แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 9 เทศการธรรมดา

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก (มก 12:28-34)    

เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่น ๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้ ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใด ๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย


มก 12:28-34 ธรรมาจารย์ได้ถามพระคริสตเจ้าด้วยคำถามที่จริงใจว่า บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่น ๆ พระคริสตเจ้าทรงอธิบายถึงบทบัญญัติเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนในบทภาวนาดั้งเดิมของชาวยิว ที่เรียกว่า Shema เป็นบทสรุปคำสอนที่ถูกทำนายไว้เกี่ยวกับบทบัญญัติที่พระเจ้าทรงเปิดเผย การปฏิบัติตามบัญญัตินี้ก็รวมถึงความซื่อสัตย์ต่อพระบัญญัติประการอื่นด้วย

  CCC ข้อ 575 การกระทำและพระวาจาในหลายกรณีจึงเป็น “เครื่องหมายแห่งการต่อต้าน” สำหรับผู้นำทางศาสนาที่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งพระวรสารของยอห์นเรียกบ่อยๆ ว่า “ชาวยิว” มากกว่าสำหรับสามัญชนประชากรของพระเจ้าโดยทั่วไป โดยแท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ของพระองค์กับชาวฟาริสีมิได้มีแต่ความขัดแย้งกันเสมอไปเท่านั้น ชาวฟาริสีบางคนทูลเตือนพระองค์ถึงอันตรายที่พระองค์กำลังจะต้องเผชิญ พระองค์ทรงกล่าวชมพวกเขาบางคน เช่นธรรมาจารย์ที่ มก 12:34 กล่าวถึง และหลายครั้งทรงรับเชิญไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของชาวฟาริสี พระองค์ทรงยืนยันคำสอนที่กลุ่มศาสนาพิเศษในประชากรของพระเจ้ากลุ่มนี้ยอมรับเป็นคำสอนของตน เช่นคำสอนเรื่องการกลับคืนชีพของผู้ตาย  รูปแบบต่างๆ เพื่อแสดงความเลื่อมใสศรัทธา (การให้ทานการอธิษฐานภาวนาและการจำศีลอดอาหาร และธรรมเนียมเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาและกำหนดว่าความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์เป็นบทบัญญัติสำคัญที่สุด


มก 12:29-31 พระตรีเอกภาพ - สามพระบุคคลในพระเจ้าหนึ่งเดียว คือธรรมล้ำลึกแห่งความเชื่อที่ไม่ได้ท้าทายการเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียวของชาวยิว พันธสัญญาเดิมบรรจุหลายตอนเกี่ยวกับคำทำนายและบุคคลเพื่อเตรียมสู่พันธสัญญาใหม่ของพระคริสตเจ้า พันธสัญญาเดิมเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดเผยของพระเจ้าและได้รับการรับรองเช่นนี้โดยพระคริสตเจ้า ผู้ซึ่งไม่ได้มาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติ แต่เพื่อทำให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์

  CCC ข้อ 129 ดังนั้น คริสตชนจึงอ่านพันธสัญญาเดิมโดยคำนึงถึงพระคริสตเจ้าที่ได้สิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว การอ่านโดยคำนึงถึง “รูปแบบ” เช่นนี้เปิดเผยเนื้อหาที่ไม่มีวันเหือดแห้งของพันธสัญญาเดิม การอ่านเช่นนี้ต้องไม่ทำให้ลืมว่าพันธสัญญาเดิมยังรักษาคุณค่าการเปิดเผยของตน ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงย้ำถึงด้วย นอกจากนั้น พันธสัญญาใหม่ยังเรียกร้องให้เราอ่านโดยคำนึงถึงพันธสัญญาเดิมด้วย การสอนคำสอน  คริสตศาสนาในสมัยเริ่มแรกก็อ้างถึงพันธสัญญาเดิมอยู่ตลอดเวลา ตามคำพังเพยโบราณ “พันธสัญญาใหม่ซ่อนอยู่ในพันธสัญญาเดิม  ขณะที่พันธสัญญาเดิมปรากฏชัดในพันธสัญญาใหม่”

  CCC ข้อ 202 พระเยซูเจ้าเองก็ทรงยืนยันว่าพระเจ้า “ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว” และเราต้องรักพระองค์สุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลัง แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงบอกว่าพระองค์ทรงเป็น “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ด้วย ลักษณะเฉพาะของคริสตศาสนาก็คือประกาศว่า “พระเยซูเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” ด้วยการประกาศเช่นนี้ไม่ขัดกับความเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว การเชื่อในพระจิตเจ้า “องค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้ประทานชีวิต” ก็ไม่นำความแตกแยกเข้ามาในพระเจ้าหนึ่งเดียว

           “เราเชื่อมั่นและประกาศชัดเจนว่ามีพระเจ้าแท้เพียงหนึ่งเดียว นิรันดร ยิ่งใหญ่ ไม่เปลี่ยนแปร มนุษย์ไม่อาจเข้าใจพระองค์ได้ทั้งหมด ทรงสรรพานุภาพ มนุษย์ไม่อาจกล่าวถึงพระองค์ได้ คือพระบิดา พระบุตร และพระจิตเจ้า ทรงเป็นสามพระบุคคล แต่ทรงเป็นหนึ่งเดียวในสาระและความเป็นอยู่ หรือทรงมีพระธรรมชาติเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”

  CCC ข้อ 228 “ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว.....” (ฉธบ 6:4; มก 12:29) “สิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดจำเป็นต้องมีเพียงหนึ่งเดียว – ไม่มีอะไรเทียบเท่าได้ – [….] ถ้าพระเจ้าไม่มีเพียงพระองค์เดียว ก็ไม่ใช่พระเจ้า”

  CCC ข้อ 229 ความเชื่อในพระเจ้านำเราให้มุ่งไปหาพระเจ้าหนึ่งเดียว ในฐานะที่ทรงเป็นต้นกำเนิดและจุดหมายสุดท้ายของเรา และไม่ให้เราเห็นว่าอะไรอื่นดีกว่าพระองค์และนำมาทดแทนพระองค์

  CCC ข้อ 230 พระเจ้า แม้เมื่อทรงเปิดเผยพระองค์แก่เรา ก็ยังทรงเป็นความลึกลับที่อธิบายไม่ได้ “ถ้าท่านเข้าใจพระองค์ พระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้า”

  CCC ข้อ 231 พระเจ้าที่เราเชื่อทรงเปิดเผยพระองค์ในฐานะ “ผู้เป็น” พระองค์ทรงเปิดเผยให้เรารู้จักพระองค์ว่า “ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์” (อพย 34:6) สารัตถะของพระองค์ก็คือความจริงและความรัก

  CCC ข้อ 2196   พระเยซูเจ้าทรงตอบผู้ทูลถามพระองค์ถึงบทบัญญัติประการเอกว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ ‘อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน’ บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ‘ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง’ ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” (มก 12 :29-31)

นักบุญเปาโลยังเตือนเราอีกว่า “ผู้ที่รักเพื่อนมนุษย์ก็ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว พระบัญญัติกล่าวว่า อย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าโลภ และถ้ามีบทบัญญัติอื่นอีกก็สรุปได้ในข้อความนี้ว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์ ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน” (รม 13:8-10)

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)