แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

chaiya1

สมโภชนักบุญเปโตรและเปาโลอัครสาวก

ข่าวดี    มธ 16:13-19
13พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟิลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร”  14เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง”  15พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร”  16ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต”  17พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย  18เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้  19เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”

***************************

1. ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร
เมืองซีซารียาแห่งฟิลิปเดิมชื่อเมืองปานีอาส (Panias) อยู่ห่างจากทะเลสาบกาลิลีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร พ้นเขตปกครองของกษัตริย์เฮโรด อันติพาส  ประชากรส่วนใหญ่ไม่ใช่ชาวยิว พระเยซูเจ้าจึงมีเวลาอยู่กับบรรดาอัครสาวกตามลำพัง

ที่เมืองปานีอาส เฮโรดมหาราช ผู้ทรงเป็นพระราชบิดา ได้สร้างวิหารใหญ่ ทำด้วยหินอ่อนสีขาว เพื่อถวายแด่ซีซาร์ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งโรม  ต่อมาฟิลิปบุตรชายได้ต่อเติมและประดับประดาวิหารนี้ให้สวยตระการตายิ่งขึ้นไปอีก แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองจากปานีอาสมาเป็นซีซารียาซึ่งแปลว่าเมืองของซีซาร์ และเพิ่มชื่อของตนคือฟิลิปต่อท้ายเข้าไปด้วย เพื่อให้แตกต่างจากเมืองซีซารียาอีกแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ณ เมืองซีซารียาแห่งฟิลิปซึ่งมีวิหารยิ่งใหญ่ตระการตาถวายแด่ซีซาร์ผู้เกรียงไกรตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้านี้เอง ที่ช่างไม้ชาวกาลิลีผู้ไร้บ้าน ไร้เงินทอง ไร้อนาคตเพราะถูกกล่าวหาว่าสอนผิดความเชื่อจนต้องนับเวลาถอยหลังรอความตาย  กำลังตั้งคำถามกับบรรดาศิษย์ของตนว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” (มธ 16:13)
ถ้าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าจริงก็คงไม่กล้าตั้งคำถามแบบนี้ที่นี่และเวลาอย่างนี้แน่ !
คำตอบที่ได้คือ “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง” (มธ 16:14)
     ยอห์นคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้นจนกษัตริย์เฮโรดซึ่งทรงสั่งให้ตัดศีรษะของท่านยังหวาดระแวงว่าพระเยซูเจ้าอาจเป็น “ยอห์นผู้ทำพิธีล้างที่กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย” (มธ 14:2)
“บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์” (มธ 16:14)
ชาวยิวถือว่าเอลียาห์คือประกาศกยิ่งใหญ่ที่สุด  ท่านจะกลับมาเพื่อเตรียมทางให้แก่พระเมสสิยาห์ (มลค 4:5)  ทุกวันนี้ ขณะกินเลี้ยงปัสกาชาวยิวยังเตรียมเก้าอี้ว่างไว้สำหรับท่าน โดยหวังว่าท่านยิ่งกลับมาเร็วเท่าใด พระเมสสิยาห์ก็จะยิ่งเสด็จมาเร็วเท่านั้น
“บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์” (มธ 16:14)
ชาวยิวเชื่อกันว่าก่อนบรรพบุรุษของพวกตนจะถูกกวาดต้อนไปกรุงบาบิโลน เยเรมีย์ได้นำหีบพันธสัญญาและแท่นกำยานออกจากพระวิหารไปซ่อนไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งแถบภูเขาเนโบ และจะนำกลับมาประดิษฐานไว้ก่อนพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาเพื่อให้พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้ากลับมาอยู่ท่ามกลางประชากรอีกครั้งหนึ่ง (2 มคบ 2:1-12)
เมื่อประชาชนคิดว่าพระเยซูเจ้าคือยอห์นผู้ทำพิธีล้าง หรือประกาศกเอลียาห์ หรือประกาศกเยเรมีย์ จึงเท่ากับว่า พวกเขายกพระองค์ไว้ ณ จุดสูงสุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงได้รับ เพราะท่านเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เตรียมทางให้แก่พระเมสสิยาห์ผู้เป็นบุตรของพระเจ้า
ทว่าสิ่งที่คนอื่นพูดถึงพระองค์มีหรือจะสำคัญเทียบเท่าความเชื่อของตนเอง พระองค์จึงตรัสถามบรรดาอัครสาวกว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” (มธ 16:15)
เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (มธ 16:16)
คำตอบของเปโตรคงช่วยให้พระเยซูเจ้าใจชื้นขึ้นเป็นกอง เพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนหนึ่งที่รับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นใครและทรงเป็นอะไร
คำว่า “พระคริสตเจ้า” เป็นภาษากรีก  ส่วน “พระเมสสิยาห์” เป็นภาษาฮีบรู  ทั้งสองคำมีความหมายเดียวกันคือ “ผู้ที่ได้รับการเจิม”
เพราะฉะนั้น หากจะถามว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร คำตอบแบบเปโตรก็คือ “พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต”  และถ้าจะถามว่าพระองค์เป็นอะไร คำตอบก็คือ “ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ให้เป็นกษัตริย์ เพื่อกอบกู้มวลมนุษย์ให้รอดพ้น”

จากเหตุการณ์ที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิป เราอาจสรุปแนวทางในการดำเนินชีวิตได้สองประการ กล่าวคือ
1.    แม้เราจะยกพระเยซูเจ้าไว้สูงสุดจนเทียบชั้นกับประกาศกเอลียาห์และเยเรมีย์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เหตุผลเห็นได้จากคำพูดของจักรพรรดินโปเลียนที่ว่า “ข้าพเจ้ารู้จักมนุษย์มากมายหลายคน แต่พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นมากกว่ามนุษย์”
    ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย” (มธ 16:17)
    พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นพระบิดาที่ทรงเปิดเผยให้เปโตรรู้จักพระเยซูเจ้า
    ดังนั้น เราจึงต้องหมั่นวอนขอพระบิดาเจ้า โปรดให้เรารู้จักพระเยซูเจ้ามากขึ้น จะได้รักและดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ยิ่งขึ้น
2.    ไม่เป็นการเพียงพอที่จะรู้จักพระเยซูเจ้าโดยอาศัยคำบอกเล่าของผู้อื่น  เราต้องค้นให้พบและรู้จักพระองค์ด้วยตัวของเราเอง
     หากพระองค์ตรัสถามว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” เราต้องตอบด้วยตัวของเราเองให้ได้ ไม่ว่าเรานั้นจะยิ่งใหญ่มีข้าทาสหรือบริวารมากน้อยเพียงใดก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่ปิลาต ซึ่งถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” ก็ยังต้องกลับไปค้นหาคำตอบด้วยตนเองเพราะพระองค์ทรงย้อนว่า “ท่านถามดังนี้ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” (ยน 18:33-34)
    เราอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์ เทววิทยา หรือคำสอน  แต่ตราบใดที่เรายังไม่สามารถค้นพบและรู้จักพระองค์ด้วยตัวของเราเอง ตราบนั้นความรู้ที่ร่ำเรียนมาก็ยังคงเป็นเพียงความรู้มือสองที่ช่วยให้เรา “รู้เกี่ยวกับ” พระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่ยังไม่ “รู้จัก” พระองค์ !

2. ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา
ที่มาของพระวาจานี้คือ “ท่านคือ ‘เปตรอส’ และบน ‘เปตรา’ นี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา” (มธ 16:18)
คำกรีก “เปตรอส” (Petros) คือ “เปโตร” เป็นชื่อเฉพาะ ไม่มีคำแปล  ส่วน “เปตรา” (petra) แปลว่า “ศิลา”
หากแปลตามต้นฉบับภาษากรีกจะได้ความว่า “ท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา”
     แต่ด้วยเจตนาเล่นคำ ชื่อของ “เปโตร” ในภาษากรีกจึงถูกแปลตามชื่อในภาษาอาราไมอิก “เคฟาส” (Kephas) ซึ่งบังเอิญหมายถึง “ศิลา”  เราจึงได้สำนวนแปลว่า “ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา” (มธ 16:18)
ใช่ เปโตรคือ “ศิลา” แต่ไม่ใช่ “ศิลาหัวมุม” เพราะ “ศิลาหัวมุม” คือองค์พระเยซูเจ้าเอง ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวว่า “บรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม” (อฟ 2:20)
     ที่ถูกคือท่านเป็น “ศิลาแรก” ของพระศาสนาจักรซึ่งพระองค์กำลังสถาปนาขึ้น เพราะท่านเป็น “มนุษย์คนแรก” ที่รู้และเชื่อว่าพระเยซูเจ้าคือพระคริสตเจ้า ผู้เป็นบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต (มธ 16:16)
ด้วยเหตุที่เปโตรเป็นสมาชิกคนแรกของพระศาสนจักร  ท่านจึงเป็นรากฐานและเป็นเสมือนเชื้อแป้งที่ทำให้มีสมาชิกคนอื่นตามมาอีกมากมายทุกยุคทุกสมัย
เพราะฉะนั้น หากเรารักนักบุญเปโตรผู้เป็นศิลาแรกมากเท่าใด เรายิ่งต้องรักพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นศิลาหัวมุมมากขึ้นเท่านั้น

3. สิทธิและหน้าที่ของพระศาสนจักร
เพื่อให้พระศาสนจักรบนความเชื่อของเปโตรมีความมั่นคง พระเยซูเจ้าทรงมอบสิทธิและหน้าที่พิเศษให้แก่ท่านอีกด้วย
1.    “เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้” (มธ 16:19)
    พระองค์ทรงมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์แก่เปโตร เพื่อให้ท่านเป็นผู้ดูแลและ “เปิดประตูต้อนรับคนทุกชาติ” ทั้งที่เป็นยิวและไม่ใช่ยิว
        ดังที่ท่านได้เปิดประตูต้อนรับดวงวิญญาณสามพันดวงในวันเปนเตกอสเต (กจ 2:41) รวมถึงดวงวิญญาณของโครเนลิอัสซึ่งเป็นนายทหารต่างชาติ (กจ 10) อีกทั้งในการประชุมที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านได้ผลักดันให้ข่าวดีเผยแผ่ไปสู่คนต่างศาสนาด้วยการยืนยันว่า “พี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้แล้วว่า ตั้งแต่แรกเริ่ม พระเจ้าทรงเลือกสรรข้าพเจ้าในหมู่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้คนต่างศาสนาได้ฟังพระวาจาที่เป็นข่าวดีจากปากของข้าพเจ้าและมีความเชื่อ” (กจ 15:7)
    2.    “ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” (มธ 16:19)
    คำว่า “ผูก” และ “แก้” เป็นสำนวนที่ชาวยิวนิยมใช้กับคำตัดสินด้านกฎหมายของอาจารย์หรือรับบีผู้มีชื่อเสียง  ผูกหมายถึงไม่อนุญาต และแก้หมายถึงอนุญาต
    เท่ากับว่าพระเยซูเจ้าทรงมอบภาระรับผิดชอบอันหนักหน่วงไว้บนบ่าของเปโตร ท่านต้องให้คำแนะนำและนำพาพระศาสนจักร  ท่านต้อง “ตัดสินใจ” ว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ซึ่งการตัดสินใจของท่านย่อมส่งผลอันใหญ่หลวงต่อวิญญาณของมนุษย์ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า
นี่คือความยิ่งใหญ่ของเปโตร !

ส่วนนักบุญเปาโลกล่าวไว้ในบทอ่านที่สองของวันนี้ว่า “ชีวิตของข้าพเจ้ากำลังจะถูกถวายเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะต้องจากไป” (2 ทธ 4:6)
แสดงว่าท่านไม่ได้คิดแม้แต่นิดเดียวว่าท่านกำลังจะถูกประหาร แต่กลับคิดว่าชีวิตของท่านกำลังจะได้รับการถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
อันที่จริง หลังจากกลับใจแล้ว ท่านได้ถวายทุกสิ่งทุกอย่างแด่พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ความรู้ที่ได้ล่ำเรียนมา เวลา พลังกาย พลังใจ หรือแม้แต่สติปัญญาอันเฉียบแหลมของท่าน ท่านก็ทูลถวายแด่พระองค์จนหมด
เหลือก็เพียงแต่ชีวิตของท่านซึ่งยังไม่ได้ถวายแด่พระเจ้า แต่ท่านก็พร้อมและเต็มใจที่จะถวายแด่พระองค์ด้วยความยินดี
ท่านจึงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ข้าพเจ้าต่อสู้มาอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งมาถึงเส้นชัยแล้ว ข้าพเจ้ารักษาความเชื่อไว้แล้ว ยังเหลืออยู่ก็เพียงมงกุฎแห่งความชอบธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรมจะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น” (2 ทธ 4:7-8)
และนี่คือความยิ่งใหญ่ของเปาโล !

ทั้งเปโตรและเปาโลซึ่งเราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็เพราะท่านทั้งสองเป็นผู้สืบสานภารกิจของพระเยซูคริสตเจ้า บุตรพระเจ้าผู้ทรงชีวิต !