แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

0ec56fceeb270b5c6e04f89c14d80dfaทำไมมนุษย์ต้องมีศีลธรรม
    มนุษย์มีสติปัญญาเข้าใจหลักเหตุผลและธรรมชาติความเป็นอยู่ของสิ่งต่าง ๆ มนุษย์มีอำเภอใจ สามารถเลือกได้และตกลงใจจะทำอะไรตามที่เขาชอบหรือเห็นว่าถูก การที่มนุษย์มีสติปัญญาและมีอำเภอใจนั้นทำให้คนเราสามารถมีเสรีภาพ คือในบางสิ่งบางอย่างเราสามารถตกลงใจเอง เพื่อจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามที่เราต้องการหรือเห็นชอบ จริงอยู่มนุษย์ไม่มีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ บางสิ่งบางอย่างทำไม่ได้ หรือบางครั้งไม่เข้าใจสาเหตุและธรรมชาติอย่างถูกต้อง แต่ในความประพฤติของมนุษย์ เรารู้ได้อย่างแน่นอนว่าบางสิ่งเราอาจเลือกได้และทำตามที่เราตั้งใจ ในเมื่อเราทำตามที่ได้ตั้งใจแล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้น เสรีภาพอย่างสมบูรณ์ที่แท้จริงเป็นเสรีภาพของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง และมีอำนาจปราศจากขอบเขต ดังนั้น พระองค์ไม่ผิดพลาดและจะทำแต่สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น มนุษย์มีเสรีภาพบ้างเช่นกัน แต่อาจจะทำอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง การที่มนุษย์ทำผิดแสดงว่าไม่มีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ แต่แสดงว่ามนุษย์มีน้ำใจที่ไม่ดีเลิศและมีความเข้าใจที่ไม่เพียงพอ

กฎศีลธรรมมาจากไหน
    เพื่อจะรู้จักว่ากิจการของมนุษย์เป็นกิจการที่ดีที่เหมาะสมหรือไม่ มนุษย์ต้องรู้จักกฎข้อบังคับที่เขาเองต้องปฏิบัติ กฎข้อบังคับอย่างนั้นมาจากไหน ใครมีสิทธิ์ที่จะสั่งมนุษย์ปฏิบัติตามกฎนั้น มนุษย์รู้จักกฎบังคับนี้ได้อย่างไร มีหลักการอะไรบ้าง ใครจะช่วยคนที่ไม่มีการศึกษาเพียงพอเพื่อให้เขารู้ว่าเขาต้องประพฤติอย่างไร

ปัญหาทั้งหมดเหล่านี้มีคำตอบในคำสอนของพระคริสต์ศาสนา
    อันดับแรก เหตุใดจึงมีกฎบัญญัติบังคับให้มนุษย์ประพฤติตาม ธรรมชาติของมนุษย์มีขอบเขต ดังนั้น ไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าทำอะไรที่ผิดธรรมชาติของตนจะทำให้ตัวเองได้รับความเสียหาย และไม่สามารถไปสู่เป้าหมายแห่งความเป็นอยู่ตามธรรมชาติของตน
    มนุษย์ควรจะเข้าใจว่า ความประพฤติที่ถูกต้องนั้นคือความประพฤติตามธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์จึงควรเข้าใจเองได้ แต่เนื่องด้วยมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจกฎศีลธรรมในอย่างถ่องแท้และรวดเร็ว พระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณามาช่วยมนุษย์ให้เข้าใจ เพื่อจะให้มนุษย์สามารถเจริญชีวิตอย่างเหมาะสม เราคริสตชนแน่ใจว่าพระคริสต์ศาสนาได้รับความรู้ที่มาจากพระเจ้าอย่างครบถ้วนจากคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า
    ทุกสิ่งในธรรมชาติต้องใช้ตามหลักธรรมชาติของมัน ถ้าใช้โดยผิดธรรมชาติจะมีความเสียหาย เช่น สมมุติว่าช่างไฟฟ้าคนหนึ่งสร้างเครื่องมอเตอร์ชนิดหนึ่ง เพื่อจะใช้กับไฟฟ้า 110 โวลต์ ให้กำลังไฟ 1 แรงม้า เมื่อเครื่องนั้นทำสำเร็จแล้ว ธรรมชาติของมันไม่สามารถใช้ได้กับไฟฟ้า 220 โวลต์ ถ้าใช้แล้วจะเกิดความเสียหาย จะให้กำลังมากกว่า 1 แรงม้า ก็ไม่ได้ ถ้าไม่ต้องการให้เครื่องนั้นเสีย หากว่าช่างคนนั้นต้องการใช้เครื่องมือนั้นด้วยไฟฟ้า 220 โวลต์ ก็ต้องเปลี่ยนสายพานของมันเสียก่อนจึงจะเหมาะสมเพื่อใช้กับไฟฟ้า 220 โวลต์ แต่นี่เท่ากับเป็นการเปลี่ยนธรรมชาติของเครื่องนั้นเสียแล้ว
    ถ้าเปรียบเทียบกับมนุษย์ก็เช่นกัน พระเจ้าทรงสร้างธรรมชาติของมนุษย์เหมือนกับพระองค์ พระองค์ทรงเป็นนายช่างใหญ่ ในเมื่อสร้างมนุษย์แล้วก็ต้องการให้มนุษย์ไปสู่เป้าหมายของตนโดยชอบธรรม ถ้าจะให้เป็นอย่างนั้น มนุษย์ก็ต้องถือตามกฎธรรมชาติของเขา พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถสั่งและเปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาติของมนุษย์ได้ มนุษย์ทุกสมัยได้พยายามเข้าใจกฎศีลธรรมของธรรมชาติ แต่เนื่องจากไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่และยังใช้เสรีภาพไม่ถูกต้องโดยการทำบาป ความเข้าใจของมนุษย์ยังมืดมัว เขาจึงไม่สามารถรู้ว่าต้องประพฤติอย่างไร การไม่รู้นั้นอันดับแรกมาจากการไม่เข้าใจเป้าหมายของชีวิตนั่นเอง ถ้าเปรียบเทียบกับเครื่อง เราก็เข้าใจได้ว่าเครื่องนั้นจะใช้ไม่ถูกแน่ ในเมื่อไม่รู้ว่าเครื่องนั้นสร้างเพื่ออะไร และหากว่าไม่มีคู่มือวิธีใช้ก็จะใช้ถูกบ้างผิดบ้าง ในที่สุดเครื่องนั้นอาจจะเสียหรือจะไม่ได้ผลตามจุดประสงค์ มนุษย์เราก็เช่นเดียวกัน อันดับแรกต้องรู้ว่ามนุษย์เรามีความเป็นอยู่และมีชีวิตทำไม คือรู้เป้าหมายชีวิตของมนุษย์ ต้องพยายามรู้จักน้ำพระทัยของผู้สร้างเรามา คือพระเจ้ามีพระประสงค์อะไรในการสร้างมนุษย์ ตลอดเวลาที่เราไม่รู้ข้อนี้ ก็ไม่มีหวังที่จะถือศีลธรรมและใช้ชีวิตของตนอย่างถูกต้องได้
    ปรากฏว่าหลังจากที่มนุษย์เราได้ทำบาปและสติปัญญามืดมัวแล้ว เราไม่สามารถเข้าใจอย่างชัดแจ้งในข้อนี้ มีคำแนะนำหลายข้อที่นักปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลายได้อธิบายประวัติศาสตร์ที่ได้อธิบายเป้าหมาย และความประพฤติของมนุษย์ถูกบ้าง ผิดบ้าง หลายครั้งสอนไม่ตรงกันหรือตรงกันข้าม ดังนั้น บางครั้งมนุษย์ไม่แน่ใจว่าต้องเชื่อใคร หรือต้องทำตามคำแนะนำของใคร
    ถ้านำมาเปรียบเทียบกับเครื่องก็จะช่วยให้เราเข้าใจอีกที สมมุติว่า เราซื้อรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง เพื่อจะใช้รถนั้นอย่างถูกต้อง ควรจะอ่านคำแนะนำของบริษัทซึ่งไว้ในหนังสือคู่มือที่ให้พร้อมกับรถจักรยานยนต์ แต่หากว่าหนังสือคู่มือนั้นไม่มี เราดูเครื่องและพยายามเดาว่าจะต้องใช้น้ำมันชนิดไหน ควรเป็นน้ำมันเบนซินหรือน้ำมันโซล่า เบนซินธรรมดาหรือเบนซินซุปเปอร์ น้ำมันเครื่องต้องใช้ชนิดไหน เบอร์เท่าไร ต้องเปลี่ยนทุกกี่ชั่วโมงหรือหลังจากวิ่งเป็นระยะเวลาทางกี่กิโลเมตรแล้ว เริ่มต้นจะสามารถวิ่งเต็มที่ได้หรือไม่ หรือต้องการรันนิ่ง-อินเครื่องนานเท่าไร ลูกปืนจะต้องใช้จารบีชนิดไหน เป็นต้น หากว่าช่างไม่รู้จักเครื่องมือนั้นดีพอ เมื่อปราศจากคู่มือก็ไม่สามารถแนะนำให้ทุกอย่าง จะบอกถูกบ้าง ผิดบ้าง ก็เลยไม่สามารถจะแนะนำวิธีใช้เครื่องนั้นให้ถูกต้อง ศีลธรรมของมนุษย์ที่ไม่รู้จักคำสอนของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน มันจะเป็นการเดาหรือพยายามเข้าใจ ดังนั้นจะถูกบ้างผิดบ้าง
    เราอยู่ในประเทศไทย และคำสอนที่รู้จักกันทั่วไปเป็นของคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเห็นได้ชัดว่า พระพุทธองค์ได้พยายามสุดความสามารถที่จะเข้าใจเป้าหมายของชีวิตมนุษย์ เพราะพระองค์ยังสงสัยว่าทำไมมนุษย์จึงต้องมีความทุกข์ พยายามศึกษาหาความรู้ว่าชีวิตมนุษย์มีความหมายอะไร ทำไมมนุษย์เรามีความยากลำบาก ตั้งแต่นักปราชญ์สมัยพระองค์ และในที่สุดเมื่อไม่ได้คำตอบที่พอพระทัยจึงได้พยายามคิดเอง จนในที่สุด ตรัสรู้เข้าใจความหมายของทุกข์และวิธีพ้นทุกข์ พระองค์ได้อธิบายว่า เราจะพ้นกฎกรรมนี้เฉพาะในเมื่อได้ทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ทิ้งบาป แปลว่า มนุษย์เราต้องมีความทุกข์เวทนาเป็นผลของบาป และจะพ้นกฎกรรมนี้ได้เฉพาะในเมื่อได้ดับความปรารถนาต่าง ๆ จึงจะพ้นกรรมและถึงนิพพาน
    พระพุทธองค์จึงได้สอนประกาศศีลธรรมอย่างถูกต้อง คำสอนนี้ตรงกับคำสอนของพระคริสต์ศาสนาที่สอนว่า ความทุกข์และความตายเข้ามาในโลกเพราะบาป ตามที่เราอ่านในพระคัมภีร์ และเราสร้างความสุขแท้สำหรับเราเองได้โดยทำดีหนีชั่วจึงจะถึงนิพพาน ศีลธรรมจะต้องช่วยให้มนุษย์ไปสู่เป้าหมายชีวิตของตน เพื่อจะถึงเป้าหมายนั้นก็ต้องรักษาธรรมชาติมนุษย์ โดยพยายามใช้กำลังและฤทธิ์ของตนเพื่อจะได้ผลสำเร็จ สำหรับคริสตชนที่รู้จักพระเจ้าและเป้าหมายชีวิต ศีลธรรมมีหลักในพระวาจาของพระเจ้า ซึ่งให้มนุษย์รู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ในการสร้างมนุษย์และวิธีการที่จะช่วยมนุษย์ให้สำเร็จตามพระประสงค์ การที่มนุษย์จะไปสู่เป้าหมายชีวิตนั้นเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มนุษย์มีความสุขแท้จริง ถ้ามนุษย์หาความสุขโดยวิธีอื่นจะเป็นการหลอกตัวเอง ทำให้บังเกิดความทุกข์และบาป สิ่งสำคัญที่พยายามเข้าใจในคำสอนของพระคริสต์ศาสนา คือมนุษย์ไม่สามารถประพฤติโดยปราศจากความช่วยเหลือจากพระเจ้า

 

ที่มา: หนังสือความสว่างที่แท้จริง ซึ่งนำไปสู่ความรอด เล่ม 3