แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว (มธ 10:37-42)

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาสาวกว่า “ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ผู้ที่ต้อนรับประกาศก เพราะเขาเป็นประกาศก จะได้รับบำเหน็จรางวัลของประกาศก ผู้ที่ต้อนรับผู้ชอบธรรม เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับบำเหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม ผู้ใดที่ให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน”


มธ 10:37 เพื่อตอบรับการเรียกของพระคริสตเจ้าให้มาเป็นศิษย์ของพระองค์ ทุกสิ่งต้องดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับกระแสเรียกนี้ แม้แต่ความรักที่มีต่อครอบครัวของเราก็เป็นสิ่งสำคัญที่สนับสนุนกระแสเรียกนั้น เมื่อเด็กเติบโต การรับรู้ถึงกระแสเรียกเฉพาะส่วนตัวของเขาที่มาจากพระเจ้าก็จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนและเข้มแข็งยิ่งขึ้น และพวกเขาก็ต้องแยกแยะทิศทางของมันอย่างระมัดระวัง ผู้ปกครองและสมาชิกในครอบครัวต้องคอยแนะนำพวกเขา แต่ท้ายที่สุดต้องสวดภาวนาและสนับสนุนให้พวกเขาให้ตอบสนองเพื่อติดตามกระแสเรียกนี้

ccc ข้อ 2232 ความสัมพันธ์ในครอบครัวสำคัญมาก แต่ก็ไม่เด็ดขาด เช่นเดียวกับที่เด็กทารกเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีความรับผิดชอบส่วนตัวตามธรรมชาติและด้านจิตใจยิ่งขึ้น กระแสเรียกเฉพาะส่วนตัวของเขาที่มาจากพระเจ้าย่อมปรากฏชัดเจนและเข้มแข็งยิ่งขึ้น บิดามารดาจะต้องสังเกตกระแสเรียกของบุตรและสนับสนุนให้ตอบสนองเพื่อติดตามกระแสเรียกนี้ เขาต้องคิดว่ากระแสเรียกประการแรกของคริสตชนก็คือการติดตามพระเยซูเจ้า “ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเราผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา” (มธ 10:37)


มธ 10:38 การเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้านั้นหมายถึงการมีส่วนร่วมในไม้กางเขนของพระองค์ (มธ 10:25) ในความทุกข์ทรมาน ผู้เป็นศิษย์จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าอย่างสมบูรณ์ ที่จริงแล้วในภาษากรีกคำว่า Martur มีความหมายว่า “พยาน” ในขณะที่คริสตชนส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกเรียกให้สละชีวิตเพื่อความเชื่อ ทุกคนจะต้องเตรียมตัวพร้อมที่จะเป็นพยานและทุกข์ทรมานเพื่อพระเยซูเจ้า

ccc ข้อ 1225   ในการฉลองปัสกาของพระองค์ พระคริสตเจ้าทรงเปิดธารแห่งศีลล้างบาปแก่มนุษย์ทุกคน อันที่จริง ก่อนที่จะทรงรับทรมานที่กรุงเยรูซาเล็มแล้ว พระองค์ทรงกล่าวถึงพระทรมานนี้ว่าเป็น“พิธีล้าง” ที่จะทรงรับในไม่ช้า พระโลหิตและน้ำที่ออกมาจากด้านข้างพระวรกายที่เปิดอยู่ของพระเยซูเจ้าผู้ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนก็เป็นรูปแบบของศีลล้างบาปและศีลมหาสนิทศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ประทานชีวิตใหม่ให้เรา หลังจากนี้มนุษย์จึงอาจบังเกิด “จากน้ำและพระจิตเจ้า”เพื่อเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าได้ (ยน 3:5) “เมื่อท่านรับศีลล้างบาป จงดูเถิดว่าศีลล้างบาปนี้มาจากไหนถ้าไม่ใช่จากไม้กางเขนของพระคริสตเจ้าจากการสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้า พระธรรมล้ำลึกทั้งหมดอยู่ที่นั่น เพราะพระองค์ทรงรับทรมาน เพื่อท่าน ท่านได้รับการไถ่กู้ในพระองค์ ท่านได้รับความรอดพ้นในพระองค์”

ccc ข้อ 1506 พระคริสตเจ้าทรงเชิญชวนบรรดาศิษย์ให้แบกไม้กางเขนของตนเองขึ้นติดตามพระองค์ และเมื่อติดตามพระองค์ เขาเหล่านี้ก็ได้มุมมองใหม่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยและผู้ป่วย พระเยซูเจ้าทรงนำเขาเข้ามาร่วมพระชนมชีพที่ยากจนและยินดีรับใช้ผู้อื่น ทรงทำให้เขามีส่วนร่วมศาสนบริการความเห็นอกเห็นใจและบำบัดรักษาโรค “เขาจึงไปเทศน์สอนคนทั้งหลายให้กลับใจ ขับไล่ปีศาจจำนวนมาก เจิมน้ำมันผู้เจ็บป่วยหลายคน และรักษาเขาให้หายจากโรคภัย” (มก 6:12-13)


มธ 10:40 พันธกิจของบรรดาอัครสาวก ทั้งในด้านการเทศน์สอนและศาสนบริการด้านศีลศักดิ์สิทธิ์ คือ การสานต่อพันธกิจของพระเยซูเจ้าเอง ผู้ที่ได้รับศีลบวชของพระศาสนจักร ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ด้วยการเทศน์สอน ศาสนบริการด้านศีลศักดิ์สิทธิ์ และผู้อภิบาล

ccc ข้อ 858 พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ที่พระบิดาเจ้าทรงส่งมา นับตั้งแต่เริ่มออกเทศน์สอนประชาชน “พระองค์ทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงต้องการให้มาพบ [...] พระองค์จึงทรงแต่ตั้งอัครสาวกสิบสองคนให้อยู่กับพระองค์ และเพื่อจะทรงส่งเขาออกไปเทศน์สอน” (มก 3:13-14) ดังนั้น เขาเหล่านี้จึงเป็น “ผู้ที่ถูกส่งไป” ของพระองค์ (คำภาษากรีก “apostoloi” มีความหมายเชน่ นี้) พระองค์ทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ต่อไปในเขาเหล่านี้ “พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” (ยน 20:21)374 ศาสนบริการของเขาเหล่านี้จึงเป็นการสืบต่อพันธกิจของพระองค์ พระองค์ตรัสแก่เขาทั้งสิบสองคนว่า “ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลายก็ต้อนรับเรา” (มธ 10:40)

ccc ข้อ 888 บรรดาพระสังฆราช พร้อมกับบรรดาพระสงฆ์ผู้ช่วยของท่าน “ก่อนอื่นมีหน้าที่ประกาศข่าวดีของพระวรสารของพระเจ้าแก่ทุกคน” ตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเหล่านี้“เป็นผู้ประกาศความเชื่อ นำศิษย์ใหม่ๆ เข้ามาหาพระคริสตเจ้า และเป็นผู้สั่งสอนความเชื่อของบรรดาอัครสาวกอย่างแท้จริงโดยอำนาจของพระคริสตเจ้าที่ได้รับมา

ccc ข้อ 893 พระสังฆราชยังเป็น “ผู้จัดการพระหรรษทานของสมณภาพสูงสุด” ด้วย โดยเฉพาะในพิธีบูชาขอบพระคุณที่เขาถวายเองและที่เขาจัดให้มีการถวายโดยบรรดาพระสงฆ์ผู้ร่วมงาน พิธีบูชาขอบพระคุณเป็นศูนย์กลางพิเศษของชีวิตพระศาสนจักร พระสังฆราชและบรรดาพระสงฆ์ยังบันดาลให้พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ด้วยการอธิษฐานภาวนาและการปฏิบัติงานของตนผ่านทางศาสนบริการพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เขายังบันดาลความศักดิ์สิทธิ์(แก่พระศาสนจักร)ผ่านทางแบบอย่างชีวิตของตน “มิใช่เป็นเหมือนเจ้านายเหนือผู้อยู่ใต้ปกครอง แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะ” (1 ปต 5:3) และดังนี้ “เขาก็จะบรรลุถึงชีวิตนิรันดรพร้อมกับฝูงแกะที่เขารับฝากดูแล”

ccc ข้อ 894 “บรรดาพระสังฆราชปกครองพระศาสนจักรท้องถิ่นที่เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลในฐานะผู้แทนและผู้ช่วยของพระคริสตเจ้า โดยคำแนะนำ คำตักเตือน แบบอย่าง และโดยอำนาจหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย” ซึ่งเขาต้องใช้อำนาจนี้เพื่อเสริมสร้างด้วยจิตใจการรับใช้ ซึ่งเป็นจิตใจของพระอาจารย์ของเขา 

 

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church)