วันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว (มธ 13:10-17)                                                

เวลานั้น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมา” พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย ดังนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงแม้พวกเขามองดู ก็ไม่เห็น แม้ฟัง ก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่าท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจจะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็นเพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้างเขาทำหูทวนลม และปิดตาเพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหูจะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา“ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง”


มธ 13:1-23 พระคริสตเจ้ามักจะตรัสเป็นอุปมา คือ เป็นเรื่องราวที่ใช้ภาพหรือเรื่องเปรียบเทียบเพื่ออธิบายธรรมล้ำลึกแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้า พระคริสตเจ้าได้ทรงสอนเราให้ไตร่ตรองถึงธรรมชาติของพระอาณาจักรพระเจ้าและวิธีการที่พระอาณาจักนั้นเติบโตขึ้นภายในตัวเรา โดยใช้อุปมาเหล่านี้ อุปมาเรื่องผู้หว่านอธิบายว่า บรรดาผู้ตอบรับพระคริสตเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจนั้นจะเติบโตขึ้นในความศักดิ์สิทธิ์และบังเกิดผลดีได้อย่างไร ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ปฏิเสธหรือไม่ยอมรับพระวาจาของพระเจ้าอย่างเต็มที่ก็จะไม่สามารถบังเกิดผลดีได้เลย

การแจ้งข่าวเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า

CCC ข้อ 546 พระเยซูเจ้าทรงเชื้อเชิญให้เข้าในพระอาณาจักรโดยใช้เรื่องอุปมาซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะสำคัญของคำสอนของพระองค์ อาศัยเรื่องอุปมาเหล่านี้ พระองค์ทรงเชิญทุกคนเข้ามาร่วมงานเลี้ยงของพระอาณาจักร แต่ก็ยังทรงเรียกร้องให้ต้องเลือกอย่างเด็ดขาดด้วย เพื่อจะได้พระอาณาจักรนี้จำเป็นต้องสละทุกสิ่ง คำพูดเท่านั้นไม่พอ จำเป็นต้องมีกิจการด้วย เรื่องอุปมาเป็นเสมือนกระจกสำหรับมนุษย์ เขาได้รับพระวาจาเหมือนกับพื้นดินแข็งหรือเหมือนกับดินดี? เขาทำอะไรกับเงินตะลันต์ที่ได้รับมา พระเยซูเจ้าและพระอาณาจักรที่มีอยู่ในโลกนี้ซ่อนอยู่ในความหมายของเรื่องอุปมาเหล่านี้ จำเป็นที่เราต้องเข้าในพระอาณาจักร นั่นคือต้องเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้าเพื่อรู้จัก “ธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์” (มธ 13:11) สำหรับผู้ที่อยู่ “ภายนอก” (มก 4:11)  ทุกสิ่งเป็นปริศนา

ความสุขของคริสตชน

CCC ข้อ 1724 พระบัญญัติสิบประการ คำเทศน์บนภูเขา และคำสอนของบรรดาอัครสาวกล้วนบอกให้เรารู้จักหนทางไปสู่อาณาจักรสวรรค์ เราค่อยๆ ร่วมเดินทางไปตามทางนี้ทีละก้าวโดยกิจการประจำวันที่ได้รับการค้ำจุนจากพระหรรษทานของพระจิตเจ้า อาศัยพระวาจาของพระคริสตเจ้าคอยช่วยเหลือ เราย่อมค่อยๆ บังเกิดผลในพระศาสนจักรเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า


มธ 13:10-17  พระคริสตเจ้าทรงมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับบรรดาศิษย์ของพระองค์อยู่เสมอ และมักจะอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับ “ความลับของพระอาณาจักรสวรรค์” ด้วยการอธิบายความหมายของเรื่องอุปมาต่างๆ ของพระองค์แก่พวกเขาในแบบส่วนตัวอยู่บ่อยๆ และดังนี้คลังแห่งความเชื่อของเราก็ได้ถูกส่งผ่านทางบรรดาอัครสาวกไปยังพระศาสนจักรทั้งครบ โดยทางธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์และพระคัมภีร์

คลังความเชื่อที่พระศาสนจักรทั้งหมดได้รับฝากไว้

CCC ข้อ 84 บรรดาอัครสาวกได้ฝากคลังความเชื่อ ที่มีอยู่ในธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์และพระคัมภีร์ไว้กับพระศาสนจักรทั้งหมด “ประชากรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระสังฆราชผู้อภิบาลของตนจึงยึดพระวาจานี้ไว้อย่างมั่นคงในคำสอนของบรรดาอัครสาวก และมีชีวิตร่วมกันฉันพี่น้อง ในการบิปังและในการภาวนาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้จะได้มีการร่วมมือกันเป็นพิเศษระหว่างสัตบุรุษกับผู้ปกครองในการรักษา ในการปฏิบัติ และในการแสดงความเชื่อที่ได้รับถ่ายทอดต่อๆ กันมา”

พระศาสนจักรเป็นการร่วมชีวิตกับพระเยซูเจ้า

CCC ข้อ 787 ตั้งแต่เริ่มแรก พระเยซูเจ้าทรงเรียกบรรดาศิษย์ให้มาอยู่กับพระองค์ ทรงเปิดเผยพระธรรมลํ้าลึกเรื่องพระอาณาจักรแก่เขา ทรงทำให้เขามีส่วนร่วมพันธกิจและความยินดี และร่วมพระทรมานกับพระองค์ พระเยซูเจ้ายังตรัสถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านี้ระหว่างพระองค์กับผู้ที่ติดตามพระองค์ว่า “จงดำรงอยู่ในเราเถิด ดังที่เราดำรงอยู่ในท่าน […] เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน” (ยน 15:4-5) และยังตรัสถึงความสัมพันธ์ล้ำลึกแท้จริงระหว่าง พระกายของพระองค์กับของเราด้วย “ผู้ที่กินเนื้อของเราและดื่มโลหิตของเรา ก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในเขา” (ยน 6:56)

CCC ข้อ 546 (อ่านเพิ่มเติมด้านบน (มธ 13:1-23))

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)