แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า ทรงบังเกิดจากพระนางมารีย์พรหมจารี
    เราเชื่อว่า การเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ขององค์พระบุตร มิใช่การเกิดมาธรรมดาๆ ตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นการบังเกิดมาด้วยพระฤทธานุภาพของพระเจ้า    โดยทรงเลือกหญิงสาวคนหนึ่งเป็นมารดา คือ “พระแม่มารีย์”
    ในเรื่องนี้เราต้องเข้าใจสภาพสังคมของชาวยิวในสมัยนั้นกันเสียก่อน แน่นอนชาวยิวมีความรู้เรื่องพระคัมภีร์และคำทำนายต่างๆ ของบรรดาประกาศกกันเป็นอย่างดี พวกเขารู้ดีว่าจะมีพระผู้กอบกู้มาบังเกิดในสมัยของเขานี้แหละ...ดังนั้น ความคิดอย่างหนึ่งของหญิงสาวชาวยิวทุกคนก็คือ...ต้องแต่งงานและมีบุตรด้วยความคิดว่า บุตรที่เกิดมาอาจจะเป็นพระผู้กอบกู้ก็เป็นได้ หรือ ถ้าไม่แต่งงานจะถูกเหยียดหยามว่าเป็นหญิงไม่ดี...ไม่มีชายใดสนใจที่จะแต่งงานด้วย
    ในที่สุด พระเจ้าได้ทรงเสด็จลงมาบังเกิดในสมัยนั้นจริงๆ แต่การบังเกิดมาของพระองค์นี้ เป็นความยิ่งใหญ่และไม่เป็นไปตามความคิดของมนุษย์เลยสักนิดกล่าวคือ พระองค์ทรงเลือกหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาๆ บุตรีของท่านยออากิมและอันนา... หญิงสาวคนนี้มีใจเต็มเปี่ยมด้วยความสุภาพถ่อมตน ซื่อสัตย์ และซื่อศรัทธาในพระเจ้าอย่างยิ่ง...ไม่ปรารถนาจะแต่งงาน ตั้งใจจะถวายตัวรับใช้ในพระวิหาร
    ในพระคัมภีร์เล่าว่า วันหนึ่งพระเป็นเจ้าทรงส่งเทวดาคาเบรียลมาพบกับมารีย์ เพื่อแจ้งข่าวซึ่งเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้เธอทราบขาวนั้น คือ “เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู...” พระนางมารีย์ตกใจสงสัยจึงถามเทวดาว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี” เทวดาตอบว่า “อย่ากลัว...พระจิตเจ้าจะเสด็จมาเหนือท่าน และพระอานุภาพจะแผ่เงาปกคลุมท่าน...” พระนางมารีย์ไม่สงสัยอีกต้อไป แต่มอบทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด...” (ลก 1 : 31-38)
    จากท่าทีคำตอบรับของแม่พระกับเทวดา บ่งบอกถึงความเชื่อ ความศรัทธา และที่สำคัญคือ ความวางใจในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เพราะพระนางทราบดีว่า การตั้งครรภ์โดยหาบิดาของเด็กไม่ได้เป็นความผิดร้ายแรง ตามกฎหมายต้องถูกลงโทษสถานหนัก แต่พระนางมารีย์ น้อมรับพระทัยของพระเป็นเจ้าแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม นักเทวศาสตร์ตีความว่า ทันที่ที่พระนางมารีย์ตอบเทวดาว่า “ข้าพเจ้าคือผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” องค์พระบุตรได้เสด็จลงมาปฏิสนธิ (บังเกิด) ในครรภ์ของพระนาง มารับความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
    ด้วยเหตุนี้เองเราจึงเชื่อว่า พระนางมารีย์ยังคงเป็นพรหมจารีอยู่ เพราะการที่องค์พระเยซูคริสตเจ้าทรงอยู่ในพระครรภ์ของพระนางนั้นเป็นสิ่งที่พระจิตเจ้า (พระเจ้า) ทรงกระทำหาได้เป็นการทรงพระครรภ์แบบตามธรรมชาติ เหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไป พระนางจึงเป็นผู้ทรงความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เสมอ
    และด้วยเหตุผลแห่งการได้รับพระเกียรติจากพระเจ้า ไห้ทรงเป็นพระมารดาของพระองค์ พระนางจึงทรงได้รับการยกเว้นจากบาปและมลทินทั้งปวง แม้กระทั่งบาปกำเนิด    ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าพระนางทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์โดยปราศจากบาปกำเนิด คือ “พระนางทรงเป็นผู้ปฏิสนธินิรมล”
    อีกประการหนึ่งที่สำคัญตามมาก็คือ พระศาสนจักรประกาศอย่างชัดเจนว่า พระนางทรงได้รับพระเกียรติอันยิ่งใหญ่ อันได้แก่ พระเจ้าทรงรับพระนางให้อยู่ในสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
    ความเชื่อเกี่ยวกับพระนางมารีย์ที่สำคัญทั้ง 3 ประการนี้ เป็นที่ยอมรับโดยปราศจากความสงสัยในหมู่คาทอลิก    เพราะพระนางทรงเป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้า     พระเจ้าจึงทรงประทานเกียรติอันยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ทุกคนที่ทรงสร้างมา เราจึงสามารถพูดได้เต็มปากว่า ในบรรดามนุษย์ทั้งสิ้น พระนางคือ ผู้ยิ่งใหญ่และสูงส่งที่สุด ชาวคาทอลิกจึงถือว่า พระนาง คือ มารดาของมวลมนุษย์ชาติด้วยเช่นกั้น นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ชาวคาทอลิกมีความศรัทธาและรักในพระนางมารีย์เป็นที่สองรองจากพระเจ้า
    คริสตชนคาทอลิกทุกคนยังเชื่อว่า พระนางมารีย์ทรงเป็นมารดาของทุกคนด้วย เพราะเมื่อรับศีลล้างบาป เราได้รับฐานะเป็นน้องขององค์พระเยซูคริสตเจ้า  และนอกจากนั้น ณ เชิงกางเขนขณะที่พระองค์กำลังจะทรงสิ้นพระชนม์นั้น ทรงตรัสอย่างชัดเจนกับนักบุญยอห์นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” และทรงมีพระดำรัสกับพระนางมารีย์ว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่” ซึ่งเราถือว่านักบุญยอห์น คือ ตัวแทนของมนุษย์ทุกคน
    ณ ที่นี้เราต้องกล่าวถึงบุคคลที่สำคัญอีกท่านหนึ่ง คือ ท่านนักบุญยอเซฟ ท่านคือบิดาเลี้ยงขององค์พระเยซูเจ้า เป็นหัวหน้าครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ เป็นภัสดาของพระนางมารีย์โดยนิตินัย ท่านทราบดีว่าท่านต้องรับภารกิจจากพระเป็นเจ้า ในการดูแลคุ้มครององค์พระผู้ไถ่และพระแม่มารีย์... และท่านก็ได้ทำหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมายจากพระเป็นเจ้าอย่างดีเยี่ยม
    แม้ในประวัติศาสตร์จะมิได้มีการกล่าวถึงท่านมากมายนัก แต่ความสำคัญของท่านก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ท่านเป็นองค์อุปถัมภ์ของกรรกร ผู้ใช้แรงงาน เพราะท่านมีอาชีพช่างไม้ซึ่งถือเป็นกรรกรคนหนึ่ง แน่นอนความยิ่งใหญ่ของท่านมาจากพระพรแห่งความศรัทธา ความเชื่อและความไว้วางใจของท่านในพระเจ้า ท่านน้อมรับน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าด้วยการรับหน้าที่หัวหน้ารอบครัวศักดิ์สิทธิ์ และได้กระทำหน้าที่นี้อย่างยอดเยี่ยม เป็นแบบอย่างของผู้ที่เป็นบิดาทั้งหลายด้วย...
    ต่อจากนี้ไปเราจะมาพิจารณากันถึงพระชีวประวัติขององค์พระเยซูเจ้าให้ละเอียดมากขึ้น
    ก่อนอื่นหมด เราทราบจากประวัติว่า พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 33พรรษา และแบ่งได้เป็น 2 ภาค คือ ภาคพระชนม์ชีพเร้นลับ ซึ่งนับตั้งแต่ทรงบังเกิดจนกระทั่งมีพระชนม์ 30 พรรษา ที่เรียกว่าภาคพระชนม์ชีพเร้นลับ เพราะทรงมีพระชนม์อยู่กับครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอีกภาคหนึ่ง คือ ภาคพระชนม์ชีพเปิดเผย คือ ตั้งแต่ทรงพระชนม์ 30 พรรษาจนถึงสิ้นพระชนม์ รวมเวลาเพียง 3 ปี แต่เป็นเวลาสำคัญที่สุดของการกระทำพระภารกิจที่รับมอบหมายจากพระบิดาก็ว่าได้ นั่นคือ พระภารกิจแห่งการไถ่กู้มนุษย์โลก จึงขออธิบายในรายละเอียดเป็นภาคๆ ไป
ก. ภาคพระชนม์ชีพเร้นลับ
    เมื่อพระองค์ทรงรับเอากายมาบังเกิดในครรภ์ของพระนางมารีย์ รับสภาพความเป็นมนุษย์ทุกอย่าง และทรงประสูติจากพระมารดาเป็นทารกเฉกเช่นมนุษย์ทั้งหลาย ทรงค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากทารก เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น และเป็นหนุ่ม
    พระองค์ทรงอยู่กับครอบครัวของพระองค์ ทรงปฏิบัติตนเหมือนเด็กๆ ทั้งหลาย เราเชื่อว่าทรงได้รับการดูแลอบรมสั่งสอนจากแม่พระ และ นักบุญยอแซฟอยู่เสมอ และทรงช่วยเหลือการงานต่างๆ ภายในบ้านเช่นเด็กๆ ทั้งหลาย เช่น ตักน้ำ หาฟืน ทำความสะอาดบ้าน ล้างจาน ฯลฯ เท่าที่จะทำได้และพอเป็นหนุ่มก็น่าจะออกไปช่วยนักบุญยอแซฟรับจ้างทำงานเป็นช่างไม้ด้วยเช่นกัน...
    ดังนั้น เราจึงไม่ทราบประวัติของพระองค์มากมายนักในช่วง 30 ปีแรกของพระองค์ เห็นมีเด่นๆ ก็สักครั้งสองครั้งเท่านั้น
    ครั้งแรก    ตอนที่แม่พระและนักบุญยอแซฟนำพระองค์ไปถวายในพระวิหารตามบัญญัติของชาวยิว และท่นสิเมโอนได้กล่าวทำนายถึงพระองค์ (ลก 2 : 21-35)
    ส่วนอีกครั้งหนึ่ง    ก็คือ ตอนที่พระองค์ทรงพระชนม์ 12 พรรษา ประทับอยุ่ท่ามกลางนักปราชญ์และเหล่าธรรมาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา จนทำให้พวกเขาพิศวงงงงวยในพระปรีชาสามารถของพระองค์ (ลก 2 : 41-50)
    นอกจากนั้น เราเชื่อว่าพระองค์ทรงอยู่กับแม่พระและนักบุญยอแซฟ ทรงนอบน้อมเชื่อฟัง ช่วยเหลือ เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่มาโดยตลอด... เมื่อเราฟังดูเผินๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ถ้าหากเราพิจารณาให้ลึกซึ้งลงไป เราจะเข้าใจถึงความรักอันยิ่งใหญ่หาที่สุดมิได้จริงๆ ที่พระเป็นเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ มันเป็นไปได้อย่างไร...ที่พระผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างทรงฤทธิ์ทุกประการได้ถ่อมพระองค์ลงมารับสภาพของสิ่งสร้างและยอมจมอยู่ในการปกครองของมนุษย์ ผู้ซึ่งพระองค์สร้างมา...
    คำตอบเพียงประการเดียวก็คือ เพราะทรงรักมนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้ ทรงปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะนำมนุษย์กลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งความเป็นจริงแล้วพระองค์ไม่ทรงต้องใช้วิธีนี้ก็ได้ในการไถ่กู้มนุษย์เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า    ดังนั้น อย่าถามว่าทำไม? เพราะหน้าที่ของเราที่จะต้องกระทำก็คือ ตอบสนองพระเมตตาและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ให้สุดกำลังความสามารถของเรา เพราะนี่คือ “น้ำพระทัย”
ข. ภาคพระชนม์ชีพเปิดเผย
    ครั้งเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงมีพระชนม์ 30 พรรษาแล้ว พระองค์ทรงเริ่มปฏิบัติตามพระภารกิจที่ทรงรับมาจากพระบิดา กล่าวคือ พระองค์ทรงเริ่มออกเทศนาประกาศข่าวดี และพบปะผู้คนต่างๆ เพื่อเปิดเผยพระองค์ให้โลกได้รู้
    สิ่งแรกที่ทรงกระทำก็คือ ไปพบท่านยอห์นบัปติสตาและรับพิธีล้างจากท่าน    ดูเหมือนจะเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า พระองค์นี่แหละคือผู้ที่ท่านยอห์นประกาศว่าจะมาภายหลัง เป็นผู้ยิ่งใหญ่... (ลก 3 : 15-22)        ขณะที่ทรงรับพิธีล้าง ก็เกิดอัศจรรย์แสดงถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า พระบิดา พระบุตรและพระจิต
    ต่อจากนั้น พระองค์ยังไม่ออกเทศนาสั่งสอนทันที แต่พระองค์กลับเสด็จไปยังที่เปลี่ยวเงียบๆ ทรงใช้เวลาอยู่ที่นั่นถึง 40 วัน    เพื่อเตรียมความพร้อมในการกระทำหน้าที่อันสำคัญและยิ่งใหญ่    ในพระวรสารบอกว่าทรงอดอาหารภาวนา...ซึ่งก็คือทรงใช้เวลาอยู่กับพระบิดา ทรงรับพระพรจากพระบิดา ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ทรงไปเข้าเงียบ เพิ่มพลังให้กล้าแกร่ง เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคและความยากลำบากมากมายที่จะตามมา...    พระองค์ทรงเอาชนะความอ่อนแอตามประสามนุษย์ได้ทุกรูปแบบ (ลก 4 : 1-13)
    40 วันในที่เปลี่ยวขององค์พระเยซูเจ้า จึงเป็นพระฉบับแบบกับเราทุกคนในการมีชีวิตที่จะต้องมีพระพรของพระเป็นเจ้าเป็นความสำคัญอย่างยิ่ง  เพราะพระพรนี้เอง จะทำให้เรามีกำลังที่เข้มแข็งในการต่อสู้กับความยากลำบากกับบาปและความอ่อนแอในชีวิต…
    นี่เองเป็นคำตอบว่าทำไมเราจึงทำผิดทำพลาดอยู่บ่อยๆ    เราต้องพ่ายแพ้ต่อการประจญล่อลวง และการตกอยู่ในบาปซ้ำแล้วซ้ำอีก กล่าวคือ ชีวิตของเราขาดพระพรของพระเป็นเจ้า เราจึงอ่อนแอ...    ถ้าชีวิตของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ มีพระองค์อยู่เคียงข้าง เราคงไม่ทำผิดทำบาปง่ายๆ เป็นแน่...
    หลังจากทรงใช้เวลาในที่เปลี่ยว 40 วัน    พระองค์ทรงเริ่มภารกิจแห่งการ “ไถ่กู้” ด้วยการเลือกผู้ร่วมงาน คือ บรรดาอัครสาวก 12 องค์ เป็นที่น่าสังเกตว่าพระองค์ทรงเลือกอัครสาวกจากประชาชนธรรมดา เป็นชาวบ้าน เป็นคนหาเช้ากินค่ำและจากคนธรรมดาๆ เหล่านี้เองพระองค์ทรงประทานพระพรพิเศษให้พวกเขา ประทานอำนาจของพระองค์ให้แก่พวกเขาในการประกาศเทศน์สอน และปกครองดูแลพระศาสนจักร (มก 3 : 13-19)
    บรรดาศิษย์เหล่านี้ได้ติดตามพระองค์ ละบ้านช่องครอบครัว ให้เวลากับพระองค์    ในเบื้องแรกก็คงต้องการอนาคตที่ดีกว่า เมื่อพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ พวกเขาคิดตามประสามนุษย์เพราะยังไม่เข้าใจอะไรมากนักว่า การเป็นกษัตริย์ของพระองค์นั้นคืออะไร พวกเขาคิดว่าเป็นพระองค์นี่แหละ ที่จะกอบกู้พวกเขาจากการเป็นทาส การเป็นเมืองขึ้นของชาวโรมัน
    พระเยซูคริสตเจ้าทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ตลอด 3 ปีประกาศข่าวดีแห่งความรอด เนื้อหาสาระของข่าวดี คือ ทรงประกาศว่า พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างเป็นบิดา พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะเสด็จมากอบกู้มนุษย์ และที่สำคัญที่สุดคือ ทรงบอกว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลังและสุดสติปัญญาของท่าน และท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” (ลก 10 : 27)
    การประกาศสอนของพระองค์นั้น ใช้วิธีเสด็จไปตามหมู่บ้านและตำบลต่างๆ ในบริเวณทะเลสาบกาลิลีและใกล้เคียง ทรงพบปะประชาชน เตือนสอนพวกเขา และที่สำคัญทรงช่วยเหลือพวกเขาด้วยการกระทำอัศจรรย์ต่างๆ เช่น รักษาคนป่วย คนพิการ ปลุกคนตาย ทวีอาหารเลี้ยงพวกเขา ทรงใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับประชาชน...    จากคำสอนและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อัศจรรย์” ที่ทรงกระทำได้ดึงดูดให้มีผู้มาติดตามพระองค์มากมาย จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน... หลายพัน...
    กิตติศัพท์ของพระองค์เป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว ที่สำคัญพระองค์ทรงสอนอย่างจริงจัง จริงใจ ไม่เหมือนกับคัมภีราจารย์หรือผู้สอนอื่นๆ เพราะพระองค์ทรงสอนด้วยพระองค์เอง ไม่ต้องอ้างถึงผู้อื่น สอนด้วยอำนาจของพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นพระองค์เอง...และปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น...
    พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เป็นการประกาศไปในตัวว่าคำสอนที่ฟาริสี คัมภีราจารย์ สอนกันอยู่นั้นไม่ถูกต้อง เพราะแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ประชาชนต้องเสียค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมเป็นเครื่องบูชามากมาย. เป็นเรื่องราวที่ตรงกันข้ามกับการเทศน์ของพระองค์โดยสิ้นเชิงเพราะประชาชนได้รับความบรรเทา ได้รับการรักษา ได้พ้นจากความทุกข์ยาก (มก 6 : 30-44) (มก 6 : 53-56)
    แน่นอนว่า การกระทำของพระภารกิจของพระองค์กับประชาชนในช่วงพระชนม์ชีพเปิดเผย 3 ปี สุดท้ายของพระองค์นี้เป็นการแสดงออกถึงความรัก ความห่วงใย ต่อมนุษย์อย่างแท้จริง    ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่มีมนุษย์คนใดในโลกจะกระทำได้เลย...
    อย่างไรก็ดี พระองค์ไม่ทรงบังคับใครให้ปฏิบัติตาม พระองค์ทรงให้เสรีภาพอิสรภาพกับมนุษย์เสมอ ทรงเทศน์สอน อบรม ติเตียน ชี้แนวทาง และให้พวกเขาสรุปเอง ว่าจะกระทำอย่างไร (ยน 14  1-21)
    ถ้าเราจะวิเคราะห์ดูพระภารกิจที่ทรงกระทำ ในช่วงพระชนม์ชีพเปิดเผย เราจะพบว่าพระองค์ทรงเทศน์สอนอย่างไม่กลัวอำนาจใดๆ ถ้าจะพูดภาษาชาวบ้านก็คือพระองค์ทรงออกมา “ชน” กับความไม่ถูกต้อง การเอารัดเอาเปรียบ การกดขี่ข่มเหงผู้ที่ด้อยกว่า (มธ 23 : 13-32) (ลก 16 : 14-15)
    ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ตกทุกข์ได้ยากจากการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเอง พระองค์ ทรงออกมายืนเคียงข้างประชาชน มีผู้มาเป็นแนวร่วม มาเป็นศิษย์มากมาย โดยเฉพาะผู้ที่ได้รู้จักและได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์
    ในพระคัมภีร์ เราพบว่ามีการพยายามจากพวกเสียผลประโยชน์ คือ พวกฟาริสีและคัมภีราจารย์ ที่ลูกศิษย์ของตนตีจากหันไปติดตามพระเยซูเจ้ามากมาย พวกเขาจึงคิดหาหนทางทุกอย่างที่จะต้องกำจัดพระเยซูคริสตเจ้า พวกเขาพยายามหลายครั้ง ที่จะทำให้พระองค์พ่ายแพ้เสียหน้า (มก 2 : 23-27) แต่ทุกครั้งพวกเขากลับเป็นผู้เสียหน้าไปเสียเอง... ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาโกรธแค้นยิ่งขึ้น...
    อย่างไรก็ตามพระเยซูมิได้ทรงย่อท้อหรือ หวาดหวั่นแต่ประการใด พระองค์ยังทรงเทศน์สอนอย่างตรงไปตรงมา ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น พระองค์ไม่ทรงยอมประนีประนอมกับความไม่ถูกต้องอย่างเด็ดขาด สิ่งใดผิดก็คือผิด สิ่งใดถูกก็คือถูก จะไม่มีชนิดถูกๆ ผิดๆ เด็ดขาด    พระองค์ทรงตำหนิประชาชนและศิษย์ของพระองค์ด้วยว่า...ท่านจะร้อนก็ร้อน จะเย็นก็เย็น อย่าอุ่นๆ เพราะในความเป็นจริงความถูกต้อง กับความผิดมันไปด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว
    สรุปแล้วในระหว่างพระชนม์ชีพเปิดเผย 3 ปี ทรงกระทำงานหรือภารกิจของพระองค์หนักมาก ตามประสามนุษย์เพราะเป็นเวลาสำคัญที่พระองค์จะทรงประกาศให้มนุษย์โลกทั้งหลายได้รู้จักพระเป็นเจ้าและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์จริงๆ...    มิใช่เพียงสอนแต่คำพูด แต่ทรงสอนด้วยพระแบบฉบับแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์ด้วย หลายครั้งทรงนอนกลางดินกินกลางทราย กับบรรดาสาวกและประชาชน ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขาด้วยใจจริง... จนในที่สุดช่วงเวลาสุดท้ายของพระชนม์ชีพแห่งการเป็นมนุษย์ของพระองค์ก็มาถึง...

รำพึงพระวาจาประจำวัน

วันเสาร์ สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 6:60-69) เวลานั้น เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินพระองค์ตรัสดังนี้ก็กล่าวว่า “ถ้อยคำนี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้” พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยพระองค์ว่าบรรดาศิษย์กำลังบ่นกันเรื่องนี้ จึงตรัสแก่เขาว่า “เรื่องนี้ทำให้ท่านเคลือบแคลงใจหรือ แล้วถ้าท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่ที่เคยอยู่แต่ก่อนเล่า...
วันศุกร์ สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 6:52-59) เวลานั้น ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อของบุตรแห่งมนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง...
วันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 6:44-51) เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำเขา และเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า ทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟังพระบิดา...

Don't be afraid

E-Book แผนกคริสตศาสนธรรม อัคสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

สื่อการสอน เกมคำสอน เกมพระคัมภีร์ ออนไลน์

สื่อการสอน คุณค่าพระวรสาร 21 ประการ
สื่อการสอน คุณค่าพระวรสาร 21 ประการ
คุณค่าพระวรสาร 21 ประการ สำหรับอัตลักษณ์การศึกษาคาทอลิก คุณค่าพระวรสาร คือ คุณค่าที่พระเยซูเจ้าสั่งสอน และเจริญชีวิตเป็นแบบอย่างแก่บรรดาสานุศิษย์และประชาชน...
สื่อการเรียนการสอน เรื่อง อุปมาของพระเยซูเจ้า
สื่อการเรียนการสอน เรื่อง อุปมาของพระเยซูเจ้า
อุปมาเป็นเรื่องราวสั้นๆ ชวนคิด ที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าให้ประชาชนฟัง เพื่อสอนพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและหนทางไปสวรรค์
สื่อการเรียนการสอน เรื่อง "คำสอนของพระเยซูเจ้า"
สื่อการเรียนการสอน เรื่อง
แผนภูมิความรู้ ความสอนของพระเยซูเจ้า ความเชื่อและการรับศีลล้างบาป ความสุขแท้จริง การเป็นแบบอย่างที่ดี การรักศัตรู การภาวนา ความไว้วางใจในพระเจ้า...
5 ขั้นตอนของการรับศีลอภัยบาป V. 2023
5 ขั้นตอนของการรับศีลอภัยบาป V. 2023
ดาวน์โหลดแผ่นพับ 5 ขั้นตอนของการรับศีลอภัยบาป .pdf

คำสอนสำหรับเยาวชน YOUCAT

219. คริสตชนคาทอลิกต้องไปร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณบ่อยครั้งเพียงใด คริสตชนคาทอลิกมีพันธะผูกพันให้เข้าร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณทุกวันอาทิตย์ และวันฉลองบังคับ ผู้ใดที่แสวงหามิตรภาพกับพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง จะตอบรับการเชิญมาสู่งานเลี้ยงของพระเยซูเจ้าบ่อยที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ (1389, 1417) ความจริงแล้วสำหรับคริสตชนแท้ “หน้าที่ในวันอาทิตย์” ไม่สมควรเป็นแค่การแสดงออกถึงภาระผูกพันเป็นดัง “การจุมพิตหน้าที่”...
218. วิธีที่ถูกต้องในการถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทับอยู่ในแผ่นปังและเหล้าองุ่นคืออะไร เพราะพระเจ้าทรงประทับอยู่อย่างแท้จริงในรูปของปังและเหล้าองุ่นที่ได้การเสก เราต้องเก็บของถวายศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงสุด และกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่กู้ของเราในศีลมหาสนิท (1378 -1381 ,1418) ถ้ามีแผ่นปังที่ได้รับการเสกเหลืออยู่จากพิธีมิสซาขอบพระคุณ ต้องเก็บรักษาไว้ในภาชนะศักดิ์สิทธิ์ในตู้ศีล เมื่อศีลมหาสนิทประทับอยู่ในตู้ศีล ตู้ศีลจึงเป็นสถานที่ที่เคารพที่สุดของวัด...
216. พระคริสตเจ้าทรงประทับอยู่ในพิธีมิสซาขอบพระคุณในวิธีใด พระคริสตเจ้าทรงเป็นพรธรรมล้ำลึกอย่างยิ่ง แต่ทรงประทับอยู่อย่างแท้จริงในศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งศีลมหาสนิท เนื่องจากพระศาสนจักรปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซูเจ้าที่ว่า “จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” (1 คร 11:24) การบิปังและการหยิบยื่นถ้วยกาลิกษ์ที่กระทำในทุกวันนี้ เป็นสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น เป็นพระคริสตเจ้าอย่างแท้จริงที่ทรงมอบพระองค์เองแก่เรา...

กิจกรรมพระคัมภีร์

เดินตามกฎ
เดินตามกฎ
เดินตามกฎ เรื่อง กฎต่างๆ พระคัมภีร์ โยชูวา 1:7-8 ภาพรวม เด็กๆ ปฏิบัติตามกฎต่างๆ ในเกม และเรียนรู้ถึงคุณค่าของการปฏิบัติตามกฎต่างๆ ในชีวิต อุปกรณ์ ปากกาเส้นใหญ่สีดำ เทปแถบกาว และกระดาษสีแดง 5 แผ่น สีเขียว 10 แผ่น วาดเครื่องหมายหยุดไว้บนกระดาษสีแดงแต่ละแผ่น และวาดลูกศรลงบนกระดาษสีเขียวแต่ละแผ่น ประสบการณ์ ให้เด็กๆ...
ดูซิ เห็นไหม
ดูซิ เห็นไหม
ดูซิ เห็นไหม เรื่อง ยืนยันต่อผู้อื่น พระคัมภีร์ สุภาษิต 16:24 ภาพรวม เด็กๆ พบสิ่งดีในผู้อื่นจากการเรียนรู้จักสิ่งดีในตนเอง อุปกรณ์ ทอฟฟี่ ดินสอ การ์ด 3 x 5 นิ้ว (2 เท่าของจำนวนเด็ก) ประสบการณ์ บอกเด็กๆ ว่าเรากำลังมองหาความดีในผู้อื่น ครูแจกดินสอและกระดาษการ์ด 3...

ประมวลภาพกิจกรรม

พิธีเอฟฟาธา ฟื้นผู้จิตใจผู้เตรียมเป็นคริสตชน ปี 2024
พิธีเอฟฟาธา ฟื้นผู้จิตใจผู้เตรียมเป็นคริสตชน ปี 2024
🙏 "เอฟฟาธา แปลว่า จงเปิดเถิด" 🙏 วันเสาร์ที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2023 แผนกคริสตศาสนธรรมอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ได้จัด "พิธีเอฟฟาธา" และฟื้นฟูจิตใจผู้เตรียมเป็นคริสตชน ณ อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก และห้องประชุมชั้นใต้ดิน (สำนักมิสซัง) ในกฤษฎีกาสมัชชาใหญ่ของพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย...
ค่ายคำสอนลูกแม่พระ ปี 2024
ค่ายคำสอนลูกแม่พระ ปี 2024
🎊 “ท่องโลกพระคัมภีร์”🎊 วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2024 ทีมคำสอนสัญจรได้ไปกิจกรรมพิเศษของค่ายคำสอนลูกแม่พระ ให้กับเด็กนักเรียนคำสอน วัดแม่พระฟาติมาดินแดง กว่า 50 คน ในหัวข้อ “ท่องโลกพระคัมภีร์” วันนี้ เด็กๆ ได้เรียนรู้เรื่องราวความเป็นมาของพระคัมภีร์ตั้งแต่พันธสัญญาเดิมเรื่อยมาจนถึงพันธสัญญาใหม่ ผ่านทางวีดีโอ ควบคู่ไปกับการเติมคำในช่องว่าง และยังได้ทำกิจกรรมเพื่อช่วยให้จดจำชื่อหนังสือพระคัมภีร์ได้มากขึ้น...

สวดสายประคำ

สายประคำทำให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น
สายประคำทำให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น ตลอดประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรคาทอลิก พระสันตะปาปาและนักบุญจํานวนมากสนับสนุนให้สวดสายประคํา เมื่อเราเริ่มเข้าใจและซาบซึ้งในสายประคําและสวดบ่อยขึ้น เราจะเห็นความหมายที่แท้จริงของการรําพึงภาวนา เราเริ่มเห็นคุณค่าว่าคําภาวนานั้นไม่เพียงแต่ถึงพระนางมารีย์...
ทำไมชาวคาทอลิกจึงสวดสายประคำ
ทำไมชาวคาทอลิกจึงสวดสายประคำ (The Rosary)การสวดบทภาวนาเดียวกันซ้ำหลายๆ ครั้ง เป็นวิธีปฏิบัติในบางศาสนา เพราะคิดว่าการสวดภาวนาซ้ำไปซ้ำมาจะได้ผลดีกว่า...

ช่วงเวลาสั้นๆ กับพระเจ้า

วงล้อ
พระเจ้าตรัสอะไรกับท่านในวันนี้ พระ​วาจา​ของ​พระองค์​เป็น​โคม​ส่อง​ทาง​ของ​ข้าพ​เจ้า เป็น​แสง​สว่าง​ส่อง​ทางเดิน​ให้​ข้าพ​เจ้า (สดด 119:105) ภาวนาวอนขอความสว่างจากพระองค์ แล้วหมุนวงล้อ...
วงล้อ พระวาจาหนุนใจในเหตุการณ์ต่างๆ ของชีวิต
ในชีวิตประจำวัน เราจะพบความเศร้า ความกลัว ปัญหา ความทุกข์ยาก ความไม่สบายใจ ความรู้สึกผิด ความหดหู่ ถูกทดลอง เจ็บป่วย...

คำถามที่เด็กๆ อยากรู้เกี่ยวกับพระเจ้า

Messiah
พระเมสสิยาห์ คำว่า พระเมสสิยาห์ เป็นภาษาฮีบรูที่ใช้เรียกพระคริสต์ ซึ่งเปลว่า...
Redeemer
พระผู้ไถ่ เป็นพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า ที่หมายถึงว่า พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อไถ่เราให้รอดพ้นจากบาป
tomb
อุโมงค์ฝังศพ คือสถานที่ใช้ฝังศพผู้ตาย อุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซูเจ้านั้นมีลักษณะเป็นโพรงหิน

ประวัตินักบุญ

25 เมษายน ฉลองนักบุญมาระโก ผู้นิพนธ์พระวรสาร
25 เมษายน ฉลองนักบุญมาระโก ผู้นิพนธ์พระวรสาร (St. Mark, Evangelist, feast) มีความเห็นพ้องต้องกันโดยทั่วไปว่า ชื่อของ มาระโก ที่มีกล่าวไว้ในหนังสือกิจการอัครสาวก...
25 มีนาคม สมโภชการแจ้งสารเรื่องพระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์
วันที่ 25 มีนาคม สมโภชการแจ้งสารเรื่องพระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์ ( The Annunciation of the Lord, solemnity )...
19 มีนาคม  สมโภชนักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระนางมารีย์พรหมจารี
วันที่ 19 มีนาคม สมโภชนักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระนางมารีย์พรหมจารี (St. Joseph, Spouse of the Blessed Virgin...
17 มีนาคม  ระลึกถึงนักบุญปาตริก พระสังฆราช  (St. Patrick, Bishop, memorial)
วันที่ 17 มีนาคม ระลึกถึงนักบุญปาตริก พระสังฆราช (St. Patrick, Bishop, memorial) นักบุญปาตริกเป็นนักบุญยิ่งใหญ่และเป็นองค์อุปถัมภ์ของประเทศไอร์แลนด์ ท่านเป็นบุตรชายของ Calpurnius...

CCBKK Channel

youtube1

Kamson TikTok

tiktok

Facebook CCBKK

วันละหนึ่งนาทีกับนักบุญโยเซฟ

St.Joseph 2021

คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก

ccc thai web

บทอ่านและบทมิสซา

ordomissae

พระคัมภีร์คาทอลิก

WOPTMR80W7YC0H90QTK7LZC1E1L2WM

บทเพลงศักดิ์สิทธิ์

angels-5b

วิชาคริสต์ศาสนา + จริยศึกษา

poster 2023 moral re

------------------------------------------

poster 2023 christianity re

สถิติเยี่ยมชม (22-2-2012)

วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
เดือนนี้
เดือนที่แล้ว
ทั้งหมด
13799
13335
57442
169960
306218
35913682
Your IP: 18.217.60.35
2024-04-19 15:17

สถานะการเยี่ยมชม

มี 508 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์