แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ศีลเจิมคนไข้
    พระเยซูคริสตเจ้าทรงตังศีลเจิมคนไข้ขึ้นจากน้ำพระทัยดีของพระองค์ที่ทรงรักและปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากอันตรายฝ่ายวิญญาณ คือ ทำให้หลุดพ้นจากบาป    อีกทั้งยังมีฤทธิ์อำนาจที่จะบันดาลให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดีขึ้น    และมีสติกำลังในการต่อสู้กับความอ่อนแอของตนได้
สมัยก่อนเราเรียกศีลนี้ว่า “ศีลทาสุดท้าย” แต่ดูเหมือนชื่อนี้จะทำให้ผู้คนไม่ค่อยอยากจะรับศีลนี้เท่าไหร่ เพราะคิดว่า “ใครจะรับศีลนี้แล้วจะต้องตาย” เพราะเป็นเพราะเป็นการเจิมการทาครั้งสุดท้ายนั่นเอง ภายหลังจึงใช้ชื่อเสียใหม่ว่า ศีลเจิมคนไข้ หรือ ศีลเจิมคนป่วย
    ตามปกติผู้ที่จะรับศีลนี้ คือ ผู้ป่วยที่อยู่ในอันตรายว่าจะเสียชีวิต คือ ผู้ป่วยหนัก    คราวนี้ก็เกิดคำถามว่า “หนักแค่ไหน”    คำตอบก็คือยังมีความรู้สึกมีสติอยู่ มิใช่เข้าขั้นตรีทูตเพราะจะได้สามารถรับศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิทได้ บางครั้งในบางกรณีแม้ไม่ได้ป่วยไข้ก็สามารถรับศีลนี้ได้เหมือนกัน เช่น ในกรณีของผู้สูงอายุ    จึงมีหลายแห่งนิยมโปรดศีลเจิมฯ แก่บรรดาผู้อาวุโสในโอกาสสำคัญ เช่น วันผู้สูงอายุ หรือ ในกรณีของการผ่าตัดใหญ่ต้องวางยาสลบ    ถ้าเป็นไปได้ก็รับศีลเจิมฯ ก่อนก็ดี    หรือบางครั้งก่อนการเดินทางที่อาจเกิดอันตราย หรือ ก่อนไปทำศึกสงคราม เห็นต้น
    ดังนั้น เราต้องรู้ว่า เมื่อมีคริสตชนคนใดที่อยู่ในอันตรายดังกล่าว เช่น ญาติพี่น้อง หรือ คนใกล้ชิดกับเรา หรือ คนที่เรารู้จัก    เราต้องรีบไปติดต่อขอพระสงฆ์ที่ใกล้ที่สุดให้มาโปรดศีลเจิมฯ แก่เขาโดยเร็วที่สุด    โดยๆไม่ต้องเกรงใจพระสงฆ์ เพราะเป็นหน้าที่อันดับแรกและสำคัญที่สุดที่พระสงฆ์ต้องกระทำไม่ว่าเวลาใดก็ตาม เรียกว่าต้องบริการ 24 ชั่วโมงและไม่ว่าจะเป็นที่โรงพยาบาล ที่บ้าน ฯลฯ
    อย่างไรก็ตาม ต้องดูก่อนว่าคนที่จะรับศีลนี้อยู่ในอาการป่วยหนัง หรือ อยู่ในอันตรายจะเสียชีวิต มิใช่เป็นหวัดนิดหน่อย เป็นไข้ตัวร้อน ปวดท้องนิดหน่อย ยังไม่ถึงขั้นหาหมอเลย ก็ตามพระสงฆ์มาโปรดศีลเจิมฯ เสียแล้ว    อย่างนี้ก็ยุ่ง พระสงฆ์คงไม่ต้องทำอย่างอื่นกันแน่ๆ
    เมื่อเราไปเชิญพระสงฆ์มาโปรดศีลเจิมฯ สิ่งที่เราต้องทำ คือ ต้องเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อยด้วย เช่น จัดโต๊ะปูผ้าขาวมีเทียนมีกางเขนตั้งไว้ และเตือนคนไข้ให้เตรียมตัวด้วยการสวดภาวนา เพื่อรับศีลศักดิ์สิทธิ์        และที่สำคัญต้องแจ้งให้พระสงฆ์ทราบด้วยว่าคนไข้สามารถรับศีลมหาสนิทได้หรือไม่ เพื่อพระสงฆ์จะได้เชิญศีลมหาสนิทมาด้วย    ถ้าคนไข้สามารถรับศีลมหาสนิทได้ บางรายไม่แจ้งพระสงฆ์ให้ทราบเลยไม่ได้รับศีลมหาสนิท หรือ บางรายพระสงฆ์เชิญศีลมหาสนิทไปด้วย แต่ปรากฏว่าคนไข้รับไม่ได้ เนื่องจากมีสายออกซิเจน สายอาหาร เสียบไว้เต็มปากเต็มคอไปหมด...
    สาระสำคัญของศีลเจิมคนไข้ ก็คือ การที่พระสงฆ์เจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ คือ น้ำมันสำหรับผู้ป่วยที่เสกในวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์บนหน้าผากและมือทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับสวดภาวนาว่า “อาศัยการเจิมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ และอาศัยพระเมตตาอันล้นพ้นของพระเจ้า ขอพระองค์ทรงช่วยท่านด้วยพระหรรษทานของพระจิต ช่วยท่านให้พ้นบาปอีกทั้งบรรเทาและช่วยท่านให้รอด” ผู้ที่โปรดศีลเจิมคนป่วยได้จะต้องเป็นพระสงฆ์เท่านั้น
    ขณะที่พระสงฆ์กำลังโปรดศีลแก่ผู้ป่วยนั้น บรรดาญาติพี่น้องและทุกคนที่อยู่ที่นั่นควรที่จะร่วมในพิธีสวดภาวนาร่วมกันเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยได้รับศีลเจิมอย่างดี    มิใช่ปล่อยให้พระสงฆ์กระทำพิธีอยู่คนเดียว แม้บางครั้งมีญาติพี่น้องที่มิใช่คริสตชนก็พึงที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจความหมายของศีลเจิมฯ ด้วย เพื่อที่เขาจะสามารถร่วมจิตใจได้ในระดับหนึ่ง
    พึงตระหนักว่า ศีลเจิมคนไข้ เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์หนึ่งในเจ็ดประการที่สำคัญสำหรับคริสตชน สามารถรับศีลได้หลายครั้งตามความจำเป็น    ฤทธิ์อำนาจหรือพระพรจากศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้สามารถช่วยทั้งวิญญาณให้ปราศจากบาปและช่วยร่างกายให้มีกำลังในการต่อสู้กับความเจ็บป่วย และสามารถทำให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ถ้าพระองค์ทรงพอพระทัย
    ในกรณีที่คนไข้หมดสติไปแล้ว ก็ควรที่จะรีบเชิญพระสงฆ์มาโปรดศีลเจิมฯ โดยด่วน เพราะเขาอาจจะมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ก็ได้ พระสงฆ์จะโปรดศีลให้ทันที ภายใต้เงื่อนไขว่า ถ้าหากเขายังสามารถรับรู้ได้ว่าพระสงฆ์กำลังโปรดศีลให้ เพราะเป็นไปได้ว่า บางครั้งเขาอาจจะได้ยินเราพูดเราสวดภาวนา    ดังนั้น การเฝ้าอยู่กับคนป่วย ขณะที่เขาเข้าตรีทูตและสวดภาวนาเสียงดัง เพื่อเขาได้ยินหรือ รู้จักกันในสมัยก่อนว่า “เรียกพระ” คือ จะมีคนหนึ่งบอกเขาอยู่ข้างๆ หูให้คิดถึงพระคิดถึงแม่พระ ฯลฯ เพราะเชื่อกันว่าเป็นการเตือนสติให้คนไข้คิดถึงพระ และสิ้นใจในศีลในพรของพระเจ้า