บทที่ 6 จะแต่งงานอายุเท่าไหร่ดี


1 original    เรื่องนี้ไม่สามารถจะชี้ชัดลงไปได้ แต่โดยทั่วๆ ไปแล้ว เขาถือกันว่าให้บรรลุนิติภาวะเสียก่อน คือ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป    เนื่องจากการแต่งงานเป็นครอบครัว เป็นสามี-ภรรยา และต่อไปจะเป็นบิดา-มารดานั้น ต้องมีความรับผิดชอบ มีภาระสำคัญหลายประการ ภาษาชาวบ้านจึงบอกว่าต้องเป็นผู้ใหญ่เสียก่อน หรือ ถ้าหากมีความจำเป็นต้องแต่งงานกันจริงๆ ก็จะต้องมีพ่อแม่ผู้ปกครองรับรองเสมอ
    ด้วยเหตุนี้พระศาสนจักรจึงไม่แนะนำให้แต่งงานในขณะที่ยังอยู่ในวัยรุ่นหรือยังขาดวุฒิภาวะของความรับผิดชอบ    เช่น คนปัญญาอ่อน หรือ คนสติไม่ดี ส่วนคนพิการทางร่างกายมีสติสัมปชัญญะดีอยู่นั้นสามารถแต่งงานได้ แม้จะไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ก็ตาม เพราะการแต่งงานมิใช่เรื่องของการมีเพศสัมพันธ์อย่างเดียว หากแต่มีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ความรัก การดูแลกันและกัน เป็นต้น

    ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะรอให้อายุครบหรือเลยเบญจเพสไปก่อน คือเลย 25 ปีไปแล้ว     เพราะเรียนจบแล้ว มีงานการทำ มีรายได้เป็นของตนเองแล้ว เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่พอสมควรแล้ว
    อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่ามีหนุ่ม-สาวจำนวนมากที่ยังคิดว่าไม่พร้อมที่จะแต่งงานด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ยังหาคู่ไม่เจอ ยังไม่มีเงิน ยังไม่แน่ใจขอดูกันไปก่อน ฯลฯ
    คนที่บอกว่า “ยังหาคู่ไม่เจอ” มักจะถูกย้อนถามต่อเสมอว่า “เลือกมากไปหรือเปล่า?” ความจริงก็น่าคิดเหมือนกันว่า จริงๆ แล้วเป็นอย่างเขาว่าคือเลือกมากหรือเปล่า ตั้งสเปกไว้สูงเกินไปหรือไม่ เช่น ต้องหล่อ สวย รวย ฉลาด เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ เรียบร้อย ไม่เที่ยว ไม่ปากจัด สุภาพอ่อนหวาน เป็นแม่ศรีเรือน ทำอาหารได้ ฯลฯ    ถ้าเป็นอย่างนี้คิดว่าชาตินี้อย่าแต่งงานจะดีกว่า เพราะเราจะไม่มีทางหาบุคคลที่ตรงสเปกได้อย่างแน่นอน    เพราะคนเราจะต้องมีข้อบกพร่องอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ประเภทสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์คงไม่มี ไม่ต้องดูอื่นไกล หันมาดูตัวเองก็พอ เราจะพบเห็นข้อบกพร่องของเราอยู่เหมือนกัน
    ที่สุดอยากจะบอกว่า เมื่อเราพบคนที่ดีพอจะไปด้วยกันได้ พูดกันรู้เรื่องเข้าใจกันได้ ยอมรับข้อบกพร่องของกันและกันได้ ก็น่าจะตัดสินใจได้ ที่สำคัญต้องมีความรักเป็นพื้นฐานให้ได้เท่านั้นเอง
    มีเหมือนกันที่ถามว่าทำไมถึงเลือกแต่งงานกับคนนี้...บางคนตอบแบบทีเล่นทีจริงว่า เพราะคิดว่าเป็น “รถไฟขบวนสุดท้าย”    ทำนองว่า ถ้าไม่ขึ้นรถไฟก็เป็นอันว่าตกรถอย่างแน่นอน ซึ่งลึกๆ แล้ว คงไม่ใช่ สาเหตุที่แท้จริงก็คงมาจากความรักนั่นเอง
    ส่วนคนที่บอกว่ายังไม่มีเงิน ความหมายก็คือยังขาดปัจจัยที่ใช้ในการดำรงชีวิต เช่น  คิดว่าต้องมีบ้านช่องห้องหอเสียก่อน ต้องมีทุนรอนในการดำเนินชีวิต ต้องไม่มีหนี้สิน มีเงินเก็บ ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในอนาคตว่าจะไม่เดือดร้อน
    ความคิดเช่นนี้ต้องบอกว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องดีน่าชม แต่อย่างไรก็ตามต้องดูความเป็นจริงด้วยเหมือนกันว่า จะสามารถเป็นอย่างที่คิดได้มากน้อยแค่ไหน... มีคู่แต่งงานหลายคู่และน่าจะส่วนมากด้วยซ้ำไปที่แต่งงานมีครอบครัวและค่อยๆ ช่วยกันก่อร่างสร้างความมั่นคงขึ้น ช่วยกันผ่อนบ้านผ่อนรถ ช่วยกันใช้หนี้สิน จนในที่สุดก็เกิดความมั่นคง ร่ำรวยขึ้น ด้วยการช่วยกันทำมาหากิน (แต่พอดี) หาเก็บ (ออม)    ซึ่งก่อให้เกิดความรักความเข้าใจร่วมทุกข์ร่วมสุข รักกันมากขึ้นด้วยซ้ำไป แต่ก็มิได้หมายความว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ    เพียงแค่ไม่เป็นไร แต่งงานแล้วไปตายเอาดาบหน้า อย่างนี้ ในสมัยนี้น่ากลัวว่าจะตายจริงๆ     จึงคิดว่าอย่าน้อยก็น่าจะมีทุนสำรองสักนิดหน่อย และอย่าไปคิดจัดงานจนเกินตัว แต่งงานเสร็จต้องตามใช้หนี้เขาอีกเยอะแยะ
    อีกเหตุผลที่บอกว่า “ยังไม่แน่ใจขอดูกันไปก่อน” คือ พอมีเค้าแล้วว่าเนื้อคู่จะมา แต่ก็ยังสองจิตสองใจ พูดง่ายๆ คือ ยังไม่แน่ใจ ความคิดที่บอกว่าดูกันไปก่อน คบกันไปก่อน อย่างนี้ถือว่าถูกต้อง ศึกษานิสัยใจคอกันไปดีๆ แต่ต้องตกลงกันแต่แรก บอกกันให้รู้ว่าคบกันเป็นเพื่อนไปก่อน ให้เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย อย่าไปให้คำมั่นสัญญาอะไรมากมาย จนกลายเป็นข้อผูกมัดให้ความหวังจนเกินไป เพราะจะทำให้ต้องเจ็บปวดทีหลัง หากไม่ได้แต่งงานกัน หรือ ที่เขาเรียกว่า “อกหักจนแหลกสลาย”
    ในประเด็นการดูใจกันนี้มิได้หมายถึง “การทดลองไปอยู่กินด้วยกัน” เพราะการไปอยู่กันด้วยกัน คือ การมีความสัมพันธ์เป็นสามี-ภรรยาก่อนแต่งงานนี้ พระศาสนจักรถือเป็นความผิดกระทำไม่ได้    การแต่งงานมันไม่ใช่การทำงานที่เขามีการ “ทดลองงาน” ถ้าไม่ผ่านการทดลองงานเขาก็จะไม่บรรจุให้ทำงาน การแต่งงานหรือชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องความรัก ซึ่งอยู่เหนือธรรมชาติเป็นเรื่องที่พระเป็นเจ้าทรงโปรดให้เป็นไป
    อย่างไรก็ตามในเรื่องการแต่งงานนี้ เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนว่าจะมีครอบครัวหรือไม่ บางคนเขาอาจจะเลือกอยู่เป็นโสดตลอดไปไม่แต่งงาน เขาเป็นคนดีของสังคมทำงานให้สังคมได้ อย่าไปมองว่า คนนี้แย่ขึ้นคาน    ไม่มีใครสนใจหรือผิดปกติ หลายคนชอบพูดว่า “ไม่แต่งงานก็ไปบวชซะ” ซึ่งรู้สึกว่าความคิดจะแคบไปหน่อย สำคัญ คือ จะโสด จะแต่งงาน ก็ขอให้เป็นคนดีมีศักดิ์ศรีเป็นผู้ทำให้สังคมดีขึ้น นั่นแหละสำคัญที่สุด