แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

DSC 0463 resize

สวัสดีพี่น้องทุกท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่เราเหล่าคริสตชน ตั้งตาคอยในทุกๆต้นปี เพื่อร่วมในโอกาสนี้ รับเสด็จพระผู้ไถ่ของชาวโลก และเดือนนี้นอกจากจะเป็นวันสำคัญอย่างที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว สำหรับประเทศไทยเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คริสตังไทย เดือนนี้ก็ยังมีอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญเช่นกัน สำหรับบรรดาผู้อุทิศตนรับใช้พะเจ้าผ่านการถ่ายทอดพระวาจาของพระองค์สู่เยาวชนและเพื่อนพี่น้อง นั่นก็คือ ครูคำสอนนั่นเองครับ

16 ธันวาคมที่ผ่านมา พระศาสนจักรในประเทศไทยได้ประกาศให้เป็น “วันครูคำสอน” ซึ่งทุกๆปี ทางศูนย์คริสตศาสนธรรมกรุงเทพฯ หัวเรือใหญ่ในการจัดการสนับสนุนครูคำสอนและผลิตครูคำสอน ได้จัดโครงการแสวงบุญขึ้นเป็นประจำทุกปี
ปีนี้ก็อีกเช่นกัน ศูนย์คริสตศาสนธรรมกรุงเทพฯ ซึ่งอำนวยการจัดการโดยคุณพ่อเอกรัตน์ หัวหน้าแผนก ได้มองเห็นว่า การแสวงบุญปีนี้ควรจะมีความแตกต่างจากครั้งก่อนๆ เพื่อให้บรรดาครูคำสอนที่ร่วมแสวงบุญ ได้มองเห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของครูคำสอน เพื่อจะได้มีกำลังใจและทำหน้าที่ของตนให้ดียิ่งๆขึ้นไป จึงได้จัดโครงการแสวงบุญ ณ จังหวัดสุราษฏร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 13 – 15 ธันวาคม โดยมีครูคำสอนเข้าร่วมโครงการแสวงบุญในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ถึง 50 ท่าน ซึ่งแต่ละท่านได้ส่งจดหมายตอบรับร่วมแสวงบุญในครั้งนี้ตั้งแต่สองอาทิตย์แรก นับว่าการจัดโครงการในปีนี้ได้รับความประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
หลังจากผ่านการเดินทางจากอาสนวิหารกรุงเทพฯ สู่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ใช้เวลาในการเดินทางราว 10 ชั่วโมง เช้าตรู่คณะเดินทาง ได้เดินทางถึงบ้านชุมพาบาล ซึ่งเราได้รับการต้อนรับอย่างดี ด้วยอาหารเช้าที่อร่อยและมิตรภาพที่เป็นกันเองจากเจ้าหน้าที่ที่นั้น และ ณ ที่นี่เอง เราได้พบกับ คุณน้ำ ไกด์คริสตังใจดีของเรา และเมื่อทานอาหารเสร็จ จุดหมายต่อไปของคณะเดินทางก็คือ โบสถ์แม่พระอุปถัมภ์ และ อารามแม่พระแห่งปวงเทวา(ชีลับคณะภาคินีกลาริส กาปูชิน)
โบสถ์แม่พระอุปถัมภ์ถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะผสมระหว่างศิลปะไทยและศิลปะร่วมสมัย ภายในอาจจะไม่มีอะไรตกแต่งมากนัก แต่ต้องยอมรับเลยว่า โบสถ์นี้สามารถจุคนได้หลายร้อยคนแน่นอน แม้ว่าจะเป็นโบสถ์คาทอลิก แต่ด้วยการออกแบบที่ลงตัวของช่างนักออกแบบ ก็ทำให้เรารู้สึกถึงกลิ่นไอความเป็นวัดพุทธได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว จากนั้นเราเดินทางไปยังอาคารข้างๆ ซึ่งต้องขึ้นบันไดค่อนข้างหลายชั้น ทำเอาป้าครูคำสอนหลายท่านถึงกับต้องจับราวบันไดพยุงกันขึ้นไปเลยทีเดียว แต่ทุกคนก็ไม่ท้อ เพราะต่างตั้งใจที่จะได้เห็นบรรดาชีลับแห่งคณะกาปูชิน ว่าใช้ชีวิตอย่างไรในอารามแห่งนี้ โดยไม่ออกมาสัมผัสกับโลกภายนอกเลย
เมื่อถึงทางเข้าอาคาร ด้านนอกมีวัดน้อยอยู่ ทางคุณพ่อเอกรัตน์เห็นว่า เมื่อมีโอกาสมาถึงที่นี่แล้ว จะเป็นการดีหากเราได้ร่วมมิสซาที่นี่กันสักครั้งหนึ่ง เช้าวันนั้นจึงมีมิสซาโอกาสพิเศษ โดยมีคุณพ่อเอกรัตน์เป็นผู้ประกอบพิธีมิสซาดังกล่าว เมื่อจบพิธีมิสซา คณะเดินทางได้เข้าสู่เขตอาราม และพบปะกับคณะภาคินีกลาริส กาปูชิน ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 15 ท่าน หลายคนฝากคำภาวนา หลายคนถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ แต่ที่ผมพอทราบจากที่ครูคำสอนเล่าให้ฟังคือ ชีวิตอาราม แน่นอนเป็นชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยการภาวนา แต่ที่มากกว่านั้นคือการมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง เริ่มตั้งแต่ปลูกผักเพื่อนำมาทำเป็นอาหาร ไปจนถึงตัดผ้าเพื่อนำมาสวมใส่ เมื่อถามถึงรายได้ของทางคณะ คำตอบที่ได้คือไม่มีรายได้จากที่ไหนเลย ส่วนใหญ่มาจากการบริจาค
หลังจากสัมผัสกับแบบอย่างความศรัทธาของคณะภาคินีกลาริส กาปูชินแล้ว คณะของเรามุ่งหน้าสู่เขื่อนรัชชประภา ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงด้านธรรมชาติแห่งหนึ่งของจังหวัดสุราษฏร์ธานี จนได้รับการขนานนามว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย” นั่นเป็นเพราะสภาพธรณีวิทยาของเขื่อนรัชชประภา ประกอบด้วยภูเขาหินปูจำนวนมากที่มีลักษณะ เป็นทรงสูง ไม่พูนขึ้นเหมือนภูเขาทั่วไป ซึ่งคล้ายกับกุ้ยหลินของประเทศจีน และเมื่อเราได้ล่องเรือชมทัศนียภาพแล้ว ทำให้เรารู้สึกว่า สิ่งสร้างของพระเจ้า ช่างสวยงามและยิ่งใหญ่อย่างไม่มีที่ติจริงๆ
และเมื่อกลับสู่ฝั่งดวงอาทิตย์ก็ใกล้จะลับฟ้าพอดี ทางคณะแสวงบุญของเราเดินทางเข้าที่พักซึ่งตั้งอยู่บนสันเขื่อน โอบล้อมไปด้วยน้ำและภูเขา พอตกเย็นเราก็รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
วันต่อมา 15 ธันวาคม วันสุดท้ายของการแสวงคุณประจำปี 2013 เราออกจากที่พัก ทางอาหารเช้า และออกเดินทางสู่จุดหมายหลักของการแสวงบุญในครั้งนี้ นั่นคือ อาสนวิหารอัครเทวดาราฟาแอล ซึ่งทางคุณพ่อเจ้าวัดได้บอกกับเราว่า อาสนวิหารแห่งนี้เป็นอาสนวิหารที่ใหม่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นอาคารก่อสร้างที่มีความสูงติดหนึ่งในสามของจังหวัดสุราษฏร์ธานี จึงทำให้ศาสนสถานแห่งนี้กลายเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศ วิหารของพระเจ้า สไตล์รูปแบบการสร้างแนวศิลปะศรีวิชัย ผสมกับศิลปะร่วมสมัย ทำให้ภายในอาสนวิหารแห่งนี้ ยิ่งใหญ่และอลังการมาก ความกว้างของอาสนวิหารแห่งนี้ จุดคนได้มากถึงห้าร้อยคน และยังมีห้องที่จัดทำไว้สำหรับเด็กๆ เหมือนกับที่ต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เสียงรบกวนผู้ที่กำลังร่วมพิธีมิสซา นับได้ว่า อาสนวิหารอัครเทวดาราฟาแอล จังหวัดสุราษฏร์ธานีแห่งนี้ เป็นอาสนวิหารที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้
และแน่นอนที่สุด มาไกลจากกรุงเทพฯถึงอาสนวิหารอัครเทวดาราฟาแอล จังหวัดสุราษฏร์ธานีทั้งที เราไม่พลาดที่จะขอบพระคุณพระเจ้า ผ่านทางพิธีมิสซาขอบพระคุณอย่างแน่นอน ทั้งนี้ มีคุณพ่อเอกรัตน์ เป็นผู้ประกอบพิธีมิสซาของพระคุณ คณะผู้แสวงบุญได้รวบรวมเงินบริจาค และขอมิสซา เพื่อช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอาสนวิหาร เพราะเท่าที่ทราบมา แม้ว่าตอนนี้อาสนวิหารจะออกมาเป็นรูปร่างสวยงามอย่างที่เห็นกันแล้ว แต่ก็ยังค้างเงินค่าก่อสร้างอยู่ค่อนข้างมากเหมือนกัน ดังนั้นหากพี่น้องท่านใด อยากจะร่วมกับทางอาสนวิหาร สร้างวิหารเพื่อสรรเสริญพระเจ้าของเราก็บริจาคกันเข้ามาได้นะครับ
หลังจากเยี่ยมชมอาสนวิหารเสร็จแล้ว ทางคณะของเรา ก็เตรียมตัวที่จะเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยก่อนออกเดินทางไกล เราแวะทานอาหารกลางวันกันที่ร้านซุ้มกระดังงา ซึ่งที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำยาปู และต้องขอบอกว่า ของเขาดีจริงๆ สุดท้ายก่อนกลับ ทางคณะได้กล่าวขอบคุณไกด์ของเรา คุณน้ำที่อยู่กับเราตลอดระยะเวลาการแสวงบุญของพวกเรา และมอบของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆให้ จากนั้นเราจึงมุ่งหน้ากลับสู่ กรุงเทพฯ และถึงที่หมายโดยสวัสดิ์ภาพ

วิธีการเซฟภาพให้ได้ขนาดใหญ่เท่าของจริงที่ปรากฎบนจอภาพเมื่อเวลาเรียกดูภาพ
1. เมื่อท่านเจอภาพเล็กที่ต้องการ ให้คลิ๊กขวา และเลือกเปิดลิงค์ในหน้าต่างใหม่ (open in new tab)
2. เรียกดูหน้าต่างใหม่ ท่านก็จะเห็นภาพขนาดใหญ่
3. คลิ๊กขวาที่ภาพ และเลือกบันทึกรูปเป็น (save as)