วันอาทิตย์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา
ปรีชาญาณ 6:12-16; 1 เธสะโลนิกา 4:13-18; มัทธิว 25:1-13

บทรำพึงที่ 1
พระองค์กำลังเสด็จมา!
อะไรที่เราผลัดวันประกันพรุ่ง ทั้งที่เราควรทำในเวลานี้

    ในยุคแรกของประวัติศาสตร์ของอเมริกา ทาสผิวดำคนหนึ่งเขียนบทกวี ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีผู้นำไปแต่งดนตรีประกอบ บทกวีนี้พูดถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้าดังนี้

    มีพระราชา และผู้นำสูงสุดพระองค์หนึ่ง
    พระองค์กำลังเสด็จมา
    และพระองค์จะพบฉันกำลังพรวนดินต้นฝ้ายเมื่อพระองค์เสด็จมา
    คุณได้ยินเสียงกองทัพของพระองค์ควบม้ามาบนท้องฟ้า
    และพระองค์จะพบฉันกำลังพรวนดินต้นฝ้ายเมื่อพระองค์เสด็จมา

    มีบุรุษหนึ่งที่เขาผลักไสให้พ้นทาง
    ผู้ถูกทรมานจนสิ้นใจ
    และพระองค์จะพบฉันกำลังพรวนดินต้นฝ้ายเมื่อพระองค์เสด็จมา
    พระองค์ถูกเกลียดชัง และปฏิเสธ
    พระองค์ถูกดุหมิ่น และจับตรึงกางเขน
    และพระองค์จะพบฉันกำลังพรวนดินต้นฝ้ายเมื่อพระองค์เสด็จมา

    เมื่อพระองค์เสด็จมา
    นักบุญ และทูตสวรรค์จะสวมมงกุฎให้พระองค์
    เมื่อพระองค์เสด็จมา
    เขาจะโห่ร้องว่าโฮซานนา
    ถวายแด่บุรุษผู้ที่มนุษย์ปฏิเสธ
    และฉันจะคุกเข่าลงท่ามกลางต้นฝ้ายของฉัน
    เมื่อพระองค์เสด็จมา

    บทกวีนี้สามารถแสดงจิตตารมณ์ของเรื่องอุปมาของพระเยซูเจ้าในบทอ่านจากพระวรสารวันนี้ได้เป็นอย่างดี

    ผู้แต่งบอกว่าเมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา พระองค์จะพบว่าเขากำลังทำงานอย่างซื่อสัตย์ และรอคอยอย่างอดทน และนี่คือประเด็นที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการสอนในเรื่องอุปมานี้ พระองค์ทรงบอกเราให้ซื่อสัตย์ต่อคำสั่งสอนของพระองค์ และให้อดทนรอคอยการเสด็จมาครั้งสุดท้ายของพระองค์
    สำหรับคนยุคศตวรรษที่ 20 อุปมาเรื่องหญิงสาวสิบคนดูเหมือนเป็นนิยายที่แต่งขึ้น และห่างไกลความเป็นจริง แต่นี่คือคำบรรยายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเสมอในยุคสมัยของพระเยซูเจ้า นี่คือคำบรรยายพิธีแต่งงานของคนโบราณ

    งานฉลองจะดำเนินไปนานหลายวัน และคนทั้งหมู่บ้านมาร่วมงานด้วย นาทีสำคัญมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวมาถึงบ้านของเจ้าสาวเพื่อรับเธอเป็นภรรยา ผู้ที่ต้อนรับเขาคือกลุ่มเพื่อนเจ้าสาว วรรณกรรมเก่าแก่เล่าว่าบางครั้งเจ้าบ่าวจงใจมาถึงบ้านเจ้าสาวให้ช้า ๆ บางครั้งเพื่อนเจ้าสาวต้องรอจนถึงกลางดึก เขาทำเช่นนี้เพื่อแกล้งให้เพื่อนเจ้าสาวเหล่านี้เผลอตัว

    พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาพลักษณ์ที่คุ้นเคยนี้เพื่อสอนประชาชนเกี่ยวกับการเสด็จมาครั้งสุดท้ายของพระองค์ พระองค์จะเสด็จมาในเวลาที่บางคนไม่รู้ตัว เหมือนกับเจ้าบ่าวที่มาในเวลาที่เพื่อเจ้าสาวไม่รู้ตัว

    ดังนั้น เราจึงสามารถตีความเรื่องอุปมาของพระเยซูเจ้าได้ดังนี้

    เจ้าบ่าวหมายถึงพระเยซูเจ้า งานแต่งงานนั้นหมายถึงงานเลี้ยงนิรันดรในสวรรค์ เมื่อพระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาอย่างรุ่งโรจน์ เพื่อรับพระศาสนจักรของพระองค์ไว้เป็นเจ้าสาวนิรันดรของพระองค์

    เพื่อนเจ้าสาวที่ฉลาดหมายถึงคนทั้งหลายที่เตรียมตัวพร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า เพื่อนเจ้าสาวที่เป็นคนโง่หมายถึงคนทั้งหลายที่ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม

    มีคำถามสำคัญว่าเราต้องทำอะไรเพื่อเตรียมพร้อม น้ำมันในตะเกียงของเพื่อนเจ้าสาวหมายถึงอะไร

    เราพบคำตอบได้ในบทเทศน์บนภูเขา ที่นั่น พระเยซูเจ้าทรงเปรียบเทียบกิจการดีว่าเหมือนกับน้ำมันที่จุดตะเกียงให้ส่องสว่าง พระเยซูเจ้าตรัสว่า “แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มธ 5:16) ดังนั้น น้ำมันจึงหมายถึงกิจการดี

    อุปมาเรื่องนี้มีความหมายอย่างไรในชีวิตแต่ละวันของเรา นักประพันธ์ชื่อ ริชาร์ด อีแวนส์ ตอบคำถามนี้ได้ชัดเจนมาก เขาบอกว่ามีมารดาบางคนที่วางแผนว่าจะใช้เวลาอยู่กับบุตรสาวของตนให้มากยิ่งขึ้น แต่ก็ผลัดผ่อนไปเรื่อย ๆ มีบิดาบางคนที่วางแผนว่าจะทำความรู้จักบุตรชายของตนให้ดีขึ้น แต่ก็ผลัดผ่อนไปเรื่อย ๆ มีสามีภรรยาบางคู่ที่วางแผนว่าจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากขึ้นเพื่อทำให้ชีวิตสมรสมั่นคงขึ้น แต่ก็ผลัดผ่อนไปเรื่อย ๆ แล้วอีแวนส์ ก็โพล่งออกมาด้วยอารมณ์ร้อนว่า “เมื่อไรหนอ เราจึงจะดำเนินชีวิตเหมือนกับเราเข้าใจแล้วว่านี่คือชีวิต นี่คือเวลาของเรา วันของเรา ... และมันกำลังผ่านพ้นไป เมื่อไรหนอเราจึงจะหยุดผลัดผ่อนที่จะทำสิ่งต่าง ๆ เสียที”

    พระเยซูเจ้าทรงหมายความเช่นนี้ในบทอ่านจากพระวรสารประจำวันนี้ เมื่อพระองค์ตรัสถึงเพื่อนเจ้าสาวที่เป็นคนโง่ซึ่งไม่รู้จักเตรียมพร้อม

    พระเยซูเจ้าผู้ทรงกำลังเตือนเราว่ามีบางสิ่งบางอย่างในชีวิตที่เราต้องทำในเวลานี้ มีบางสิ่งบางอย่างในชีวิตที่เราไม่สามารถผลัดผ่อนไปจนถึงนาทีสุดท้าย เหมือนกับเพื่อนเจ้าสาวที่ผลัดผ่อนไม่ยอมไปซื้อน้ำมันจนถึงนาทีสุดท้าย

    ตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถผลัดผ่อนการเตรียมตัวสอบใบขับขี่จนถึงห้านาทีก่อนเข้าสอบ เราไม่สามารถผลัดผ่อนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหวัดจนถึงห้านาทีหลังจากเราติดเชื้อหวัดแล้ว

    ในทำนองเดียวกัน เราไม่สามารถผลัดผ่อนการช่วยเหลือบุคคลที่ขัดสน จนกระทั่งแพทย์บอกเราว่า “คุณควรจะคืนดีกับพระเจ้าได้แล้ว คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่สัปดาห์”

    สารที่พระวรสารต้องการบอกเราในวันนี้เป็นสารสำคัญ เป็นสารที่พระเยซูเจ้าทรงย้ำแล้วย้ำเล่าในพระวรสาร เป็นสารที่เราจำเป็นต้องได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดชีวิตของเรา เป็นสารที่เราทุกคนยังไม่นำไปปฏิบัติ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง

    สารนี้บอกเราว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่สามารถผลัดผ่อนได้จนถึงนาทีสุดท้าย

    สารนี้บอกเราว่าถ้าเราไม่หยุดผลัดผ่อน เจ้าบ่าวอาจเสด็จมาถึงโดยที่เราไม่รู้ตัว

    สารนี้บอกเราว่าถ้าเราไม่หยุดผลัดผ่อน พระเยซูเจ้าอาจตรัสแก่เราในวันหนึ่งเหมือนกับที่เจ้าบ่าวพูดกับเพื่อนเจ้าสาวผู้โง่เขลาว่า “เราไม่รู้จักท่าน”

    นี่คือสารที่พระวรสารต้องการบอกเราในวันนี้ ผู้ที่ได้ยินและใส่ใจ ย่อมเป็นสุข

    เราจะสรุปบทรำพึงนี้ด้วยบทภาวนา

    พระเจ้าข้า โปรดทรงช่วยเราให้หยุดผลัดวันประกันพรุ่ง
    โปรดทรงช่วยเราให้ตระหนักว่ามีบางสิ่งบางอย่างในชีวิต
    ที่เราไม่สามารถขอยืม หรือซื้อหาได้เมื่อถึงนาทีสุดท้าย
        โปรดทรงช่วยเราให้ตระหนักว่านี่คือเวลาของเรา
        นี่คือวันของเรา
        และวันเวลานี้ผ่านพ้นไปเร็วกว่าที่เราคิด
    โปรดทรงช่วยเราให้ใส่ใจถ้อยคำของกวี ที่ว่า
    “มีพระราชา และผู้นำสูงสุดพระองค์หนึ่ง
    พระองค์กำลังเสด็จมา
    และพระองค์จะพบฉันกำลังพรวนดินต้นฝ้ายเมื่อพระองค์เสด็จมา
    คุณได้ยินเสียงกองทัพของพระองค์ควบม้ามาบนท้องฟ้า
    และพระองค์จะพบฉันกำลังพรวนดินต้นฝ้ายเมื่อพระองค์เสด็จมา”

บทรำพึงที่ 2
มัทธิว 25:1-15

    เรากำลังอยู่ในเดือนพฤศจิกายน และปีพิธีกรรมจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า ในวันอาทิตย์สามสัปดาห์สุดท้าย พระศาสนจักรเชิญชวนเราให้ไตร่ตรองบทคัดย่อสามบทจากคำปราศรัยครั้งสุดท้ายของพระเยซูเจ้า ซึ่งมัทธิวนำคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้ามารวมไว้ด้วยกันในหัวข้อ “กาลอวสาน” กล่าวคือ การทำนายเรื่องการทำลายพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม (24:1-25) ... การเชิญชวนให้ระวัง และเตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์ (24:26-44) ... อุปมาสามเรื่องเกี่ยวกับการตื่นเฝ้า คือ เรื่องผู้รับใช้ที่รอคอยนาย เพื่อนเจ้าสาวสิบคน และเงินตะลันต์ (24:45-25:30) ... และการพิพากษาครั้งสุดท้าย (25:31-46)

“อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับหญิงสาวสิบคน ถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าว”

    พระเยซูเจ้าไม่ทรงลังเลที่จะเสนอภาพลักษณ์ของความงาม ความเยาว์วัย และความยินดีตั้งแต่ต้นเรื่อง มีหญิงพรหมจารีสิบคน ตามพระคัมภีร์ซึ่งใช้คำว่า parthenoi ความงามสง่าของหญิงสาวเหล่านี้ยิ่งงามมากขึ้น เมื่อเราคิดถึงกิริยาท่าทางของพวกเธอที่ถือตะเกียงอยู่ในมือในเวลากลางคืน ... พวกเธอได้รับเชิญมาในงานแต่งงาน และเจ้าบ่าวกำลังรอพวกเธออยู่ ... พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนำเสนอภาพของพระเจ้าว่าทรงเป็นเจ้าบ่าวของอิสราเอล...

    ขณะที่มัทธิวเขียนคำบอกเล่านี้ ภาพลักษณ์ของงานวิวาห์ได้กลายเป็นความจริงแล้ว เพราะพระเยซูเจ้าเองทรงเป็นเจ้าบ่าวผู้นี้ และพระศาสนจักร ซึ่งหมายถึงเราทุกคน คือเจ้าสาวของพระองค์ ... นักบุญเปาโลถึงกับกล้าเขียนว่า “ข้าพเจ้าหมั้นท่านไว้กับชายคนเดียว เพื่อถวายประดุจพรหมจารีบริสุทธิ์แด่พระคริสตเจ้า” (2 คร 11:2) ... การหมั้น ... การสมรส ... ความรัก ... ภาพลักษณ์ของความงาม ของชีวิต และความสุข...

    ดังนั้น เรื่องอุปมาที่เราได้ยินวันนี้จึงเชิญชวนเราให้ก้าวเข้าไปในส่วนลึกของพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงมองว่าพระองค์คือเจ้าบ่าว ... พระองค์ทรงมีความรัก นี่คือสัญลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นทั่วไปในพันธสัญญาเดิม และพบได้หลายครั้งในพระวรสาร (มก 2:19; ลก 5:34; มธ 9:15; ยน 3:29)...

    ชีวิตคริสตชนของเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า คือ เหมือนกับเจ้าสาวที่ “กำลังไปพบ” สามีของนาง ... เต็มไปด้วยความปรารถนาจะไปพบผู้ที่เธอรัก...

“ห้าคนเป็นคนโง่ อีกห้าคนฉลาด หญิงโง่นำตะเกียงไป แต่มิได้นำน้ำมันไปด้วย ส่วนหญิงฉลาดนำน้ำมันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียง”

    เช่นเดียวกับเรื่องอุปมาอื่น ๆ เรารู้สึกได้ว่าพระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงเล่านิยายให้ฟังกันสนุก ๆ ขณะที่ทรงเล่าอยู่นี้ พระองค์จะสิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และพระองค์เพิ่งจะตรัสโจมตีชาวฟาริสี (มธ 23:1-39) ... ศัตรูของพระองค์ได้พิพากษาพระองค์ในใจของเขาแล้ว เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าพระองค์ เหมือนกับที่เขาฆ่าประกาศกทุกคน (มธ 23:34-37)...
    หญิง “โง่” ห้าคนนี้ขี้ลืมและไม่วางแผนล่วงหน้า พระคัมภีร์ฉบับภาษากรีกใช้ถ้อยคำที่แรงกว่านี้มากคือ Morai (senseless – ไร้สติ) ... ในภาษาพระคัมภีร์คำว่าไร้สติ หรือโง่เขลา ไม่ได้หมายถึงเพียงผู้ที่ขาดสติปัญญา แต่หมายถึงชายหรือหญิงที่โง่เขลาจนถึงกับต่อต้านพระเจ้า “คนโง่เขลาพูดในใจของเขาว่าไม่มีพระเจ้า” (สดด 14:1) ... และพระวรสารใช้คำเดียวกันนี้กับ “คนที่สร้างบ้านไว้บนทราย และคนที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้า” (มธ 7:24) ... “ฟาริสีโง่เขลา และตาบอด” (มธ 23:17) ... ดังนั้น หญิง “โง่” ห้าคนจึงไม่ได้หมายถึงคนไม่มีสมอง ไม่รู้จักคิด หรือเพียงแต่ขี้ลืม ... ในกรณีนี้ พระเยซูเจ้าตรัสเป็นนัยถึงทัศนคติฝ่ายจิต บุคคลใดที่ให้พระเจ้าเป็นรากฐานชีวิตของตน บุคคลนั้นฉลาด – บุคคลใดสร้างชีวิตของตนด้วยคุณสมบัติมนุษย์ที่ไม่เที่ยงแท้ของตน บุคคลนั้น “โง่เขลา”

    ชีวิตไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เราต้องเลือกทางเดินชีวิต และเดิมพันนั้นสูงยิ่ง! พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราเช่นนี้ เมื่อทรงเล่าเรื่องของหญิงฉลาดห้าคน และหญิงโง่ห้าคน...

    ส่วนท่าน ... ท่านได้เลือกทางเดินแบบใด ... ท่านใช้ปรีชาญาณของพระเจ้า หรือใช้ความโง่เขลาเลือกทางเดินชีวิตของท่าน...

“ทุกคนต่างง่วงนอน และหลับไปเพราะเจ้าบ่าวมาช้า”

    ถ้าเป็นเรื่องของงานวิวาห์ปกติ รายละเอียดนี้คงเป็นไปไม่ได้ แต่เราเห็นได้ว่าภาษาที่ใช้บรรยายนี้เป็นภาษาสัญลักษณ์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงบอกเล่าในบริบทของ “คำปราศรัยเรื่องกาลอวสาน” รายละเอียดเหล่านี้จึงมีนัยสำคัญ เรื่องนี้เสนอข้อคิดเดียวกันกับอุปมาเรื่อง “ผู้รับใช้ที่รับผิดชอบ” ที่รอนายกลับมา แต่กลายเป็นคนชั่วและขี้เมา เพราะ “นายมาช้า” (มธ 24:48-49)

    การรอคอย ... รอคอยใครบางคนที่มาช้า ... ในบทข้าพเจ้าเชื่อ เราประกาศว่าเรารอคอยพระเยซูเจ้า เพราะ “พระองค์จะเสด็จมาอีกด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ เพื่อพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย” ... แต่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าเราจะพบกับพระองค์เมื่อใด...

    พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่ามีความเสี่ยงที่เราจะเผลอหลับและลืมหน้าที่ของเรา ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรง ... การนอนหลับเป็นภาพลักษณ์ที่ชัดเจน เรากำลังดำเนินชีวิตคริสตชนเหมือนกับคนนอนหลับหรือเปล่า ... ขณะที่เรารอคอยพระเจ้าผู้ “เสด็จมาช้า” และดูเหมือนว่ายังอยู่ไกลมาก เราย่อมรู้สึกเหนื่อยและเบื่อ จากนั้น ความเฉื่อยชาและความง่วงก็ตามมา

“ครั้นเวลาเที่ยงคืน มีเสียงตะโกนบอกว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปรับกันเถิด’ ”

    “ครั้นเวลาเที่ยงคืน” ... พระเจ้าเสด็จมาใน “เวลากลางคืน” เสมอ (ลก 12:39-40; มธ 24:43-44; ลก 12:20; มก 13:35-36) “ท่านรู้อยู่แล้วว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเหมือนขโมยที่มาตอนกลางคืน” (1 ธส 5:2)

    “เสียงตะโกน” ... เสียงตะโกนทำลายความเงียบกลางดึก ... เสียงตะโกนนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปลุกทุกคนให้ตื่นตัว พระเจ้าเสด็จมาโดยไม่มีการประกาศล่วงหน้า “ในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย” (มธ 24:44) เหมือน “สายฟ้าแลบ” (มธ 24:27) ... นี่คือนาทีเดียวที่สำคัญสำหรับเราแต่ละคน นี่คือนาทีของพระเจ้า นาทีแห่ง “การพบกัน” ... สำหรับเราแต่ละคน นี่คือนาทีที่นิรันดรภาพตัดผ่าน และฉีกกาลเวลาจนขาดสั้น เหมือนกับเสียงตะโกนอย่างกะทันหัน ... ไม่มีใครรู้ว่านาทีนี้จะมาถึงวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้ ... จะมาถึงในอีกหนึ่งปี หรือสิบปี...

    พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่าเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับนาทีนั้นเสมอ เราได้ยินคำเตือนแล้ว

    ข้าพเจ้าพร้อมหรือยังในเวลานี้ ... เสียงตะโกนท่ามกลางความมืดนี้จะทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจหรือเปล่า...

“หญิงสาวทุกคนจึงตื่นขึ้น แต่งตะเกียง”

    ในคำบอกเล่าของพระเยซูเจ้า หญิงสาวทุกคนหลับไป ... ทั้งหญิงฉลาด และหญิงโง่ ... ไม่มีใครตื่นเฝ้าเลย ... ภาษาสัญลักษณ์นี้บอกเราว่า เราทุกคนไม่ซื่อสัตย์...

    พระเจ้าข้า พระองค์ทรงรู้จักเราดีจริง ๆ ... พระองค์ไม่ประหลาดใจที่เห็นความอ่อนแอของเรา ... แต่พระองค์ทรงคาดหมายอะไรจากเราหรือ

    พระองค์ทรงคาดหมายเพียงว่าให้ “ตะเกียงของเรายังส่องสว่าง”...

    พระเจ้าข้า พระองค์ไม่ได้ทรงขอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ทรงขอเพียงให้เราเฝ้าระวัง ให้เรามีตะเกียงเล็ก ๆ ที่ยังส่องแสงในขณะที่เรานอนหลับ ... นี่คือความตั้งใจของเจ้าสาวในเพลงซาโลมอน 5:3 “ดิฉันนอนหลับ แต่หัวใจของดิฉันตื่นอยู่”...

    พระเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้ดีว่าข้าพเจ้ายังรักพระองค์ไม่มากพอ ... ข้าพเจ้าอยากรักพระองค์ให้มากขึ้น ... บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าเผลอตัวหลับไป และไม่เฝ้ารอพระองค์ ... แต่พระเจ้าข้า โปรดทอดพระเนตรตะเกียงดวงน้อยของข้าพเจ้า และน้ำมันที่ข้าพเจ้าเตรียมไว้ด้วยเถิด...

“หญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า ‘ขอน้ำมันให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว’ หญิงฉลาดจึงตอบว่า ‘ไม่ได้ เพราะน้ำมันอาจไม่พอสำหรับเราและสำหรับพวกเธอด้วย จงไปหาคนขายแล้วซื้อเอาเองดีกว่า’ ขณะที่หญิงเหล่านั้นกำลังไปซื้อน้ำมัน เจ้าบ่าวก็มาถึง...”

    เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ คงมีบางคนที่รู้สึกสะดุดใจกับความเห็นแก่ตัวของ “หญิงฉลาด” เหล่านี้ ซึ่งเป็นการเข้าใจรูปแบบวรรณกรรมนี้ผิดไปอย่างสิ้นเชิง เราสังเกตบ่อย ๆ ว่ารายละเอียดบางอย่างไม่สำคัญ และไม่มีบทเรียนสอนใจ ในกรณีนี้ พระเยซูเจ้าไม่ได้หมายความว่าเราควรคิดถึงแต่ตัวเอง และไม่ยอมช่วยเหลือผู้ที่ร้องขอความช่วยเหลือจากเรา หรือเก็บทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดไว้เพื่อตัวเราเท่านั้น ... พระองค์ทรงย้ำให้เราปฏิบัติในทางตรงกันข้ามกับกรณีนี้ ในส่วนอื่น ๆ ของพระวรสาร...

    แต่พระเยซูเจ้าคงต้องมีบทเรียนสำคัญที่ทรงต้องการสอนเรา พระองค์ทรงเล่าเรื่องอย่างละเอียด และค่อย ๆ พัฒนาเรื่องจนทุกคนที่อ่านย่อมสังเกตเห็น ลองคิดดูเถิดว่าจะมีพ่อค้าน้ำมันคนใดนั่งรอลูกค้าอยู่ในร้านของตนในเวลาเที่ยงคืน และเมื่อหญิงที่ไม่เตรียมพร้อมได้ซื้อหาน้ำมันแล้ว เขาจะย้อนกลับมายังห้องงานแต่งงานอีกหรือ...

    ทั้งหมดนี้ต้องซ่อนความหมายบางอย่าง ... พระเยซูเจ้าทรงหมายถึงอะไร ... เราจงฟังตอนจบของเรื่องนี้กันเถิด...

“... หญิงสาวที่เตรียมพร้อมจึงเข้าไปในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด ในที่สุด พวกหญิงโง่ก็มาถึงพูดว่า ‘นายเจ้าขา เปิดรับพวกเราด้วย’ แต่เขาตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน’ ”

    “หญิงโง่” เหล่านี้ไม่พร้อม พวกเขายอมเหนื่อยเหมือนกับหญิงฉลาด – แต่ก็สายเกินไป พวกเขาสามารถจุดตะเกียงอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับหญิงฉลาด – แต่ก็สายเกินไป ... พวกเขามาถึงที่หน้าประตูห้องงานแต่งงานเหมือนหญิงฉลาด – แต่ก็สายเกินไป ... ความหมายที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการบอกเราก็คือ เราไม่ได้เป็นผู้เลือกเวลา...

    เจ้าบ่าวคนนี้ไม่เหมือนกับเจ้าบ่าวทั่วไป พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาเมื่อถึงกาลอวสาน และเขาเรียกพระองค์เหมือนกับเขาเรียกพระเจ้าว่า “นายเจ้าขา” ... คนที่กล่าวแก่เราว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า” นั้น มิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้” (มธ 7:21-23)...

“เพราะฉะนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วัน และเวลา”

    ประโยคที่น่ากลัวนี้เน้นย้ำว่าเสรีภาพของมนุษย์เรามีเดิมพันสูงอย่างไร ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ... พระคัมภีร์ใช้ภาษาที่บอกเราว่า “หญิงโง่” ถูกกันไม่ให้เข้าสู่ห้องงานแต่งงาน เพราะเหตุผลสำคัญคือ พวกนางไม่ให้พระเจ้าเข้าไปอยู่ในชีวิตของนาง พวกนางปฏิเสธพระองค์ ... คำพิพากษาของพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่านางได้รับผลจากพฤติกรรมของตนเอง ... ชาวฟาริสีในยุคของพระเยซูเจ้าต้องเข้าใจอุปมาเรื่องนี้เป็นอย่างดี...

    แต่บัดนี้ สิ่งสำคัญคือตัวเรา และตัวข้าพเจ้า...

    ข้าพเจ้าพร้อมแล้วหรือ ... ข้าพเจ้ากำลังตื่นเฝ้าระวังอยู่หรือเปล่า...