แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันจันทร์ สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว (มธ 8:5-11)                                                                                                                                                  

เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยคนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลอ้อนวอนว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าเป็นอัมพาตนอนอยู่ที่บ้าน ต้องทรมานอย่างสาหัส” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” แต่นายร้อยทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียวเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค ข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าสั่งทหารคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งอีกคนหนึ่งว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าสั่งผู้รับใช้ว่า ‘ทำนี่’ เขาก็ทำ” เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินเช่นนี้ ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสแก่บรรดาผู้ติดตามว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนจำนวนมากจะมาจากทิศตะวันออกและตะวันตก และจะนั่งร่วมโต๊ะกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบในอาณาจักรสวรรค์ 


มธ 8:8-9  นายร้อยผู้บัญชาการทหารโรมันผู้ควบคุมทหารหนึ่งกองร้อยเข้าใจดีว่า ชาวยิวไม่สามารถเข้าไปในบ้านของคนต่างชาติได้เพราะจะทำให้มีมลทิน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้เชิญพระเยซูเจ้าไปที่บ้านเพื่อรักษาคนรับใช้ของเขา เขามีความเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงมีอำนาจเหนือความเจ็บป่วยและความตาย เช่นเดียวกับที่เขามีอำนาจเหนือทหารใต้บังคับบัญชาของเขา คำพูดของนายร้อยที่ว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควร...” เป็นคำที่ถูกกล่าวย้ำอีกในพิธีบูชาขอบพระคุณตอนก่อนการรับศีลมหาสนิท

CCC ข้อ 1386 ต่อหน้าความยิ่งใหญ่ของศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้ ผู้มีความเชื่ออาจทำได้เพียงกล่าวถ้อยคำของนายร้อยคนนั้นอย่างถ่อมตนและด้วยความเชื่อแรงกล้าว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรจะรับเสด็จมาอยู่กับข้าพเจ้า โปรดตรัสเพียงพระวาจาเดียว แล้วจิตใจข้าพเจ้าก็จะบริสุทธิ์” และในพิธีกรรมจารีตตะวันออกของนักบุญยอหน์ ครีโซสตม บรรดาผูมี้ความเชื่อก็ภาวนาด้วยจิตตารมณ์เดียวกันว่า  “ข้าแต่พระบุตรของพระเจ้า โปรดบันดาลให้ข้าพเจ้ามีส่วนร่วมงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำล้ำลึกของพระองค์ในวันนี้ เพราะข้าพเจ้าจะไม่บอกความลับแก่บรรดาศัตรูของพระองค์ และจะไม่จุมพิตพระองค์เหมือนกับยูดาส แต่จะร้องเสียงดังเหมือนกับโจร (บนไม้กางเขน) ให้ทรงได้ยินว่าข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยเมื่อพระองค์จะเสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์”


มธ 8:10-13  พระเยซูเจ้าทรงประทับใจในความเชื่อที่นายร้อยแสดงออกมา เป็นความเชื่อที่ไม่เคยพบในหมู่ชาวยิวมาก่อน “คนจำนวนมากจะมาจากทิศตะวันออกและตะวันตก” นี่เป็นตัวบ่งชี้ตั้งแต่แรกเริ่มว่า ทุกคนได้รับการเรียกให้เข้าสู่พระอาณาจักรแห่งสวรรค์ และคนต่างชาติสามารถรับความรอดพ้นได้ ถ้าหากพวกเขายอมรับพระวรสาร

CCC ข้อ 543 พระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ทุกคนเข้ามาในพระอาณาจักร พระอาณาจักรพระเมสสิยาห์นี้ ซึ่งก่อนใดอื่นทรงแจ้งไว้แก่บุตรหลานของอิสราเอลนั้น ถูกกำหนดไว้ให้รับมนุษย์ทุกชาติเพื่อจะเข้ามาในพระอาณาจักรนี้ได้ จำเป็นต้องรับพระวาจาของพระเยซูเจ้า “พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปรียบได้กับเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงในทุ่งนา ผู้ที่ฟังพระวาจาด้วยความเชื่อและรวมเข้ามาอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ของผู้ติดตามพระคริสตเจ้าก็ได้รับพระอาณาจักรนี้ต่อจากนั้น โดยพลังของตนเมล็ดพันธุ์ก็งอกขึ้นและเจริญเติบโตจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว”

CCC ข้อ 2610  เช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาและขอบพระคุณพระบิดาก่อนที่จะได้รับของประทานจากพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงทรงสอนให้เรามีความกล้าเยี่ยงบุตร “ทุกสิ่งที่ท่านวอนขอในการอธิษฐานภาวนา จงเชื่อว่าท่านจะได้รับ และท่านก็จะได้รับ” (มก 11:24) พลังของการอธิษฐานภาวนาเป็นเช่นนี้ “ทุกสิ่งเป็นไปได้ทั้งนั้นสำหรับผู้มีความเชื่อ” (มก 9:23) ความเชื่อที่ไม่สงสัย พระเยซูเจ้าทรงเศร้าพระทัยที่บรรดาพระประยูรญาติของพระองค์ “ไม่มีความเชื่อ” (มก 6:6) และเพราะความเชื่อที่น้อยเกินไปของบรรดาศิษย์ จนทรงประหลาดพระทัยเมื่อทรงเห็นความเชื่อของนายร้อยชาวโรมัน และของหญิงชาวคานาอัน

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)