ประกาศก (Prophet)

prophetเนื่องจากชาวอิสราเอลมีโลกทัศน์ที่เป็นเอกภาพ เชื่อมโยงทุกแง่มุมของชีวิตกับความเชื่อในพระเจ้า จึงเป็นการยากที่จะแยกเรื่องศาสนาจากเรื่องการเมือง  เรื่องเศรษฐกิจจากเรื่องสังคมและวัฒนธรรม  บัญญัติ  10  ประการและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ  ที่ได้รับการตราขึ้นมาตั้งแต่สมัยโมเสส  เป็นแนวทางแห่งการดำเนินชีวิต โดยไม่มีการแยกว่าอะไรเป็นกฎทางศาสนา  อะไรเป็นกฎทางสังคม  กระนั้นก็ดี  สมาชิกในสังคมต่างก็มีบทบาทที่แตกต่างกันไป มีบุคคลสามประเภทซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการอบรม สั่งสอน ตักเตือนและให้การศึกษาชาวอิสราเอล  คือ พระสงฆ์  ประกาศกและนักปราชญ์ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องศาสนา สังคมหรือการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องส่วนรวม  คำพูดและกิจกรรมของบุคคลเหล่านี้จะมีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อในพระเจ้าและบัญญัติของพระองค์  ในที่นี้จะกล่าวถึงประกาศกเท่านั้น เพราะมีความสำคัญมากที่สุดในความเชื่อของชาวคริสต์  เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระเยซูโดยตรง

โดยทั่วไปมักเข้าใจว่า Prophet หมายถึง ผู้พยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า ซึ่งก็ไม่ผิดเสียเลยทีเดียว แต่ในประวัติศาสตร์แห่งความรอด  Prophet  มีหน้าที่มากกว่านั้น  ท่านเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพระเจ้า ทำหน้าที่ประกาศสิ่งที่พระเจ้าต้องการ  สั่งสอนและตักเตือนให้ชาวอิสราเอลซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงน่าจะแปลว่า “ประกาศก”  ซึ่งประกาศสาสน์จากพระเจ้าทั้งที่เกี่ยวกับอดีต ปัจจุบันและอนาคต  ด้วยเหตุนี้  ประกาศกหลายท่านจึงได้  “พยากรณ์”  เหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

ในความหมายที่กว้าง ประกาศกองค์แรกคืออับราฮัม   เพราะท่านก็เป็นผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้า เป็นผู้ใกล้ชิดและรับทราบถึงรหัสธรรมของพระเจ้า  และพระเจ้าก็ทรงรับฟังคำอธิษฐานของท่าน  ทั้งหมดนี้ก็เป็นคุณลักษณะสำคัญของประกาศก  ต่อไปก็คือโมเสส  ซึ่งได้รับการยกย่องหลังจากได้ถึงแก่มรณกรรมว่า  “ตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยมีประกาศกคนใดเกิดขึ้นในอิสราเอลเหมือนโมเสส ที่พระยาห์เวห์ทรงรู้จักเป็นการส่วนตัว”  (ฉธบ 34:10)  นอกจากนี้ยังมีประกาศกอีกบางองค์ในยุคผู้วินิจฉัย  ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเท่าใดนัก

ประกาศกในความหมายที่แคบเกิดขึ้นในยุคที่มีการปกครองโดยกษัตริย์  เริ่มจากซามูแอลซึ่งเป็นผู้นำคนสุดท้ายของผู้วินิจฉัย  และเป็นประกาศกในยุคของกษัตริย์ซาอูลและดาวิด  ประชากรอิสราเอลต่างก็ยอมรับหน้าที่และบทบาทของประกาศกซามูแอล  “ซามูแอลเติบโตขึ้นและพระเจ้าทรงสถิตกับท่าน  มิให้วาจาของท่านตกไปเปล่าแต่คำเดียว  ตั้งแต่คนดานถึงเบเออร์เชบาก็ทราบว่าซามูแอลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า”  (1ซมอ 3:19-20)

นับแต่ซามูแอลซึ่งมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 11  จนถึงศตวรรษที่  8  มีประกาศกอีกมากมาย  แต่ที่สำคัญและได้รับการกล่าวถึงคือนาธาน  ผู้กล่าวเตือนสติดาวิดในความผิดของตน   และเป็นผู้ให้คำปรึกษากับดาวิดในเรื่องต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับศาสนา การเมืองและสังคม

ระหว่างศตวรรษที่ 8 ถึงศตวรรษที่ 5 ถือได้ว่าเป็นยุคคลาสสิกของประกาศก เพราะมีข้อเขียนหรือหนังสือที่เกี่ยวกับคำสั่งสอนของท่านเหล่านี้  นับได้  16  องค์ โดยแบ่งออกเป็น  2 กลุ่ม กลุ่มแรกเรียกว่าองค์ใหญ่  มีอยู่  4 องค์คือ  อิสยาห์  เยเรมีย์  เอเสเคียลและดาเนียล  กลุ่มที่สองเรียกว่าองค์เล็ก  มีอยู่  12  องค์  คือ  อาโมส  มิคาห์  โฮเชยา  เศฟันยาห์  ฮะบากุก  นาฮูม  โยเอล  โอบาดี ฮักกัย  โยนาห์  เศคาริยาห์  มาลาคี
ประกาศกทุกองค์จะได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า  โดยมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง  ดังกรณีของซามูแอลเมื่อแรกเริ่มทำหน้าที่ประกาศก “แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าจะมาสิงสถิตกับท่านอย่างมากและท่านจะเผยพระวจนะกับคนเหล่านั้น เปลี่ยนเป็นคนละคน  เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้เกิดแก่ท่านแล้ว  จงกระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับท่าน” (1ซมอ 10:6-7)

เนื้อหาของคำสอนของบรรดาประกาศกเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางสังคมในยุคสมัยของตน  บางองค์มีชีวิตอยู่ในช่วงที่ไม่มีสงคราม  บางองค์อยู่ในยุคที่ชาวอิสราเอลต้องตกระกำลำบาก  ในเมื่อเป็นประกาศกของพระเจ้า  ท่านจึงทั้งตักเตือน  ขู่  คาดโทษและปลอบโยน  พร้อมทั้งพยากรณ์อนาคตซึ่งพระเจ้าจะทรงกระทำที่สำคัญคือ การฟื้นฟูอาณาจักรอิสราเอล การเสด็จมาของพระเมสสิ-ยาห์ ความสงบสุข  ความมั่งคั่งและอำนาจ  ทำให้ชาวอิสราเอลเกิดความหวังและยึดมั่นในความสัมพันธ์กับพระเจ้า  อย่างไรก็ดี  คำสั่งสอนและพยากรณ์ส่วนหนึ่งคงไม่ได้มีจุดหมายแต่เพียงสำหรับชาวอิสราเอลเท่านั้น  แต่ครอบคลุมไปถึงประวัติศาสตร์ ความรอดทั้งหมดซึ่งยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะสิ้นโลก  เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตีความ อิสยาห์ซึ่งได้กล่าวถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ไว้มากกว่าประกาศกคนใด ได้ประกาศสาสน์ของพระเจ้าว่า “ดูเถิด  เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะสิ่งเก่าก่อนนั้นจะไม่จำหรือนึกได้อีก แต่จงชื่นบานและเปรมปรีดิ์เป็นนิตย์ในสิ่งซึ่งเราสร้างขึ้น..  เราจะเปรมปรีดิ์ด้วยเยรูซาเล็มและชื่นบานด้วยชนชาติของเรา  จะไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ในเมืองนั้นอีก และเสียงครวญครางในนั้นจะไม่มี”  (อสย 65:17-20)

นอกจากการสั่งสอนแล้ว ประกาศกบางองค์ยังทำสิ่งอัศจรรย์ในนามของพระเจ้า เพื่อเป็นการยืนยันความจริงบางประการ  แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเพราะปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลว่า  ประกาศกเทียมก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน