แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา
อพยพ 22:20-26; 1 เธสะโลนิกา 1:5-10; มัทธิว 22:34-40

บทรำพึงที่ 1
ความรักสามระดับ
ความรักมีอยู่สามระดับ คือ แก่นของความรัก ตรรกะของความรัก และความเขลาของความรัก

    ละครเพลงบรอดเวย์เรื่อง Fiddler on the Roof เป็นเรื่องราวของเทเวีย บิดาของครอบครัวชาวยิวที่ยากจนในประเทศรัสเซีย เทเวีย และโกลดี ภรรยาของเขามีบุตรสาวห้าคน

    บุตรสาวคนแรกรักกับช่างตัดเสื้อหนุ่ม ซึ่งทำให้เทเวีย และโกลดี เป็นทุกข์เป็นร้อน เพราะธรรมเนียมชาวยิวระบุว่าการแต่งงานของชาวยิวควรให้แม่สื่อเป็นผู้จัดการให้ หลังจากต่อสู้กับมโนธรรมของตน เทเวีย และโกลดี ก็ยินยอมให้บุตรสาวแต่งงานกับช่างตัดเสื้อ

    บุตรสาวคนที่สอง ชื่อโฮเดล ตกหลุมรักชายหนุ่มชื่อเปอร์ชิก สถานการณ์ยุ่งยากซับซ้อนเพราะเปอร์ชิกได้ละทิ้งความเชื่อของชาวยิวไปแล้ว หลังจากต่อสู้กับมโนธรรมของตน เทเวียยอมรับสถานการณ์ได้ แต่โกลดียอมรับไม่ได้

    เพื่อช่วยให้โกลดีเปลี่ยนความคิด เทเวียบอกภรรยาของเขาว่า “เปอร์ชิกเป็นคนดี เขาอาจจะบ้านิดหน่อย แต่ผมก็ชอบเขา ยิ่งกว่านั้น โฮเดลชอบเขา เธอรักเขา” หลังจากนั้น เขาก็ถามภรรยาของเขาว่า “โกลดี คุณรักผมไหม”

    โกลดีตอบคำถามว่า “ฉันรักคุณไหมหรือ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ฉันเก็บกวาดบ้านให้คุณ ทำอาหารให้คุณ และซักเสื้อผ้าให้คุณ ฉันรักคุณไหม”

    แต่เทเวียยังไม่พอใจกับคำตอบของโกลดี เขาถามเธออีกว่า “แต่โกลดี คุณรักผมหรือเปล่า” โกลดีตอบว่า “ฉันรักคุณไหมหรือ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันเดินเล่นกับคุณ ฉันพูดคุยกับคุณ ฉันยอมร่วมอดอยากกับคุณ นอนกับคุณ ฉันรักคุณไหม ถ้านั่นไม่ใช่ความรัก แล้วอะไรคือความรัก”

    คำสนทนาระหว่างโกลดี และเทเวีย เป็นการเกริ่นนำที่เหมาะสมสำหรับบทอ่านจากพระวรสารวันนี้ เพราะในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องความรัก เป็นความรักที่เราควรมีต่อพระเจ้าและต่อกันและกัน พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน สุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน ... ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”

    เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน สุดจิตใจ” พระองค์กำลังตรัสเป็นนัยว่าความรักมีหลายระดับ

    ความรักระดับแรกเป็นระดับต่ำสุด บางครั้งเราเรียกว่าแก่น (essence) ของความรัก และเป็นความรักประเภทที่โกลดีพูดถึงกับเทเวีย

    พูดง่าย ๆ ว่า ความรักระดับแรกก็คือการแบ่งปัน และความซื่อสัตย์ต่อกัน นี่คือแก่นของความรัก ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้ ความรักนั้นย่อมไม่ใช่รักแท้

    ความรักระดับที่สอง บางครั้งเรียกกันว่าตรรกะ (logic) ของความรัก เป็นความรักระดับสูงกว่า

    ในระดับนี้ คู่รักไม่พอใจแต่เพียงการแบ่งปัน และความซื่อสัตย์ต่อกัน คู่รักในระดับนี้ต้องการทำมากกว่านั้น คู่รักจะหาทางทำให้อีกฝ่ายหนึ่งประหลาดใจ และพึงพอใจ

    เราหมายความเช่นนี้ เมื่อพูดถึงตรรกะของความรัก นี่คือความรักที่ไม่พอใจเพียงการให้สิ่งเล็กน้อยที่สุด แต่ต้องการทำมากกว่าเสมอ

    ความรักระดับที่สามเรียกว่าความเขลา (folly) ของความรัก นี่คือความรักที่สมบูรณ์แบบที่สุด ในระดับนี้ คู่รักพร้อมจะทำสิ่งที่ผู้อื่นคิดว่าเป็นความบ้า ในระดับนี้ คู่รักจะทำสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจเข้าใจได้

    ขอให้ดู ดร. เอ็ด เทแนนท์ และจูน ภรรยาของเขา เป็นตัวอย่าง เขาทั้งสองอาศัยอยู่ในเมืองสเตอร์ลิง รัฐโคโลราโด เขาไม่มีบุตร เมื่อเขาพยายามรับบุตรบุญธรรม เขาก็พบว่ามีเด็กสุขภาพสมบูรณ์น้อยคนให้เลือก

    ทั้งสองจึงปรึกษากัน และตัดสินใจรับบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง ซึ่งหน่วยงานจัดหาบิดามารดาอุปถัมภ์จัดว่าอยู่ในประเภท “หาผู้อุปถัมภ์ไม่ได้” เด็กคนนี้เป็นง่อยขั้นรุนแรง และเดินไม่ได้

    ประสบการณ์ของครอบครัวเทแนนท์กับเด็กคนนี้ ทำให้เขารับอุปถัมภ์เด็กคนอื่น ๆ ที่ไม่สามารถหาพ่อแม่อุปถัมภ์ได้ บัดนี้ เขารับอุปถัมภ์เด็กประเภทนี้แล้วถึง 12 คน

    สิ่งที่ครอบครัวเทแนนท์ได้ทำไปนั้น บางคนมองว่าเป็น “ความบ้า” แต่สำหรับครอบครัวเทแนนท์ นี่คือการแสดงความรัก เป็นเพียงการตอบรับคำเชิญของพระเยซูเจ้าให้รักอย่างสุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดสติปัญญา

    ตัวอย่างที่ดีที่สุดของความรักระดับที่สามก็คือพระเยซูเจ้า นักบุญเปาโลกล่าวถึงความรักของพระเยซูเจ้าว่า “แม้ว่า (พระเยซูเจ้า) ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า ... แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ... ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน” (ฟป 2:6-8)

    สำหรับคนที่ไม่ได้รักอย่างสุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดสติปัญญา ความรักของพระเยซูเจ้าดูเหมือนเป็นความบ้า เป็นความเขลาโดยแท้
    ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่านี่คือความรักรูปแบบสูงส่งที่สุด พระเยซูเจ้าตรัสถึงความรักนี้ว่า “ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย” (ยน 15:13)

    มนุษย์ส่วนใหญ่รักกันในระดับที่หนึ่ง เราแบ่งปันสิ่งที่มีให้แก่กันและซื่อสัตย์ต่อกัน และมีบางเวลาในชีวิตที่เรารักในระดับที่สอง คือ เรายอมเสียสละเพื่อทำให้คนที่เรารักแปลกใจ และพอใจ

    และท้ายที่สุด มีบางช่วงเวลาในชีวิตของเราหลายคน ที่เรารักในระดับที่สาม เรารักอย่างที่ทำให้คนที่รักไม่เป็นคิดว่าเราเป็นบ้า

    ในบทอ่านจากพระวรสารประจำวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราพยายามให้มากขึ้นที่จะรักอย่างที่พระองค์ทรงรัก – มิใช่ในรูปแบบที่น้อยที่สุด แต่รักอย่างสมบูรณ์ครบครัน รักอย่างสุดจิตใจ รักสุดวิญญาณ และรักสุดสติปัญญา

    ความรักประเภทนี้เองที่สามารถเปลี่ยนแปลงไม่เพียงบุคคลที่เรารัก แต่ยังเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง และโลกรอบตัวเราได้ด้วย

บทรำพึงที่ 2
มัทธิว 22:34-40

    หนึ่งในข้อถกเถียงสำคัญในยุคปัจจุบัน คือ การเลือกระหว่าง “พระเจ้า หรือมนุษย์” และเป็นคำท้าทายที่ผู้มีความเชื่อ และพวกอเทวนิยมต่างก็โยนใส่กัน เป็นความจริงที่เราอยากจะเลือกอยู่ข้างพระเจ้า และละเลยที่จะเลือกอยู่ข้างมนุษย์ ... มนุษย์หลายคนแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยการสนับสนุนให้รับใช้มนุษย์ แต่ปฏิเสธพระเจ้า เพราะเขาถือว่าพระเจ้าเป็นอุปสรรคต่อการรับใช้มนุษยชาติของเขา...

    ข้อถกเถียงนี้ยังเป็นหนึ่งในปัญหาที่เราพบตลอดเวลาในชีวิตส่วนตัว เรามักยอมปล่อยตัวให้วุ่นวายอยู่กับวัตถุสิ่งของ จนกระทั่งเรามองว่าพระเจ้าเป็นคู่แข่งที่พยายามแย่งชิงความสนใจจากเรา และเรายอมสละเพียงมุมเล็ก ๆ ของหัวใจ และเวลาของเราให้พระองค์...

    นี่คือประเด็นร้อนในยุคสมัยของพระเยซูเจ้า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ ... เราควรรักพระเจ้า หรือรักมนุษย์ ... อะไรต้องเป็นศูนย์กลางของชีวิตเรา – ฌานนิยม หรือการเมือง ... ใครเป็นฝ่ายถูก ระหว่างคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่อุทิศช่วยตนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และคนที่นิยมชีวิตจิตที่เสแสร้งว่ากำลังหลบภัยอยู่ในพระเจ้า ... บางทีคำถามนี้อาจไม่ชัดเจนพอ ... พระเยซูเจ้าทรงตอบว่าอย่างไร...

เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน มีคนหนึ่งเป็นบัณฑิตทางกฎหมาย ได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์

    คริสตชนทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงเคยเผชิญกับสถานการณ์ทำนองนี้มาก่อนในเวลาใดเวลาหนึ่ง ... ในครอบครัว หรือระหว่างการสนทนา ขณะทำงาน ระหว่างการแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างนักศึกษา อาจมีใครถามท่านว่า “คุณเชื่ออะไร” ... ตามปกติ เราไม่ชอบถูกท้าทายเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อผู้ถามมีเจตนาไม่บริสุทธิ์

    พระเยซูเจ้าก็ไม่รอดพ้นจากกับดักประเภทนี้ อันที่จริง ปัญญาชนทั้งเมืองหลวงกำลังจับตามองพระองค์เพื่อจับผิดพระองค์ ทั้งกลุ่มการเมือง และกลุ่มศาสนากำลังผนึกกำลังต่อต้านพระองค์ ชาวยิวต้องจ่ายภาษีให้ซีซาร์หรือไม่ (มธ 22:15-22) ... เราต้องเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพหรือไม่ (มธ 22:23-30) ... การโจมตีอย่างมุ่งร้ายนี้ยังดำเนินต่อไป ... และบัดนี้ เมื่อชาวสะดูสีนิ่งอึ้ง ชาวฟาริสีบางคนก็รับไม้ต่อ และมอบหมายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนหนึ่งมาถามพระองค์...

“พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ”

    บรรดารับบีได้ระบุบทบัญญัติจากพระคัมภีร์ได้ถึง 613 ข้อ ในจำนวนนี้ 365 ข้อเป็น “ข้อห้าม” และ 248 ข้อเป็น “ข้อปฏิบัติ” ... เนื่องจากมีหน้าที่ และศาสนกิจมากมายเช่นนี้ ชาวยิวที่ซื่อสัตย์จึงคิดถึงพระเจ้าตลอดทั้งวัน ... แต่ก็มีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่พวกเขาจะถือตามธรรมเนียมปฏิบัติอย่างพิถีพิถันเกินควร ดังนั้น ชาวฟาริสี ผู้ต้องการปฏิบัติศาสนกิจอย่างซื่อสัตย์ จึงพยายามจัดลำดับความสำคัญของธรรมบัญญัติเหล่านี้...

    ข้าพเจ้าเองก็กำลังมองหาแก่นสารในหน้าที่ของข้าพเจ้าอยู่หรือเปล่า ข้าพเจ้าจัดลำดับว่าสิ่งใดสำคัญในอาชีพของข้าพเจ้าหรือเปล่า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ละเลยงานที่สำคัญ ... อะไรคือหลักการพื้นฐานของพฤติกรรมของข้าพเจ้า ทางเลือกของข้าพเจ้า...

    กล่าวกันว่า ทุกวันนี้กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในศาสนา อารยธรรม และคุณค่าชีวิต ... มีอะไรที่ยังหนักแน่นมั่นคง ... อะไรคือคุณค่าสำคัญในชีวิตของข้าพเจ้า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างฉาบฉวยเหล่านั้น...

พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านจะร้องรัก...”

    เราสรุปทั้งชีวิตและผลงานของพระเยซูเจ้าได้ด้วยข้อความนี้ ในข้อความนี้ พระองค์ทรงเปิดเผยความลับของชีวิตของพระองค์ให้เรารู้...

    บทบัญญัตินี้สั้นมากจนเราอาจมองผ่านไป ... ข้าพเจ้าต้องใช้เวลาพิจารณาชีวิตของข้าพเจ้าอาศัยแสงสว่างจากข้อความนี้ “ท่านจะต้องรัก” เช่น ข้าพเจ้าต้องพิจารณาว่าภายในสัปดาห์นี้ อะไรคือ “รักแท้” ในชีวิตของข้าพเจ้า...

    ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความรุนแรง ขอบพระคุณพระองค์ พระเจ้าข้า ที่ทรงทำให้เราเชื่อในความรัก!

    ในยุคที่มนุษย์ไม่สนใจใยดีกัน ขอบพระคุณพระองค์ พระเจ้าข้า ที่ทรงเชิญชวนให้เราใส่ใจ...

    ในยุคที่คนมากมายกำลังสิ้นหวัง ขอบพระคุณพระองค์ พระเจ้าข้า ที่ทรงเตือนเราว่าอนาคตขึ้นอยู่กับความอ่อนโยน และความรัก...

    ก่อนที่เราจะท่องข้อความที่เราจำได้ขึ้นใจ ขอให้เราถามตนเองว่าคริสตชนทั่วไปควรตอบคำถามที่เรียบง่ายนี้อย่างไร “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในบรรดาบทบัญญัติของพระคริสตเจ้า” ... ข้าพเจ้าจะตอบอย่างไรจากความทรงจำ...

    พวกเราส่วนใหญ่คงตอบว่า “จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” ... แต่พระเยซูเจ้าทรงสอนเช่นนี้จริงหรือ ... สำหรับพระองค์บทบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด...

“ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอก และเป็นบทบัญญัติแรก”

    พระเยซูเจ้าทรงตอบโดยอ้างข้อความจาก Shema Israel ซึ่งเป็นบทภาวนาที่ชาวยิวสวดภาวนาทุกวัน (ฉธบ 6:4-7) ... ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงตอบโดยไม่ต้องคิด ... ถ้อยคำเหล่านี้เป็นข้อสรุปของการดำเนินชีวิตของพระองค์ในแต่ละวัน พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลที่ “หันไปทางพระเจ้า” เสมอ ทรงเป็นบุคคลที่ไม่คิดถึงพระองค์เอง และให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิตของพระองค์อย่างแท้จริง – พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า...

    เมื่อพระองค์เสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์ พระเยซูเจ้าทรงรับเอาอุปนิสัย ความคิด และปฏิกิริยาของมนุษย์ไว้ในพระองค์เอง คือ ทรงรับเอาความสัมพันธ์ ซึ่งทำให้พระบุตรหันไปหาพระบิดาในพระตรีเอกภาพ ... ถูกแล้ว ความรักที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของพระเยซูเจ้าคือพระเจ้า! เราไม่ควรบิดเบือนความคิดของพระเยซูเจ้าด้วยการลดฐานะของความรักนี้ให้กลายเป็นเพียง “ความรักฉันพี่น้อง” หรือเป็นเพียงความรักต่อเพื่อนมนุษย์...

    พระองค์ทรงรับใช้พระเจ้าก่อนอื่นทั้งหมด ... พระองค์ทรงรักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด...

    เราเห็นความหนักแน่นของประโยคนี้ได้จากคำว่า “สุด” ที่ย้ำสามครั้ง “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน” ... จิตใจ ... วิญญาณ ... สติปัญญา ... สามคำนี้บอกเราว่าเราต้องรักพระเจ้าด้วยตัวตนทั้งครบของเรา...

    ข้าพเจ้ารักพระเจ้าอย่างนี้หรือเปล่า...

    หรือว่าข้าพเจ้ารักพระองค์เพียงด้วยเสี้ยวเล็ก ๆ ของชีวิต และของเวลาของข้าพเจ้า...

    ข้าพเจ้ารักพระเจ้าในการปฏิบัติงานในอาชีพของข้าพเจ้าหรือเปล่า ... ในความสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัว ... ในเวลาพักผ่อน ... ในหนังสือ และนิตยสารที่ข้าพเจ้าอ่าน เป็นต้น...

“บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน...”
    แม้ว่าบัณฑิตทางกฎหมายผู้นี้ถามถึง “บทบัญญัติเอก” แต่พระเยซูเจ้าทรงเสริมด้วยบทบัญญัติข้อที่สอง ซึ่งทรงอ้างจากพระคัมภีร์เช่นกัน (ลนต 19:18)...

    ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าเราไม่สามารถลบข้อหนึ่งข้อใดออกไปได้ เหมือนกับที่บางคนอยากจะทำ มันง่ายมากที่เราจะยกเว้นให้ตนเองว่า “รักพระเจ้าเท่านั้นก็พอแล้ว” หรือ “รักเพื่อนมนุษย์เท่านั้นก็พอแล้ว” ... สำหรับพระเยซูเจ้า ไม่ได้มีบทบัญญัติเอกเพียงหนึ่งข้อ แต่มีสองข้อ .. และเมื่อเขาถามถึงหนึ่งข้อ พระองค์ประทาน “ข้อที่สอง” ให้ด้วย โดยทรงเสริมว่าเป็นบทบัญญัติที่เหมือนกับบทบัญญัติแรก...

    เห็นได้ว่าพระเยซูเจ้าไม่เพียงจัดลำดับความสำคัญ แต่ทรงเชื่อมโยงบทบัญญัติสองข้อนี้ด้วย...

“ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”

    เราจึงเห็นได้ว่าเราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะรับใช้พระเจ้าหรือเพื่อนมนุษย์ จะเลือกชีวิตจิต หรือการเมือง จะเลือกการภาวนา หรือภราดรภาพ...

    ไม้กางเขนที่ปักลงบนเนินเขากลโกธา ประกอบด้วยไม้สองท่อน ท่อนหนึ่งเป็นแนวตั้งที่ยื่นขึ้นไปสู่สวรรค์ และอีกท่อนหนึ่งเป็นแนวราบ คือโอบมนุษย์ทุกคน ... ในการถวายบูชาสูงสุดของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงแสดงออกถึงความรักของพระองค์ต่อพระบิดา และความรักต่อพี่น้องของพระองค์ ... นี่คือความรักหนึ่งเดียวกัน ที่แผ่ออกไปสองทิศทาง...

    ทฤษฏีที่สนับสนุนให้รักเพื่อนมนุษย์โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับพระเจ้า เป็นคำสั่งสอนที่ไม่มีอะไรเหมือนกับความคิดของพระเยซูเจ้าเลย...

    และในทำนองเดียวกับทฤษฏีที่สนับสนุนให้รักแต่พระเจ้า โดยไม่สนใจใยดีเพื่อนมนุษย์ ก็ขัดต่อพระวรสารโดยสิ้นเชิง...

    ศิษย์แท้ของพระเยซูเจ้าได้รับบทบัญญัติสองข้อจากพระองค์ กล่าวคือ ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นความรักที่ให้เปล่า และมอบให้แก่ทุกคน ด้วยการสละเวลาเพื่อรับใช้พระเจ้าโดยไม่หวังผลตอบแทน ... และความรักต่อพระเจ้า ซึ่งพิสูจน์ด้วยการพบปะและรับใช้เพื่อนมนุษย์ ... “ผู้ที่ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้” (1 ยน 4:20)…

“ธรรมบัญญัติ และคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้”

    นี่คือความรักสองรูปแบบที่คล้ายกัน แต่ไม่มีวันแยกออกจากกันได้...

    ความรักสองรูปแบบนี้ไม่อาจแทนที่กันได้ เพราะจำเป็นทั้งสองรูปแบบ...

    พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่า มนุษย์ที่สมบูรณ์ย่อมสนใจทั้งพระเจ้า และเพื่อนมนุษย์ เขาต้องยืนหยัดเคียงข้างพระเจ้า และมนุษย์ – รับใช้ทั้งพระเจ้า และเพื่อนมนุษย์...

    นี่คือสาระของธรรมบัญญัติ และคำสอนของบรรดาประกาศก

    ดังนั้น หมายความว่าพระเยซูเจ้าทรงขอให้เราไม่ต้องสนใจบทบัญญัติข้ออื่น ๆ หรือ ... พระเยซูเจ้าตรัสว่าพระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อลบล้างสิ่งใด ... แต่บทบัญญัติสองข้อนี้ ... คือ จงรักพระเจ้า และรักเพื่อนมนุษย์ – เป็นพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน และเป็นแรงจูงใจของบทบัญญัติอื่นทุกข้อ...

    นักบุญออกัสตินบันทึกว่า “ขอให้รักเถิด และจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ” ... ประโยคนี้ไม่สนับสนุนให้เราปล่อยตัวปล่อยใจด้วยความเห็นแก่ตัว แต่เตือนเราว่าความรักคือข้อเรียกร้องที่ปราศจากขอบเขต ซึ่งเป็นมากกว่าข้อปฏิบัติ และข้อห้าม ... เราไม่มีวันรักได้มากพอ...

    สำหรับบางคน การรับใช้เพื่อนมนุษย์ทำได้ง่ายกว่า ในกรณีนี้ ให้คนเหล่านี้พยายามรับใช้พระเจ้าเถิด เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่าสำหรับเขา...

    สำหรับบางคน การรับใช้พระเจ้าทำได้ง่ายกว่า ดังนั้น ขอให้คนเหล่านี้พยายามรับใช้เพื่อนมนุษย์เถิด เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่าสำหรับเขา...

    ความรักสองรูปแบบนี้นำพระเยซูเจ้าไปสู่ที่ใด...