แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

พระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม

ข่าวดี    ยน 18:1-11
(1)พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ที่นั่นมีสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปพร้อมกับบรรดาศิษย์  (2)ยูดาสผู้ทรยศรู้จักสถานที่นั้นด้วย เพราะพระองค์เคยทรงพบกับบรรดาศิษย์ที่นั่นบ่อย ๆ  (3)ยูดาสนำกองทหารและยามรักษาพระวิหารที่บรรดาหัวหน้าสมณะ และชาวฟาริสีจัดหาให้ มาที่นั่น ถือตะเกียง ไต้ และอาวุธไปด้วย  (4)พระเยซูเจ้าทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงเสด็จออกไปตรัสถามเขาเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร”  (5)เขาตอบว่า “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็น” ยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับพวกเขาด้วย  (6)แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เราเป็น” เขาเหล่านั้นก็ถอยหลัง ล้มลงกับพื้นดิน  (7)พระองค์ตรัสถามอีกว่า “ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร” เขาตอบว่า “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ”  (8)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่า เราเป็น ถ้าท่านเสาะหาเรา ก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไป”  (9)ดังนี้ พระวาจาที่พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้จึงเป็นจริงว่า บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ทำให้ผู้ใดพินาศเลย”  (10)ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชักดาบออกมา ฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะ ถูกใบหูข้างขวาขาด ผู้รับใช้คนนั้นชื่อมัลคัส  (11)แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรว่า “เก็บดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มจากถ้วยที่พระบิดาประทานให้เราหรือ”


    หลังอาหารค่ำมื้อสุดท้าย พระเยซูเจ้าทรงสนทนาและอธิษฐานภาวนาร่วมกับบรรดาศิษย์ ต่อจากนั้นทรงพาพวกเขาลงมาจากห้องชั้นบนที่ใช้จัดงานเลี้ยงปัสกา ข้ามห้วยขิดโรน มุ่งหน้าสู่สวนเกทเสมนี
    ประมาณ 30 ปีหลังสิ้นพระชนม์ ได้มีการสำรวจจำนวนลูกแกะที่ถูกฆ่าถวายเป็นเครื่องบูชาในพระวิหารระหว่างปัสกาแต่ละปี พบว่ามีจำนวนมากถึง 256,000 ตัว  เลือดของลูกแกะที่พรมบนพระแท่นจะไหลตามรางลงมาสู่ห้วยขิดโรน
    ขณะเสด็จข้ามห้วยขิดโรนที่แดงฉานด้วยเลือดลูกแกะที่ถูกฆ่าเป็นเครื่องบูชา พระองค์คงอดคิดถึงการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาแทนลูกแกะเหล่านั้นไม่ได้เป็นแน่
    จากห้วยขิดโรน ทุกคนเดินทางมาถึงภูเขามะกอก  ที่เชิงเขานี้เองมีสวนเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อเกทเสมนี ซึ่งแปลว่า “หีบน้ำมัน” เพราะเป็นที่ตั้งของเครื่องแยกน้ำมันจากมะกอกที่เจริญงอกงามอยู่บนภูเขาแห่งนี้
    ชาวเยรูซาเล็มผู้มีฐานะนิยมมีสวนส่วนตัวบนภูเขามะกอก เพราะการมีสวนส่วนตัวในกรุงเยรูซาเล็มซึ่งมีขนาดเล็กสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูงมาก  อีกทั้งยังมีข้อห้ามทางศาสนามิให้ใส่ปุ๋ยบนผืนดินของนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
    คงมีชาวเมืองผู้มีอันจะกินและศรัทธาในพระองค์มอบกุญแจและอนุญาตให้พระองค์ใช้สวนแห่งนี้เพื่อพักผ่อน  ยูดาสเองก็รู้จักสวนแห่งนี้
    น่าสังเกตว่าหัวหน้าสมณะและพวกฟารีสีส่ง “กองทหารและยามรักษาพระวิหาร” (ยน 18:3) มาเพื่อจับกุมพระองค์ !
    คำกรีกที่ใช้เพื่อหมายถึงกองทหารคือ speira (สเปยรา) ปกติประกอบด้วยทหารโรมัน 600 นาย  แต่ถ้าเป็นกองทหารต่างชาติช่วยรบจะประกอบด้วยทหารม้า 240 นายและทหารราบอีก 760 นายรวมเป็น 1,000 นาย  นาน ๆ ทีจึงจะพบว่าชาวกรีกใช้คำ speira เพื่อหมายถึงกองทหารเกียรติยศซึ่งมีอัตรากำลัง 200 นาย
    แม้จะเข้าใจคำ speira ว่าเป็นกองทหารเกียรติยศก็ยังมีกำลังพลมากถึง 200 นาย โดยยังไม่นับรวมบรรดายามรักษาพระวิหาร
    จริงอยู่ ช่วงเทศกาลปัสกาจะมีกองทหารโรมันมาประจำการมากเป็นพิเศษที่ป้อมอันโตเนียในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย จึงไม่มีปัญหาขาดแคลนกำลังพล  แต่ทำไมพวกเขาต้องส่งกองกำลังมากมายราวกับกองทัพเพื่อมาจับกุมพระเยซูเจ้าผู้ปราศจากอาวุธเพียงคนเดียว ?

    เหตุการณ์ในสวนเกทเสมนี แสดงให้เราเห็น “ธาตุแท้” ของพระเยซูเจ้าหลายประการด้วยกัน
    1.    ความกล้าหาญ  ช่วงปัสกาเป็นเวลาที่พระจันทร์เต็มดวง กลางคืนจะสว่างเกือบเหมือนกลางวัน  แต่ศัตรูของพระองค์มาพร้อมกับตะเกียงและไต้ ไม่ใช่เพื่อส่องทาง แต่เพื่อค้นหาพระเยซูเจ้าซึ่งพวกเขาคาดว่าคงซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้ ถ้ำ หรือรอยแยกตามภูเขา
        แต่ผิดคาด แทนที่จะหลบซ่อน พระองค์กลับก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับตรัสถามพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร” (ยน 18:4) และเมื่อพวกเขาตอบว่า “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ”  พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเอง” (ยน 18:5)
        นี่คือความกล้าหาญสุดยอดของคน ๆ หนึ่งที่พร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง !
    2.    ฤทธิ์อำนาจ  ฝ่ายหนึ่งมีคนเป็นร้อยพร้อมอาวุธครบมือ  อีกฝ่ายหนึ่งมีเพียงคนเดียวโดดเดี่ยว แถมยังไร้อาวุธ
        ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากัน “เขาเหล่านั้นก็ถอยหลัง ล้มลงกับพื้นดิน” (ยน 18:6)
        นี่คือฤทธิ์อำนาจที่ทำให้พระองค์ผู้เดียวแข็งแกร่งกว่าศัตรูนับร้อย !
    3.    ความสมัครใจ  เป็นพระองค์เองที่ทรงเลือกและสมัครใจสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพราะอาศัยฤทธิ์อำนาจที่ทำให้บรรดาศัตรูของพระองค์ล้มลงกับพื้นดิน พระองค์จะฝ่าวงล้อมหนีไปก็ได้
        นอกจากไม่หนีแล้ว พระองค์ยังทรงช่วยศัตรูจับตัวพระองค์เองเสียอีกเมื่อทรงสั่งเปโตรให้เก็บดาบใส่ฝัก
    4.    ความรัก  พระองค์ไม่ทรงคิดถึงชีวิตของพระองค์เองเลย แต่ทรงรัก ห่วงใย และปกป้องบรรดาศิษย์ของพระองค์เสมอ
        พระองค์ตรัสว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่า เราเอง ถ้าท่านเสาะหาเรา ก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไป” (ยน 18:8)
        ความรักที่ปกป้องของพระองค์ปกคลุมบรรดาศิษย์จนถึงวาระสุดท้ายในสวนเกทเสมนี !
    5.    ความนบนอบ  พระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่ดื่มจากถ้วยที่พระบิดาประทานให้เราหรือ” (ยน 18:11)
        “ถ้วย” คือพระประสงค์ของพระบิดา  พระองค์ทรงนบนอบและซื่อสัตย์ต่อพระบิดาจนกระทั่งยอมรับความตายอย่างอดสูบนไม้กางเขน

    จากเหตุการณ์ในสวนเกทเสมนี เราจะละเว้นไม่พูดถึงเปโตรไม่ได้เป็นอันขาด
    ท่านเป็นคนเดียว และเป็นคนเดียวจริง ๆ ที่ชักดาบสู้กับคนนับร้อยเพื่อปกป้องเจ้านายสุดที่รักของท่าน 
ท่านพร้อมจะพลีชีพเพื่อพระเยซูเจ้า
    แม้ต่อมาท่านจะปฏิเสธพระองค์ แต่เราจะลืมความกล้าหาญขั้นวีรกรรมของท่านในครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด !