วันอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

ข่าวดี    มัทธิว 1:18-24
(18)เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นดังนี้ พระนางมารีย์ พระมารดาของพระองค์หมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะครองชีวิตร่วมกัน  ปรากฏว่าพระนางตั้งครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า  (19)โยเซฟคู่หมั้นของพระนางเป็นผู้ชอบธรรมไม่ต้องการฟ้องหย่าพระนางอย่างเปิดเผย จึงคิดถอนหมั้นอย่างเงียบ ๆ  (20)ขณะที่โยเซฟกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาเข้าฝัน กล่าวว่า “โยเซฟ โอรสกษัตริย์ดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะเด็กที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นมาจากพระจิตเจ้า (21) นางจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะเขาจะช่วยประชากรของเขาให้รอดพ้นจากบาป”  (22)เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสผ่านประกาศกจะเป็นความจริงว่า (23)หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชายซึ่งจะได้รับนามว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา” (24) เมื่อโยเซฟตื่นขึ้น เขาก็ทำตามที่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ คือรับภรรยามาอยู่ด้วย


    ความสัมพันธ์ระหว่างโยเซฟและพระนางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้า คงทำให้เรางงไม่น้อย  เริ่มด้วยโยเซฟหมั้นกับพระนาง (มธ 1:18) ต่อมาคิดจะฟ้องหย่า (มธ 1:19) แล้วลงเอยด้วยการเรียกและรับพระนางเป็นภรรยา (มธ 1:20,24)
    แต่ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับชาวยิว เพราะกระบวนการแต่งงานของชาวยิวมี 3 ขั้นตอนด้วยกัน กล่าวคือ
    1.    การหมายหมั้น พ่อแม่หรือผู้มีอาชีพเป็นแม่สื่อทำการหมายมั่นชายหญิงให้แก่กันและกันตั้งแต่ทั้งคู่ยังเป็นเด็กและไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน ด้วยเหตุผลว่าการแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญและจริงจังเกินกว่าจะปล่อยให้หัวใจเป็นผู้กำหนด จำเป็นต้องอาศัยพ่อแม่หรือผู้มีประสบการณ์จัดให้
        เมื่อถึงวัยอันควร หากฝ่ายหญิงไม่เต็มใจก้าวไปสู่ขั้นที่สอง จะยกเลิกการหมายหมั้นที่พ่อแม่หรือแม่สื่อจัดให้ก็ได้

    2.    การหมั้น เป็นการรับรองการหมายหมั้นและก่อให้เกิดพันธะผูกพันซึ่งจะยกเลิกได้ก็โดยการหย่าร้างเท่านั้น  หลังการหมั้นทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้วเพียงแต่ยังไม่มีสิทธิมีเพศสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา  หากสามีเสียชีวิตก่อนการสมรส ภรรยาจะถูกเรียกว่า “หม้ายพรหมจารี”
        ความสัมพันธ์ระหว่างโยเซฟและพระนางมารีย์อยู่ในขั้นตอนที่สองนี้
    3.    การสมรส ตามความหมายที่เราเข้าใจ เกิดขึ้นหลังการหมั้นประมาณ 1 ปี
    ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้สมรสและครองชีวิตร่วมกัน “ปรากฏว่าพระนางตั้งครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า” (มธ 1:18)
โยเซฟจึงคิดจะถอนหมั้นอย่างเงียบ ๆ  แต่ทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาเข้าฝันท่าน กล่าวว่า “โยเซฟ โอรสกษัตริย์ดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะเด็กที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นมาจากพระจิตเจ้า  นางจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู” (มธ 1:20-21)
    “เยซู” เป็นชื่อกรีกของคำฮีบรู “โยชูวา” (Joshua) ซึ่งแปลว่า “พระเยโฮวาห์คือผู้ช่วยให้รอด”
    เท่ากับว่า บุตรนั้นประสูติมามิใช่เพื่อพระองค์เอง แต่เพื่อช่วยเราทุกคนให้รอด และที่สำคัญ บุตรนั้นปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า !!
    สิ่งที่ “โยเซฟและชาวยิว” เข้าใจเกี่ยวกับ “พระจิตเจ้า” คือ
    1.    พระจิตคือผู้นำความจริงของพระเจ้ามาสู่มนุษย์  หลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา พระจิตคือผู้สอนบรรดาประกาศกให้พูดความจริงของพระเจ้า 
        ในเมื่อพระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า พระองค์จึงเป็นผู้นำความจริงของพระเจ้ามาสู่มนุษย์  พระองค์คือผู้เดียวที่สามารถบอกเราได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นเช่นใด และทรงเป็นผู้เดียวที่กล้าตรัสว่า “ใครที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดา” (ยน 14:9)
        ในพระองค์ เราสามารถสัมผัสและรู้จักความรัก ความเมตตาสงสาร และความบริสุทธิ์ผุดผ่องขององค์พระผู้เป็นเจ้า
        ในพระองค์อีกเช่นกันที่เรามองเห็นศักยภาพของมนุษย์ มองเห็นความดี และความสามารถในการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าจนถึงที่สุดบนไม้กางเขน
        ในพระองค์เท่านั้นที่เราสามารถรู้จักพระเจ้าและรู้จักตนเองอย่างแท้จริง !!
    2.    พระจิตคือผู้ทำให้มนุษย์เข้าใจความจริง พระองค์ไม่เพียงนำความจริงมาสู่มนุษย์แต่ยังทรงช่วยมนุษย์ให้มองเห็นและเข้าใจความจริงนั้นด้วย
        เดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าจึงประสูติมาเพื่อเปิดดวงตาและจิตใจของเราให้เข้าใจความจริงด้วยเช่นกัน
     ก่อนหน้านี้มนุษย์โง่เขลาและหลงทาง ซ้ำร้ายดวงตาและจิตใจยังบอดมืดเพราะบาปและตัณหาของตนเอง  แต่บัดนี้พระองค์สามารถเปิดดวงตาและจิตใจของเราให้มองเห็นและเข้าใจความจริง
        ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงหากเรายอมให้พระองค์เสด็จเข้ามาในจิตใจของเรา เปิดดวงตาของเรา และสอนเราให้เข้าใจความหมายของสิ่งต่าง ๆ
    3.    พระจิตคือผู้มีส่วนในการสร้างโลก ตั้งแต่ปฐมกาลพระจิตของพระเจ้าพัดอยู่เหนือน้ำและทำให้แผ่นดินที่ไม่มีระเบียบไร้รูปร่างกลายเป็นโลก (เทียบ ปฐก 1:2) และ “เมื่อพระองค์ทรงส่งพระจิตของพระองค์ลงมา สิ่งมีชีวิตก็ถูกสร้างขึ้น” (สดด 104:30)
        ในเมื่อพระจิตคือผู้สร้างและประทานชีวิต พระเยซูเจ้าย่อมประสูติมาพร้อมกับฤทธิ์อำนาจที่เคยจัดระเบียบโลก เพื่อทำให้ชีวิตที่สับสนวุ่นวายของเรามีระเบียบ และทำให้ผู้อ่อนแอสิ้นหวังมีชีวิต
        เราจะมีชีวิตชีวาจริง ๆ ก็ต่อเมื่อทูลเชิญพระองค์เข้ามาในชีวิตของเราเท่านั้น !
    4.    พระจิตคือผู้ประทานชีวิตใหม่  ในคำทำนายเรื่องกระดูกแห้ง ประกาศกเอเสเคียลกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้แก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้ลมหายใจเข้าไปในเจ้าและเจ้าจะมีชีวิต” (อสค 37:5)
     “ลม” หรือ “ลมหายใจ” ในภาษาฮีบรูและกรีกมีความหมายเดียวกันกับ “จิต” (Spirit)
    แปลว่าพระจิตเจ้าไม่เพียงมีส่วนในการสร้างโลกตั้งแต่เริ่มแรกเท่านั้น แต่ยังทรงมีส่วนในการสร้างใหม่และประทานชีวิตใหม่ (ให้แก่กระดูกแห้ง) อีกด้วย
        เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้าทรงประสูติมาพร้อมกับอำนาจที่จะประทานชีวิตใหม่แก่วิญญาณที่ตายไปเพราะบาป  พระองค์ทรงทำให้ความคิดและความปรารถนาที่จะทำดีของเราซึ่งตายไปแล้ว กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
        เมื่อเราท้อแท้และสิ้นหวัง พระองค์สามารถบันดาลชีวิตใหม่ให้แก่เรา...
        ขอเพียงเราเชื้อเชิญและต้อนรับกุมารน้อยผู้มีนามว่า “อิมมานูเอล” เข้ามาสถิตในจิตใจของเรา !!!