แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

chaiya1

อาทิตย์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา

ข่าวดี    ยน 6:24-35
    เวลานั้น 24เมื่อประชาชนเห็นว่าทั้งพระเยซูเจ้า และบรรดาศิษย์ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ก็ลงเรือ มุ่งไปที่เมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซูเจ้า 25เมื่อพบพระองค์ที่ฝั่งตรงข้าม จึงทูลถามว่า “พระอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไร”  26พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม 27อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้
อาหารนี้บุตรแห่งมนุษย์จะประทานให้ท่าน เพราะพระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรแห่งมนุษย์ไว้แล้ว”
28เขาเหล่านั้นจึงทูลว่า “พวกเราจะต้องทำอะไรเพื่อให้กิจการของพระเจ้าสำเร็จ”  29พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “กิจการของพระเจ้าก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”  30ประชาชนจึงทูลถามว่า “ท่านกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ใดเพื่อพวกเราจะได้เห็น และจะได้เชื่อในท่าน ท่านทำอะไรเล่า  31บรรพบุรุษของเราได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดาร ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ประทานขนมปังจากสวรรค์ให้เขากิน”
32พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้ขนมปังจากสวรรค์แก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานขนมปังแท้จากสวรรค์ให้ท่าน  33เพราะขนมปังของพระเจ้า คือขนมปังซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก”  34ประชาชนจึงทูลว่า “นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด”
35พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย

******************************

1. อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป
หลังจากทวีขนมปังเลี้ยงคนห้าพันคนแล้ว พระเยซูเจ้าทรงส่งบรรดาศิษย์ลงเรือข้ามฟากกลับไปเมืองคาเปอรนาอุมก่อน ส่วนพระองค์เสด็จไปบนภูเขาตามลำพัง  ประชาชนเห็นว่าพระองค์มิได้เสด็จลงเรือไปกับบรรดาศิษย์จึงพากันเฝ้ารอ แต่เมื่อตระหนักว่าพระองค์ไม่กลับมาแน่แล้วจึงพากันลงเรือที่มาจากเมืองทีเบเรียสเดินทางกลับมาที่คาเปอรนาอุม
เมื่อพบพระองค์ที่คาเปอรนาอุม พวกเขาทูลถามว่า “พระอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไร” แต่พระองค์ไม่ตรัสตอบด้วยทรงเล็งเห็นว่าชีวิตนั้นสั้นและมีค่าเกินกว่าจะมาสนใจเรื่องหยุมหยิมอย่างเช่นการเดินทาง  ตรงกันข้ามพระองค์ตรงเข้าสู่ประเด็นสำคัญทันที “ท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม” (ยน 6:26)

ความหมายของพระองค์ก็คือ “พวกท่านได้เห็นอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงทวีขนมปังเลี้ยงฝูงชนจำนวนมาก แต่แทนที่ความคิดของพวกท่านจะหันไปหาพระองค์ผู้ทรงกระทำอัศจรรย์ พวกท่านกลับมัวแต่คิดถึงขนมปัง  พวกท่านสนใจแต่เรื่องปากเรื่องท้อง แต่ไม่สนใจเรื่องของวิญญาณเลย”
นักบุญยอห์น คริสโซสโตม จึงกล่าวว่า “มนุษย์ถูกตรึงติดกับสิ่งของของโลกนี้” เพราะสายตาของเขาไม่อาจมองข้ามกำแพงของโลกนี้ไกลออกไปสู่โลกแห่งชีวิตนิรันดร ซึ่งประกาศกอิสยาห์ก็เคยตั้งคำถามชวนให้คิดมานานแล้วว่า “ทำไมท่านต้องเสียเงินสำหรับสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร และใช้ค่าจ้างแรงงานเพื่อซื้อสิ่งที่ไม่ทำให้อิ่ม” (อสย 55:2)
ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตรัสสั่งเพียงประโยคเดียวว่า “อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้” (ยน 6:27)
สำหรับพระองค์ ความหิวของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ความหิวฝ่ายกาย และความหิวฝ่ายจิตใจ  ความหิวฝ่ายกายนั้นระงับได้ด้วยอาหารก็จริง แต่ความหิวฝ่ายจิตใจนั้นไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะระงับหรือทำให้พึงพอใจได้
การที่ผู้คนชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สุดหรู ขับรถยนต์ราคาแพง ใช้สินค้าทันสมัยหรือบางคนถึงกับล้ำสมัยไปเลยนั้น ทั้งหมดนี้เกิดจากสาเหตุประการเดียวคือพวกเขายังไม่พบความพึงพอใจในชีวิตของตนเอง ยังไม่มีสิ่งใดมาดับความหิวกระหายลึกๆ ในจิตใจของพวกเขาได้ พวกเขาจึงต้องแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ไปเรื่อยๆ แม้จะต้องใช้เงินมากมายมหาศาลเพียงใดก็ตาม  พวกเขาร่ำรวยมากก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็หิวกระหายมากจนน่าตกใจเช่นกัน
นอกจากความหิวกระหายที่กล่าวมาแล้ว ยังมีความหิวกระหายอย่างอื่นซึ่งมีแต่พระองค์เท่านั้นที่สามารถดับความหิวกระหายนั้นได้
หากเราหิวกระหายความจริง พระองค์เป็นความจริง พระองค์คือผู้นำความจริงของพระเจ้ามาสู่เรามนุษย์
หากเราหิวกระหายชีวิต พระองค์เป็นชีวิต พระองค์มีชีวิตของพระเจ้าอย่างอุดมสมบูรณ์
หากเราหิวกระหายความรัก พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก
พระองค์คือผู้เดียวที่สามารถดับความหิวกระหายในจิตใจและวิญญาณของเรามนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ และเราแน่ใจในเรื่องนี้ได้เพราะเป็นพระเจ้าเองที่ทรงลงนามประทับตรารับประกันพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์ (ยน 6:27) !

2. กิจการของพระเจ้า
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสสั่งพวกเขาให้ “หาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้” พวกเขานึกถึง “กิจการของพระเจ้า” หรือ “กิจการดี” ทันที
พวกเขาถือว่ามนุษย์แบ่งออกเป็น 3 จำพวก พวกแรกเป็นคนดี พวกที่สองเป็นคนเลว และพวกที่สามอยู่ตรงกลาง  พวกที่สามนี้หากทำ “กิจการดี” อีกเพียงครั้งเดียวก็จะเลื่อนไปเป็นพวกแรก  พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พวกเราจะต้องทำอะไรเพื่อให้กิจการของพระเจ้าสำเร็จ”
แทนที่จะได้รายการสิ่งที่ต้องทำเป็นหางว่าว พระองค์กลับตรัสตอบเพียงว่า “กิจการของพระเจ้าก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา” (ยน 6:29)
แปลว่าสิ่งเดียวที่ต้องทำคือ “เชื่อ” พระเยซูเจ้า !
เราต้อง “เชื่อ” พระองค์เพราะพระองค์ทรงเปิดเผยให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงเป็นบิดาของเรา พระองค์ทรงรักและไม่ทรงปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากให้อภัยแก่เรา หากเรา “เชื่อ” พระองค์ ความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้าย่อมเกิดขึ้น พระองค์มิใช่พระเจ้าที่อยู่ห่างไกลหรือเป็นศัตรูที่น่ากลัวของเราอีกต่อไป แต่ทรงเป็น “บิดา” ของเราและเราเป็น “บุตร” ของพระองค์ ดังนั้นเราจึงมอบความวางใจทั้งหมดไว้ในพระองค์และพร้อมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์ด้วยความรัก
ความสัมพันธ์ใหม่นี้ยังนำไปสู่การดำเนินชีวิตแบบใหม่ซึ่งสอดคล้องกับความรู้ที่พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยแก่เรา
1.     พระเจ้าทรงเป็นความรัก เราจึงต้องรักและรับใช้เพื่อนมนุษย์ให้สอดคล้องกับที่เรารักและรับใช้พระเจ้า อีกทั้งต้องให้อภัยเพื่อนมนุษย์เหมือนที่พระองค์ทรงให้อภัยเรา
2.    พระเจ้าทรงศักดิ์สิทธิ์ เราจึงต้องดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ให้สอดคล้องกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
3.    พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยปรีชาญาณ เราจึงต้องขึ้นตรงต่อพระองค์ด้วยความวางใจให้สอดคล้องกับปรีชาญาณของพระองค์
นี่คือความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้าอันเกิดจากความเชื่อ !
นี่คือแก่นแท้ของชีวิตคริสตชน !

3. เครื่องหมายอัศจรรย์
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “กิจการของพระเจ้าคือเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”  ชาวยิวจึงขออัศจรรย์เป็นเครื่องพิสูจน์ทันทีเพราะนั่นเท่ากับพระองค์กำลังอ้างว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์
และด้วยเหตุที่จิตใจของพวกเขายังยึดติดอยู่กับขนมปัง พวกเขาจึงหวนไปคิดถึงมานนาซึ่งเป็นปังของพระเจ้าที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้กินในถิ่นทุรกันดารอันเป็นผลงานยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของโมเสส  พวกเขาเชื่อมาโดยตลอดว่าเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา พระองค์จะต้องทำได้เหนือกว่าโมเสส
พวกเขาไม่ถือว่าขนมปังที่เลี้ยงคนห้าพันคนเป็นขนมปังของพระเจ้า แต่เป็นของเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง พระองค์จำต้องผลิตปังจากสวรรค์หรือปังของพระเจ้าเพื่อพิสูจน์คำกล่าวอ้างของพระองค์
พระองค์จึงทรงตอบโต้พวกเขา 2 ประเด็น
ประเด็นแรก มิใช่โมเสสที่ให้มานนา แต่เป็นพระเจ้าที่ทรงประทานมานนาแก่บรรพบุรุษ
ประเด็นที่สอง ตัวมานนาเองก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ถึงปังจากสวรรค์ มีแต่พระองค์เองนี่แหละที่เป็น “ปังของพระเจ้า คือปังซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” (ยน 6:33)
พระองค์ไม่เพียงสามารถดับความหิวกระหายฝ่ายกายของเราเท่านั้น แต่ทรงสามารถดับความหิวกระหายทุกชนิดและทำให้ชีวิตของเราพบกับความพึงพอใจอย่างแท้จริง !

4. ปังแห่งชีวิต
    พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย” (ยน 6:35)
    พระองค์เป็น “ปังแห่งชีวิต” ด้วยเหตุผลดังนี้
1.    ขนมปังหล่อเลี้ยงชีวิต ปราศจากขนมปังชีวิตก็มิอาจดำเนินต่อไปได้
2.    แต่ชีวิตมิได้หมายถึงชีวิตทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังหมายถึงชีวิตวิญญาณอีกด้วย
3.    ชีวิตที่แท้จริงคือความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า อันกอปรด้วยความวางใจ ความนอบน้อมเชื่อฟัง และความรัก
4.    ความสัมพันธ์ใหม่นี้เป็นไปได้ก็โดยอาศัยพระเยซูเจ้า ปราศจากพระองค์ย่อมไม่มีผู้ใดเข้าถึงความสัมพันธ์นี้ได้
5.    กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ปราศจากพระเยซูเจ้า เราอาจมีลมหายใจแต่ไม่อาจมีชีวิตอย่างแท้จริง
6.    เพราะฉะนั้น พระองค์จึงเป็นแก่นสำคัญของชีวิต จนกล่าวได้ว่าพระองค์คือ “ปังแห่งชีวิต”
หากเราเชื่อและเข้ามาหาพระองค์ จิตใจที่หิวกระหายและแสวงหาชีวิตจะพบกับความอิ่มหนำและพึงพอใจ  ความหิวกระหายและการดิ้นรนจะหมดสิ้นไป  สิ่งที่คงอยู่คือความสุขสันติในจิตใจทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า
ตรงกันข้าม หากเราปฏิเสธพระองค์ก็เท่ากับเราปล้นทุกสิ่งทุกอย่างไปจากชีวิตของเราเอง !