แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันศุกร์ สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา (ลก 17:26-37)     

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาสาวกว่า “เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในสมัยของโนอาห์ฉันใด ก็จะเกิดขึ้นในสมัยของบุตรแห่งมนุษย์ ฉันนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานเป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ น้ำวินาศก็ได้ท่วมเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในสมัยของโลทก็เช่นเดียวกัน ผู้คนกิน ดื่ม ซื้อขาย ปลูกพืช สร้างบ้าน แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสโดม ไฟและกำมะถันได้ตกจากท้องฟ้ามาเผาผลาญเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในวันที่บุตรแห่งมนุษย์จะทรงสำแดงองค์ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันด้วย

ในวันนั้น คนที่อยู่บนดาดฟ้าและมีข้าวของอยู่ในบ้าน จงอย่าลงมาเอาของเหล่านั้นเลย คนที่อยู่ในทุ่งนาก็เช่นเดียวกัน จงอย่าหวนกลับมาอีก ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงเรื่องภรรยาของโลทไว้เถิด ผู้ใดที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้ได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน”


ลก 17:22-37  พระวาจาของพระคริสตเจ้าในที่นี้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับเหตุการณ์ในบริบทเรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งของวันสิ้นโลกด้วย ทุกคนจะเห็นการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ ดังนั้นเราจึงต้องระวังพวกที่อ้างว่าได้รับเครื่องหมายสำคัญและการเปิดเผยเกี่ยวกับวันสิ้นโลก เนื่องจากการเสด็จกลับมาของพระคริสตเจ้าเป็นสิ่งที่แน่นอน เราจึงต้องคอยเฝ้าระวัง และซื่อสัตย์อยู่เสมอ เพื่อมิให้วันนั้นมาถึงโดยไม่รู้ตัว

CCC ข้อ 675 ก่อนที่พระคริสตเจ้าจะเสด็จมา พระศาสนจักรจะต้องผ่านการทดลองสุดท้ายที่จะทำให้ความเชื่อของผู้มีความเชื่อหลายคนต้องสั่นคลอนการเบียดเบียนซึ่งจะอยู่เคียงข้างกับการเดินทางของพระศาสนจักรในโลกนี้ จะเปิดเผยให้เห็น “ธรรมล้ำลึกแห่งความชั่วร้าย” ในรูปของความหลอกลวงทางศาสนาที่เสนอวิธีแก้ปัญหาอย่างเสแสร้งทำให้หลายคนต้องยอมปฏิเสธความจริง ความหลอกลวงด้านศาสนาที่ร้ายแรงที่สุดนั้นก็คือความหลอกลวงของผู้เป็นปฏิปักษ์กับพระคริสตเจ้า (Antichrist) หรือพระเมสสิยาห์จอมปลอมที่ทำให้มนุษย์ยกย่องตนเองแทนพระเจ้าและพระเมสสิยาห์ของพระองค์ผู้เสด็จมารับสภาพมนุษย์


ลก 17:33  ถ้อยคำเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้าเอง ซึ่งประทานชีวิตให้แก่โลก กิจเมตตาที่แท้จริงนั้นผลักดันให้บุคคลหนึ่งดำรงชีวิตในจิตวิตารมณ์แห่งการไม่เห็นแก่ตัว ยอมแม้กระทั่งการสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น ดังที่พระคริสตเจ้าทรงกระทำก็ตาม

CCC ข้อ 1889 ถ้าไม่มีพระหรรษทานคอยช่วยเหลือ มนุษย์คงไม่รู้ว่า “หนทางแคบนั้นหลายครั้งแตกต่างจากความขลาดที่ยอมแพ้ต่อความชั่ว และบางครั้งการใช้ความรุนแรงที่เราหลงคิดไปว่าอาจเอาชนะความชั่วได้นั้นกลับทำให้สถานการณ์เลวลงไปอีก” นี่คือทางแห่งความรัก นั่นคือความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ ความรักเป็นกฎสำคัญที่สุดของสังคม ความรักเคารพผู้อื่นและสิทธิของเขา ความรักเรียกร้องให้ปฏิบัติความยุติธรรม และความรักเท่านั้นทำให้เราปฏิบัติความยุติธรรมได้ ความรักเป็นพลังบันดาลใจชีวิตให้รู้จักสละตนเอง “ผู้ใดที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้” (ลก 17:33)


ลก 17:35 ผู้นิพนธ์พระวรสารท่านอื่นได้เพิ่มเติมอีกว่า “คนสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้”

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)