พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพ


    การกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นความจริงที่ชาวคริสต์เชื่อและชื่นชมยินดี    ที่เชื่อเช่นนั้นก็เพราะเป็นสิ่งที่อัครสาวกของพระองค์ได้ประสบพบเห็นมาก่อน อย่างน้อยก็มีเหตุการณ์ 2 ประการที่ทำให้พวกเขากล้าประกาศยืนยันว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพ คือ

1. การประจักษ์ของพระองค์
    พระเยซูเจ้าได้ปรากฏมาหาบรรดาสาวกของพระองค์ที่ห้องซึ่งพวกเขามาชุมนุมกันถึงสองครั้ง และสนทนากับพวกเขาด้วย (ยน 20 : 19-20; ลก 24 : 37-42)    สาวกบางคนไม่อยู่ในเวลาที่พระองค์ประจักษ์ครั้งแรก ก็สงสัยและท้าทาย คือ โทมัส         จนเมื่อพระองค์ประจักษ์อีกครั้งโทมัสจึงเชื่อเพราะได้เห็นและยอมรับว่า “พระอาจารย์เจ้า และ พระเจ้าของข้าพเจ้า” (ยน 20 : 28)
    สาวกที่กำลังเดินทางกลับเมืองเอมมาอูสก็เช่นกัน...หมดหวัง...แต่พระเยซูเจ้าได้ปรากฏมาสนทนากับเขาระหว่างทาง...จนพวกเขารู้สึกเร่าร้อนภายในและจำพระองค์ได้ตอนที่ทรงหักปัง...จึงรีบกลับไปหาสาวกทั้งสิบเอ็ดที่กรุงเยรูซาเล็มในคืนนั้นทันที เพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทราบ (ลก 24 : 13-35)
    พระเยซูเจ้าได้ปรากฏแก่มารีอา ชาวเมืองมักดาลาในเวลาเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่อุโมงค์ฝังศพของพระองค์    นางเองคิดว่าพระองค์เป็นคนทำสวน จนเมื่อพระองค์ได้ทักนางก่อน นางจึงจำพระองค์ได้และเล่าเรื่องนี้ให้สาวกฟัง (มธ 28 : 9-10; มก 16 : 9-11; ยน 20 : 11-18)
    เพราะการประจักษ์ของพระเยซูเจ้าบรรดาสาวกจึงไม่ลังเลที่จะประกาศเรื่องการกลับคืนชีพของพระองค์แก่ประชาชนในสมัยของท่าน และชาวคริสต์สมัยต่อๆ มาซึ่งได้เชื่อก็ประกาศยืนยันสืบเนื่องกันเรื่อยมาจนถึงสมัยปัจจุบัน

2. คูหาว่างเปล่า
    หลังจากที่พวกทหารโรมันเห็นว่าพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว และตามธรรมเนียมของชาวยิว ไม่อนุญาตให้ศพค้างบนกางเขนในวันพระ    จึงอนุญาตให้โยเซฟชาวเมืองอาริมาเธียนำพระศพไปฝังในอุโมงค์ใหม่แห่งหนึ่ง (ยน 19 : 38-42)    และเอาก้อนหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้ (มก 15 : 47)    หัวหน้าสมณะและพวกฟาริสีได้ขอให้มียามเฝ้าอุโมงค์ไว้ เพราะจำได้ว่าพระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า “หลังจากตายแล้วสามวัน เราจะกลับเป็นขึ้นมาจากตาย” จึงกลัวพวกสาวกของพระองค์ไปขโมยศพ และโกหกประชาชนว่าพระองค์กลับคืนชีพ (มธ 27 : 62-66)
    เช้าตรู่วันอาทิตย์ มารีอาชาวมักดาลา ได้ไปที่อุโมงค์เพื่อที่จะเยี่ยมพระศพ แต่กลับพบหินปิดอุโมงค์เคลื่อนออก คูหาว่างเปล่าไม่มีพระศพ เหลือแต่ผ้าป่านที่ใช้พันพระศพวางทิ้งอยู่ที่นั่น...จึงรีบไปตามเปโตรและยอห์นศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรัก    พวกเขารีบมาที่อุโมงค์พบคูหาว่างเปล่า เขาได้เห็นและเชื่อ (ยน 20 : 1-10)
    ยามที่เฝ้าอุโมงค์ได้ไปรายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้าสมณะที่จ้างตนทราบ    หัวหน้าสมณะได้จ่ายเงินแก่ยามและให้บอกว่า พวกสาวกพระเยซูเจ้ามาขโมยพระศพ (มธ 28 : 11-15)
    คูหาอันว่างเปล่า และผ้าพันพระศพนี้จึงหมายถึง ร่างกายของพระเยซูเจ้าได้พ้นพันธะของความตายและความเสื่อมสลาย    โดยพระฤทธานุภาพทั้งสองสิ่งช่วยให้บรรดาสาวกได้พบปะกับพระคริสต์ผู้ทรงกลับคืนชีพ
    ความเชื่อในเรื่องการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าเป็นแก่นสำคัญที่สุดของศาสนาคริสต์ เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่บรรดาสาวกได้พบกับพระคริสต์ผู้ทรงกลับคืนชีพจริงๆ เป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ช่วยเราให้เข้าใจชีวิตมนุษย์ดีขึ้น คือ เราจะมีส่วนในการกลับคืนชีพ มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกัน และประสบการณ์ของบรรดาสาวกในวันปัสกานั้นก็เป็นประสบการณ์ของชาวคริสต์ในสมัยต่อมา คือ พระองค์ได้เผยพระองค์แก่ศิษย์ที่รวมกันในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ    เพราะเรารู้จักพระองค์ทางพระคัมภีร์ ทางการอภัยบาป และการหักปัง (ลก 24 : 30-33)

 

หนังสือ ปัสกากับคริสตชน
บาทหลวง มิเกล กาไรซาบาล, SJ.