แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา
เฉลยธรรมบัญญัติ 12:1-3; ฮีบรู 10:11-14, 18; มาระโก 13:24-32

บทรำพึงที่ 1
เตรียมใจรับฟังข่าวร้าย
พระดำรัสของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับวันสิ้นยุคพันธสัญญาเดิม ยังหมายถึงวันสิ้นพิภพด้วย

    บ๊อบ กรีน เป็นนักเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ Chicago Tribune เขาเขียนบทความหนึ่งที่เขาตั้งชื่อว่า “เตรียมใจรับฟังข่าวร้าย” เขาเกริ่นเรื่องไว้ดังนี้ “เราไม่นิยมพูดกันว่าคนรัสเซียมีความคิดดี ๆ แต่คนรัสเซียก็มีความคิดดีจริง ๆ ผมคิดว่าคนอเมริกันอาจอยากเลียนแบบบ้าง”

    กรีนบรรยายว่ารัฐบาลรัสเซียในยุคก่อนใช้นโยบาย “กลาสนอส และเปเรสตรอยกา” มีวิธีเตรียมตัวเตรียมใจประชาชนให้พร้อมสำหรับรับฟังข่าวร้าย เขาจะเริ่มเปิดดนตรีที่บรรเลงโดยวงซิมโฟนี แทรกเข้ามาในรายการวิทยุและโทรทัศน์ บางครั้งเขาเปิดเพลงเพียงหนึ่งชั่วโมง บางครั้งเปิดทั้งวัน และบางครั้งนานกว่านั้น จุดประสงค์ของดนตรีนี้คือเพื่อเตรียมประชาชน ทั้งด้านจิตใจและวิญญาณ ให้พร้อมจะรับฟังประกาศข่าวร้าย เช่น ความตายของผู้นำรัสเซีย หรือความตายของนักบินอวกาศของรัสเซีย

    กรีนยอมรับว่าวิธีนี้ทำให้สื่อตะวันตกแทบคลั่ง แต่เขาเชื่อว่าชาวรัสเซียมีเหตุผลที่ดี เพราะประชาชนจำเป็นต้องเตรียมตัวเตรียมใจก่อนจะได้ยินข่าวร้าย

    บทอ่านจากพระวรสารวันนี้บอกเล่าว่าพระเยซูเจ้าทรงเตรียมใจประชาชนสำหรับข่าวร้าย พระองค์ทรงบอกเขาว่าจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ภายในช่วงชีวิตของเขา และจะมีเครื่องหมายบางอย่างเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์นี้

    ประวัติศาสตร์บันทึกว่าพระเยซูเจ้ากำลังตรัสถึงการทำลายกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหาร ภัยพิบัตินี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลา 40 ปีหลังจากพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ และเป็นจุดจบของโลกยุคพันธสัญญาเดิม ดังที่ชาวยิวในยุคของพระเยซูเจ้าทราบดี

    เพราะเหตุนี้ เราจึงเข้าใจได้ว่าทำไมคริสตชนทั้งหลายจึงตีความมาโดยตลอดว่านี่คือคำเตือนเกี่ยวกับอวสานของโลกนี้เช่นกัน พระศาสนจักรใช้พระวรสารตอนนี้เป็นบทอ่านในวันนี้ มิใช่เพื่อกล่าวถึงอวสานของโลกยุคพันธสัญญาเดิม แต่กล่าวถึงอวสานของทั้งโลก

    ไม่มีใครรู้วันและเวลาที่เหตุการณ์สำคัญนี้จะเกิดขึ้น นอกจากพระบิดาของเราในสวรรค์เพียงผู้เดียว แต่จะมีเครื่องหมายบางอย่างปรากฏให้เห็นก่อนถึงกาลอวสานนั้น เหมือนกับเครื่องหมายที่ปรากฏก่อนถึงอวสานของโลกยุคพันธสัญญาเดิม

    บางคนคิดว่ามีเครื่องหมายบางอย่างปรากฏให้เห็นแล้วว่าอวสานของโลกใกล้เข้ามาแล้ว เครื่องหมายหนึ่งที่เขาชี้ให้เห็นคือการสะสมอาวุธ โดยเฉพาะในชนชาติที่นิยมก่อการร้าย

    เช่น ในปัจจุบัน มีมากกว่าสิบประเทศ – บางประเทศมีชื่อเสียงในการใช้วิธีก่อการร้ายเป็นกลยุทธ์ – ที่สามารถสร้างอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอานุภาพพอจะผลักโลกของเราเข้าสู่ยุคมืดได้ การกระทำที่ผิดพลาดหรือการกระทำด้วยความอารมณ์โกรธเพียงครั้งเดียว สามารถทำลายชีวิตมนุษย์ได้หลายล้านคน – และถึงกับทำลายได้ทั้งโลก วิญญูชนไม่อาจมองข้ามความเป็นไปได้ที่น่าวิตกนี้

    ในพระวรสารประจำวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเสนอสองหัวข้อให้เรานำไปครุ่นคิด คือ ชีวิตของเราอาจจบลงอย่างกะทันหัน และการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับจุดจบนั้น

    นี่คือหัวข้อที่เราไม่อาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือมองข้าม นี่คือหัวข้อที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเราได้ และเพราะเหตุนี้ พระศาสนจักรจึงนำเสนอสองหัวข้อนี้ให้เราไตร่ตรองเมื่อถึงปลายปีพิธีกรรม

    พระศาสนจักรต้องการเตือนเราว่า เมื่อใกล้เวลาที่พระเยซูเจ้าจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเตือนใจศิษย์ของพระองค์ว่าชีวิตบนโลกนี้เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ สำหรับเตรียมตัวเข้าสู่ชีวิตนิรันดรที่จะมาถึง ดังนั้น เราไม่ควรหมกมุ่นกับชีวิตบนโลกนี้ จนลืมนึกถึงชีวิตนิรันดรที่จะมาถึง

    ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตบนโลกนี้ของเราจะถึงจุดจบเมื่อใด หรือโลกจะถึงกาลอวสานเมื่อใด ผู้เดียวที่รู้คือพระบิดาในสวรรค์ ดังนั้น เราควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับนาทีนั้นเสมอ เพราะนาทีนั้นอาจมาถึงอย่างกะทันหัน และเราจะมีเวลาน้อยมาก หรือไม่มีเวลาเลยที่จะเตรียมตัว

    เมื่อสองสามปีก่อน เครื่องบินโดยสารของสายการบินญี่ปุ่นประสบอุบัติเหตุตกบนภูเขา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 520 คน ไม่กี่นาทีก่อนที่เครื่องบินจะชนภูเขา ผู้โดยสารได้รับคำเตือนว่าเครื่องบินจะตก จากนั้นก็เกิดโศกนาฏกรรม

    เมื่อหน่วยกู้ชีพเดินทางไปถึงซากเครื่องบิน ท่ามกลางเศษซาก พวกเขาพบปฏิทินพกเล่มหนึ่งซึ่งเป็นของนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ชายคนนี้ใช้เวลาไม่กี่นาทีนั้นเขียนอักษรหวัด ๆ บนหน้าปฏิทิน ข้อความหนึ่งกล่าวว่า “เราไม่มีทางรอด ... ผมเศร้าใจมาก” ข้อความที่สองเขียนถึงครอบครัวของเขาว่า “คิดดูเถิดว่าอาหารค่ำเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้าย (ที่เราอยู่พร้อมหน้ากัน)” ข้อความสุดท้ายเขียนถึงบุตรสามคนของเขาว่า “จงเป็นคนดี ขยันทำงาน และช่วยเหลือแม่ของลูก”

    ข้อความที่เขียนอย่างเร่งรีบนี้เป็นของชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตโดยไม่มีเวลาเตรียมตัว ไม่มีการเปิดดนตรีหนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งวัน เพื่อเตรียมใจเขาสำหรับข่าวร้าย มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เหมือนขโมยที่มาในเวลากลางคืน

    นี่คือจุดประสงค์ที่พระเยซูเจ้าตรัสข้อความนี้ในบทอ่านจากพระวรสารวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าจุดจบของชีวิตของเรา หรือทุกชีวิตบนโลกนี้ จะมาถึงเมื่อใด ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้เสมอ
    นี่คือสารที่พระเยซูเจ้าตรัสกับเราในพระวรสารวันนี้ นี่คือสารที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เรานำไปไตร่ตรองระหว่างภาวนา นี่คือสารที่เราไม่สามารถเพิกเฉยได้

    เราจะสรุปบทรำพึงนี้ด้วยข้อความจากหนังสือชื่อ God’s Trombones (ทรอมโบนของพระเจ้า) ของ เจมส์ เวลดอน จอห์นสัน ซึ่งบรรยายนาทีสุดท้ายของสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง ชื่อ คาโรไลน์ เธอเตรียมตัวจนพร้อมเมื่อความตายมาถึง จอห์นสันเขียนถึงคาโรไลน์ ว่า

    เธอเห็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น
    เธอเห็นความตาย
    เธอเห็นความตายกำลังพุ่งเข้ามาเหมือนดาวตก
    แต่ความตายไม่ทำให้ ซิสเตอร์คาโรไลน์รู้สึกกลัว
    ความตายมองเธอเหมือนกับพบเพื่อนที่ยินดีต้อนรับเขา
    แล้วเธอก็กระซิบบอกเราว่า “ฉันกำลังจะกลับบ้าน”
    แล้วเธอก็ยิ้มและปิดตา

บทรำพึงที่ 2
มาระโก 13:24-32

    เรามาถึงปลายปีพิธีกรรมแล้ว เราติดตามพระเยซูเจ้าทุกวันอาทิตย์ ตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมา ทรงรักษาผู้ป่วย ทรงขับไล่ปีศาจ ทรงอภิปรายเกี่ยวกับพระคัมภีร์กับธรรมาจารย์ ทรงอบรมสั่งสอนศิษย์ของพระองค์ เราอาจคิดว่า ถึงเวลานี้ เรารู้จักพระเยซูเจ้าพระองค์นี้ดีมากแล้ว ... แต่พระองค์เพิ่งจะเปิดเผยทุกมิติแห่งพระบุคคลของพระองค์ในวันนี้เอง พระองค์จะสิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พระองค์เสด็จออกมาจากพระวิหารของกรุงเยรูซาเล็ม และจะไม่ทรงก้าวเข้าไปในที่นั้นอีก ศิษย์คนหนึ่งชี้ชวนให้พระองค์ทอดพระเนตรความงามของอาคารนั้น “ดูซิ พระอาจารย์ ก้อนหินและอาคารเหล่านี้ช่างใหญ่โตจริง ๆ” (มก 13:1)

    พระเยซูเจ้าตรัสตอบเพียงว่า “จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย ทุกสิ่งจะถูกทำลาย” เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์ ถามพระองค์ว่า “เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด” คำตอบของพระเยซูเจ้าคือคำปราศรัยครั้งสุดท้าย ซึ่งบ่อยครั้งเรียกว่า “คำปราศรัยเรื่องอวสานกาล”

    บทอ่านพระวรสารในวันนี้เป็นท่อนกลางของคำปราศรัยนี้

ในวันเหล่านั้น เมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว...

    เพื่อช่วยให้เข้าใจคำว่า “ทุกขเวทนา” เราต้องอ่านข้อความก่อนหน้านี้ พระเยซูเจ้าทรงประกาศว่าจะมีเครื่องหมายสามอย่างที่เกิดขึ้นก่อนพระวิหารถูกทำลาย
    1)    ประกาศกเทียม และพระเมสสิยาห์เทียม จะชักนำให้คนจำนวนมากหลงทาง (มก 13:5-6)
    2)    จะเกิดภัยพิบัติ สงคราม แผ่นดินไหว ความอดอยาก (มก 13:7-8)
    3)    ศิษย์ของพระเยซูเจ้าจะถูกเบียดเบียน (มก 13:9-13)

    จากนั้น จะเกิดความทุกข์ยากยิ่งใหญ่จากการทำลายพระวิหาร “ผู้ทำลายที่น่ารังเกียจ” (มก 13:14) ที่ประกาศกเคยทำนายไว้ (ดนล 9:27) ประวัติศาสตร์บอกเราว่าพระวิหารถูกกองทัพของทิตัสทุราจารและทำลาย เมื่อ ค.ศ. 70 และเราไม่ควรลืมว่ามาระโกเขียนคำบอกเล่านี้หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ไม่นาน ในเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนกำลังถล่มทลาย การเบียดเบียนของเนโรแทบจะทำลายพระศาสนจักรที่เพิ่งก่อตัว พระสันตะปาปาองค์แรก คือ เปโตร ถูกจับตรึงกางเขนโดยห้อยศีรษะลง เปาโลถูกตัดศีรษะ คริสตชนถูกเผาทั้งเป็นในสวนโรมัน ... และบัดนี้ จักรวรรดิโรมันนี้กำลังทำลายสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้า คือพระวิหารของกรุงเยรูซาเล็ม! ผู้มีความเชื่อย่อมวิตกมาก ความเชื่อของเขาไม่ใช่ความเชื่อเที่ยงแท้หรือ? คำสัญญาของพระเจ้าเป็นเพียงความฝันที่สวยงาม แต่ไม่อาจเป็นจริงได้หรือ? ... พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นอย่างนี้หรือ?...

    นี่คือคำถามที่เราได้ยินเสมอ...

ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน

    พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาษาวิวรณ์ซึ่งใช้ภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ และนิยมใช้ในพระคัมภีร์ (อสย 13:10, 34:4; ยอล 2:10, 4:15; อสค 32:7 เป็นต้น) ภาษาวิวรณ์ที่ใช้กันในสมัยของพระเยซูเจ้าใช้ภาพลักษณ์ที่รุนแรงยิ่งกว่า “ดวงอาทิตย์จะส่องแสงยามกลางคืน ดวงจันทร์จะส่องแสงยามกลางวัน โลหิตจะไหลออกมาจากต้นไม้ และก้อนหินจะร้องตะโกน” (หนังสือเอสรา เล่มที่สาม 5:4)

    เราไม่ควรเชื่อคำบรรยายนี้ตามตัวอักษร เพราะมีจุดประสงค์เพียงเพื่อแสดงภาพความเป็นจริงที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ความเป็นจริงดังกล่าว คือ การย้อนกลับไปสู่สภาพโกลาหลแต่เดิม และสิ่งสร้างใหม่จะเกิดจากความโกลาหลนี้ นี่คือ “ปฐมกาล” ครั้งใหม่ โลกใหม่ นักบุญเปาโลกล่าวว่า “สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว” (2 คร 5:17)

    ภาพลักษณ์เหล่านี้บรรยายจนเรามองเห็นภาพ พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เรามองเห็นความเปราะบางอ่อนแอของตัวเรา มนุษย์อยาก “ทำตัวเป็นพระเจ้า” เสมอ และชอบใช้คำที่ฟังดูยิ่งใหญ่ เช่น การสร้างโลก ... การครองเอกภพ ... การพิชิตจักรวาล ... แต่ในวันหนึ่ง – ดังที่เราเห็นได้จากวิกฤติครั้งใหญ่ ๆ ของโลก – ทุกสิ่งที่เราคิดว่ามั่นคงยั่งยืนที่สุดจะกลายเป็นสิ่งไร้สาระไปโดยฉับพลัน เมื่อเราพบเห็นความพลิกผันของจักรวาล หรืออารยธรรมต่าง ๆ เราจึงค้นพบว่าเราเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ ที่ไร้ความสำคัญ ถ้าเรามองให้ไกลกว่าขอบฟ้าที่สุดสายตาของเรา เราจะย้อนกลับมาสู่มิติแท้จริงของตัวเรา ... เมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ เมื่อเทียบกับดวงดาว เราเป็นใคร? ... ด้วยไม่กี่ประโยค พระเยซูเจ้าทรงบังคับให้เราขยายทัศนคติของเรา มีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่อยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเรา และอยู่ไกลเกินเอื้อมของเรา ... มีดาวอื่น ๆ อีกหลายพันดวงอยู่บนท้องฟ้า และเราไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อดาวเหล่านั้นเลย ความจริงเหล่านี้ควรบอกเราได้ว่าเราเป็นสิ่งที่ต่ำต้อยเล็กน้อยเพียงไร

    พระเจ้าเท่านั้นทรงสามารถทำให้ดวงดาวเหล่านั้นสั่นสะเทือนได้! ถ้าเราเก่งนัก จะลองทำเช่นนั้นดูบ้างก็ได้!...
เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่

    นับแต่วันที่พระเยซูเจ้าประสูติมาในสภาพของทารกยากจนในคอกสัตว์ที่เมืองเบธเลเฮม พระองค์ไม่เคยตรัสถึงพระองค์เองในลักษณะนี้มาก่อน แต่บัดนี้ ในทันทีทันใด พระองค์ทรงกลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ พระองค์ทรงประกาศว่าพระองค์คือผู้พิพากษาแห่งยุคสุดท้าย นี่คือบทบาทที่สงวนไว้สำหรับพระเจ้า ... และอีกสองสามวันต่อมา พระองค์จะตรัสย้ำเช่นนี้อีกครั้งหนึ่งต่อหน้าผู้พิพากษาทั้งหลายในสภาซันเฮดริน (มก 14:62)

    พระองค์ทรงค่อย ๆ เตรียมเราให้พร้อมสำหรับการเผยแสดงนี้ ทรงทำให้เราคุ้นเคยกับสมญา “บุตรแห่งมนุษย์” แต่ทุกครั้ง ทรงใช้คำนี้เพื่อประกาศเรื่องการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ (มก 8:31, 9:31, 10:33, 10:45) ด้วยสมญานี้ พระเยซูเจ้าทรงอ้างว่าพระองค์คือผู้ที่ทำให้คำทำนายของดาเนียล (7:13-14) ที่ชาวยิวได้ยินบ่อย ๆ กลายเป็นความจริง หนังสือนี้ประกาศชัยชนะอย่างเด็ดขาดของพระเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นผ่าน “บุตรแห่งมนุษย์ ผู้เสด็จมาในก้อนเมฆบนท้องฟ้า” พลังของความชั่ว คนที่เบียดเบียนผู้ยากไร้ และคนชั่วทั้งหลาย ไม่สามารถเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของโลกได้

    ดังนั้น ภาษาวิวรณ์ที่เราได้ยินในวันนี้ จึงใช้เพื่อเน้นเรื่องความหวัง ... พระเยซูเจ้าจะเสด็จมา ... พระองค์จะได้รับชัยชนะ!...

    ลัทธิทั้งหลาย และกลุ่มบุคคลที่ตื่นตระหนกเกินควร (ซึ่งเราพบเห็นเสมอทุกครั้งที่เกิดวิกฤติการณ์) พยายามพูดกรอกหูเราเรื่องภัยคุกคามและคำทำนายถึงภัยพิบัติ แต่สำหรับพระเยซูเจ้า การทำลายพระวิหาร – ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการทำลายล้างโลก – กลับกลายเป็น “ข่าวดี” ดังที่เราได้ยินจากบทเพลงในพิธีกรรมจารีตตะวันออกว่า “ท้องฟ้ามืดมัวสำหรับเรา ดวงดาวไม่ส่องแสงในยามราตรีอีกต่อไป แต่เรารู้ว่าวันนั้นกำลังมาถึง พระองค์ใกล้จะเสด็จมาแล้ว เชิญเสด็จมา ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า มารานาธา!”

    คริสตชนรุ่นแรกดำเนินชีวิตด้วยความปรารถนาให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเป็นครั้งที่สอง (ในภาษากรีกเรียกว่า Parusia)  เราพบคำว่า “มารานาธา (Maranatha)” หลายครั้งในพันธสัญญาใหม่ (1 คร 16:22, วว 22:20) คำนี้เป็นภาษาอาราเมอิค (ภาษาแม่ของพระเยซูเจ้า) แปลตรงตัวว่า “เชิญเสด็จมา ข้าแต่พระเจ้า” และได้เข้าไปอยู่ในพิธีกรรมของคริสตชนยุคแรก หลังจากสภาสังคายนาวาติกันเป็นต้นมา พระศาสนจักรได้นำบทภาวนาแสดงความปรารถนานี้มารวมอยู่ในพิธีกรรมหลังการเสกศีลมหาสนิท ว่า “พระคริสตเจ้าจะเสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง ... พระเยซูเจ้าจะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ ...” แล้วทำไมเราจึงไม่ขับร้องเหมือนกับคริสตชนยุคแรก ด้วยภาษาขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “มารานาธา”?

เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า

    เป็นไปได้อย่างไรที่นักประพันธ์ร่วมสมัยบางคนพยายามลดฐานะของพระเยซูเจ้าให้เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง? ... พระองค์ทรงมีอำนาจเรียกใช้ทูตสวรรค์! มนุษย์ที่ไม่มีความสำคัญคนนี้ ผู้ไม่เคยเดินทางออกนอกเขตปาเลสไตน์ กำลังบอกเราว่า เขาจะรวบรวมมนุษย์ทุกคนจากสี่มุมโลก!... 
    ตามภาษาวิวรณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงหยิบยืมมาใช้ ภาพลักษณ์ของความแปรปรวนของจักรวาลหมายถึงการลงโทษมนุษย์ชั่วโดยพระเจ้า แต่ในข้อความที่เราได้ยินจากพระโอษฐ์ของพระเยซูเจ้า เราไม่พบการลงโทษเช่นนั้น เราพบแต่การ “รวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรร”! Parousia หรือการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้า หรืออวสานของโลก ทั้งหมดนี้คือโอกาสที่พระเยซูเจ้าจะทรงรวบรวมบุคคลที่เป็นของพระองค์ มาจากทุกมุมโลก นี่คืองานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ทั่วจักรวาล!

    พระเยซูเจ้าทรงมีความคิดที่ยิ่งใหญ่ – ยิ่งใหญ่สมกับที่เป็นความคิดของพระเจ้า – แต่พระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า!

    “การอยู่กับพระเยซูเจ้า” นี่คือความหมายของอวสานของโลก ทั้งสงคราม ภัยพิบัติ การเบียดเบียน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ผู้ทำลายที่น่ารังเกียจ การทำลายพระวิหาร คนชั่วที่ทุราจารสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ – ทั้งหมดนี้เป็นการเตรียมตัวเราให้พร้อมสำหรับกาลอวสานนี้! นี่คือเสียงตะโกนให้ความหวังอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถได้ยิน ขณะที่ทุกสิ่งรอบตัวเขากำลังพังทลาย ... แม้ว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา และดูเหมือนว่าความตายจะเป็นฝ่ายชนะ ... ไม่ใช่หรือ?

จงเรียนคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศเถิด เมื่อมันแตกกิ่งอ่อนและผลิใบ ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว ท่านก็เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระองค์ทรงใกล้เข้ามา อยู่ที่ประตูแล้ว

    ผู้ทำนายเรื่องโลกแตกทั้งหลายไม่เข้าใจความคิดของพระเยซูเจ้าเลย เห็นได้ชัดว่าพระเยซูเจ้าทรงต้องการให้มนุษยชาติเริ่มมีความหวังว่าเขาจะได้อยู่ในโลกใหม่ ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เมื่อต้นไม้จะเขียวชอุ่มอีกครั้งหนึ่ง หลังจากทนอยู่ท่ามกลางความแห้งแล้งมาตลอดฤดูหนาว นี่คือสัญญาณว่า “ฤดูกาลที่อุดมสมบูรณ์” กำลังใกล้เข้ามา ... อุปมาสั้น ๆ นี้งดงามจริง ๆ และนี่คืออุปมาเรื่องสุดท้ายของพระเยซูเจ้าก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์...

เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงพ้นไป ก่อนที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย

    พระเยซูเจ้าทรงมองการณ์ไกลอย่างไม่มีขอบเขต คำอ้างของพระองค์คงไร้สาระ ถ้าพระองค์เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนเรา เราจงจำไว้ว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า...

    พระองค์ตรัสว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง “จะล่วงพ้นไป” แต่เราจะยังอยู่ ... เราเป็น! ... และท่านจะอยู่กับเรา!

    หลังจากความตาย การกลับคืนชีพในวันปัสกากำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว เหมือนรุ่งอรุณหลังจากความมืดเวลากลางคืน

ส่วนเรื่องวันและเวลานั้น ไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว”

    พระเยซูเจ้ายังคงเป็น “มนุษย์” คนหนึ่งอย่างแท้จริง พระองค์ไม่ทรงล่วงรู้ความลับของพระบิดา แม้ว่าพระองค์เองทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ... และมนุษย์คนเดียวกันนี้เองที่ประกาศว่า เขาจะกลับมา “ในก้อนเมฆบนท้องฟ้า” เพื่อรวบรวมผู้เลือกสรรทุกคน! นี่คือมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพพิสดารเกินกว่าที่เราจะเข้าใจโดยใช้หลักเหตุผล...