มาก่อนแล้ว เราสามารถใช้คำพูดเดียวกันนี้บรรยายสถานการณ์ในเมืองใหญ่หลาย ๆ เมืองของเราได้จริงหรือไม่...

    ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไรกับคำบรรยายเหล่านี้...

วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม
เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้ เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย...

    สถานการณ์พลิกผันไปโดยสิ้นเชิง
    -    คนยากจนเคยลิ้มรสนรกบนดิน เพราะสภาพของเขาคือนรกอย่างแท้จริง ... แต่บัดนี้ เขามีความสุข
    -    เศรษฐีเคยเสพทุกสิ่งทุกอย่างจนอิ่ม ... และบัดนี้ เขาไม่มีความสุขเลย

    เราเห็นได้ว่าพระวรสารไม่ได้บอกว่าคนจนนี้เป็นคนดี หรือบอกว่าเศรษฐีเป็นคนชั่ว เพียงแต่บอกว่าคนหนึ่ง “ยากจน” และอีกคนหนึ่ง “รวย” ... เศรษฐีไม่ได้ถูกกล่าวหาว่าเคยคดโกงลาซารัส ในการซื้อขายใด ๆ หรือเคยโกงค่าจ้าง หรือเคยทำร้าย หรือแสวงหาประโยชน์จากเขา ... เขาเพียงแต่ “มองไม่เห็นลาซารัส” เขาปล่อยให้เกิดเหวลึกมาขวางกั้นระหว่างเขา และคนจนคนนี้ ทั้งสองคนอยู่ห่างไกลกันมาก...

(เศรษฐี) แหงนหน้าขึ้นมองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมกอด จึงร้องตะโกนว่า “ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้”

    เราไม่ควรคิดว่านี่คือคำบรรยายสภาพที่แท้จริงของโลกหน้า พระเยซูเจ้าทรงบรรยายตามวิธีคิดของคนร่วมสมัยของพระองค์ พระองค์ไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่นได้ถ้าพระองค์ต้องการให้ประชาชนเข้าใจ ชาวยิวยุคนั้นเชื่อว่าโลกหน้าเป็นเหมือน “ที่พำนักของบรรดาผู้ตาย” (Sheol) ที่กว้างใหญ่ ที่มีร่างกาย นิ้ว ไฟ น้ำ – ที่ซึ่งคนในนรกมองเห็นคนในสวรรค์ได้ไกล ๆ และมีเหวลึกขวางกั้นอยู่...

    ภาพลักษณ์ในคำบรรยายนี้แสดงให้เห็นสถานการณ์ที่พลิกกลับ บัดนี้ เศรษฐีต้องพึ่งพาคนจน...

แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดี ๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลว ๆ บัดนี้ เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสองจนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย”

    พระเยซูเจ้าทรงใช้คำพูดของอับราฮัมยืนยัน “เอกสิทธิ์ของคนจน” อีกครั้งหนึ่ง จำบทเพลงสรรเสริญของพระนางมารีย์ได้ไหม “พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า” (ลก 1:53) ... จำคำปราศรัยของพระเยซูเจ้าที่นาซาเร็ธได้หรือไม่ “พระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน” (ลก 4:18) ... จำบทเทศน์เรื่องความสุขแท้ และคำสาปแช่งได้หรือไม่ “ท่านทั้งหลายที่ยากจนย่อมเป็นสุข ... วิบัติจงเกิดกับท่านที่ร่ำรวย” (ลก 6:20, 24) ... จำคำเตือนถึงอันตรายของความร่ำรวยทรัพย์ทางโลกได้ไหม (ลก 12:15-21, 16:9-11) ...

    พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่ามีภัยร้ายแรงสองประการที่ติดมากับความร่ำรวย
1)    ความร่ำรวยทำให้เราปิดหัวใจต่อพระเจ้า – คนรวยพอใจกับความรื่นรมย์ทางโลก และมักลืมชีวิตนิรันดร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
2)    ความร่ำรวยทำให้เราปิดหัวใจต่อผู้อื่น – คนรวยมองไม่เห็นคนจนที่นอนอยู่หน้าประตูบ้านของตนอีกต่อไป...

    “นรก” ดูเหมือนว่าเป็นเพียงความต่อเนื่องของสภาพนี้เท่านั้น สภาพที่อยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเหมือนบนโลกนี้ ห่างไกลจากผู้อื่นเหมือนบนโลกนี้ ... เราสังเกตเห็นอีกครั้งหนึ่งว่า ในความเป็นจริง มนุษย์เป็นฝ่าย “พิพากษาตนเองตั้งแต่ในชีวิตนี้แล้ว” ... การลงโทษที่น่ากลัวก็คือระยะห่างที่เศรษฐีคนนี้สร้างขึ้นระหว่างตัวเขาและพระเจ้า และระหว่างตัวเขาและเพื่อนมนุษย์ เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าคือความสนิทสัมพันธ์ที่เกิดจากความรัก เศรษฐีผู้นี้ตัดสินลงโทษตนเอง “ประตูบ้าน” ของเขาซึ่งแยกสองโลกออกจากกันได้กลายเป็น “เหวใหญ่”...

    ข้าพเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าพเจ้ากำลัง “สร้าง” สวรรค์ของข้าพเจ้า หรือนรกของข้าพเจ้า ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเปิดหัวใจให้พระเจ้าและผู้อื่น หรือทุกครั้งที่ข้าพเจ้าขังตนเองไว้ภายในความเห็นแก่ตัวของข้าพเจ้า ... โลกนี้เป็นสถานที่ฝึกตนเองและเรียนรู้ที่จะอยู่ในสวรรค์ หรือในนรก...

    มนุษย์คนใดที่ไม่สามารถรักใครได้ในโลกนี้ เป็นผู้ขีดฆ่าชื่อของตนเองออกจากรายชื่อผู้ได้รับเชิญไปใน “งานเลี้ยงของพระเจ้า” ซึ่งมีแต่คนยากจนเท่านั้นที่เข้าไปได้ หมายถึงคนที่ “เปิดหัวใจให้ผู้อื่น” ... พระเยซูเจ้าทรงเผยให้เรารู้จักพฤติกรรมและตัวตนของพระเจ้า ว่าพระเจ้าทรงเป็นความรักสากล ... ความรักต่อคนทั้งโลก ... ทรงเป็นบิดาผู้ฆ่าลูกวัวที่ขุนจนอ้วน และจัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อต้อนรับบุตรที่หนีออกจากบ้าน ... นี่คือพระเจ้า ... ส่วนเศรษฐีคนนี้พร้อมกับเพื่อนของเขาเผยว่าเขาต้องการชื่นชมกับสมบัติทางโลก ... สองภาพลักษณ์นี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง...

เศรษฐีจึงพูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย”

    เพียงประโยคนี้ก็พิสูจน์ได้แล้ว ถ้าเราต้องการข้อพิสูจน์ ว่าภาพลักษณ์ต่าง ๆ ในเรื่องอุปมานี้ ไม่ใช่คำบรรยายสภาพที่แท้จริงของโลกหน้า เพราะถ้าพระเจ้าทรงเห็นเจตนาดีแม้เพียงนิดเดียวในตัวมนุษย์คนใด เขาคนนั้นจะไม่ถูกลงโทษอีกต่อไป ความรักของพระเจ้าเป็นความรักอันไร้ขอบเขต ... แต่ในเรื่องอุปมานี้ เราได้เห็นเทคนิคการเล่าเรื่องที่จะนำไปสู่คำตอบที่ตามมา

อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด” แต่เศรษฐีพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ”

    นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ “การเรียกร้องเครื่องหมายอัศจรรย์” ... ทำอัศจรรย์ซิ แล้วเราจะเชื่อ ... ลงมาจากไม้กางเขนซิ ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ... จงกระโจนลงไปจากยอดพระวิหารซิ ... คริสตชนบางคนในปัจจุบันยังให้ความสนใจกับอัศจรรย์และการประจักษ์ต่าง ๆ แต่พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธการเรียกร้องให้แสดงเครื่องหมายที่น่าตื่นเต้น (ลก 11:16-29; มก 8:11-12; มธ 12:38, 16:1)...

อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ”

    อันที่จริง แทนที่ชาวฟาริสี และหัวหน้าสมณะจะเชื่อในพระเยซูเจ้า เมื่อพระองค์ทรงทำให้ลาซารัส พี่ชายของมารธา และมารีย์แห่งเบธานี กลับคืนชีพ พวกเขากลับเร่งตัดสินใจกำจัดพระองค์ (ยน 11:45-53)

    วิถีทางแท้ที่นำไปสู่ความเชื่อไม่ใช่อัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นอัศจรรย์ที่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าใดก็ตาม แต่เป็นการถ่อมตนรับฟังพระวาจาของพระเจ้า (“โมเสสและบรรดาประกาศก”) ... และการให้ความสนใจอย่างถ่อมตนต่อความต้องการของพี่น้องของเรา (พี่น้องที่กำลังเป็นทุกข์เดือดร้อนอยู่รอบตัวเรา)...

    ดูเหมือนพระเยซูเจ้าทรงกำลังบอกเราว่าชะตากรรมของคนรวยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว เพราะความเห็นแก่ตัว ความเลินเล่อ การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนทางศาสนา การไม่ยอมเปิดหัวใจ พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้พวกเขา “ไม่สามารถอ่านเครื่องหมายของพระเจ้าได้”  ความตายเตือนเขาได้เป็นครั้งคราวว่าความด้านชาฝ่ายจิตทำให้เขาตกอยู่ในภาวะเสี่ยงและไม่ปลอดภัย และทรัพย์สมบัติของเขาจะไม่สามารถคุ้มครองเขาได้ตลอดไป แต่ไม่มีประโยชน์ เพราะความรวยที่ทำให้เขามืดบอดต่อความขัดสนของผู้อื่น ก็ทำให้เขามองไม่เห็นความเสี่ยงของตนเองเช่นกัน เขาคิดถึงแต่ตนเอง ... และกักขังตนเองอยู่ภายในทรัพย์สมบัติของตน...

    พระเจ้าไม่ทรงทำตัวเหมือนโจร พระองค์ไม่ทรงบีบบังคับให้ใครรักพระองค์...

    เราจะสรุปการรำพึงตามพระวรสารวันนี้ด้วยการถามตนเองว่า ... ใครเป็นคนรวย ... ใครเป็นคนจน...

    เดิมพันครั้งนี้สูงยิ่ง และสำคัญมากจนเราไม่ควรด่วนตัดสินว่าอุปมาเรื่องนี้หมายถึงผู้อื่น และบอกว่า “ไม่ใช่ฉันหรอก เพราะฉันไม่ใช่เศรษฐีบ่อน้ำมัน”...

    จงสำรวจหัวใจของท่านอย่างถี่ถ้วน ... ท่านเปิดหัวใจให้พระเจ้าหรือเปล่า ... ท่านเปิดหัวใจให้ผู้อื่นหรือเปล่า ... ท่านยากจนหรือเปล่า...