พระนางมารีย์ในแผนการของพระเจ้า

บาทหลวง ปรีชา ธรรมนิยม O.M.I.

 PresentationMaryGr    พระเจ้าทรงเลือกสรรพระนางมารีย์ให้เป็นบุคคลสำคัญท่านหนึ่ง ให้มีบทบาทพิเศษในแผนการแห่งความรอดพ้นของพระองค์ การตอบรับของพระนางมารีย์ที่จะมีส่วนร่วมในแผนการแห่งความรอดพ้นนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้แผนการแห่งความรอดพ้นของพระเจ้าสำเร็จไปในพระเยซูคริสตเจ้า
    ผู้นับถือศาสนาคริสต์ (โรมันคาทอลิก) ตระหนักถึงคุณค่า ความหมาย และความสำคัญของพระนางมารีย์ เพราะคริสตชนเชื่อว่าพระเจ้าได้ตระเตรียมแผนการแห่งความรอดสำหรับพระนางไว้ และพระนางได้น้อมรับภารกิจด้วยความเชื่อ ด้วยความกล้าและความนอบน้อม นักบุญเปาโล (ค.ศ. 10-67) ในจดหมายที่ท่านเขียนถึงกลุ่มคริสตชนที่โรม เอเฟซัส และกาลาเทีย แสดงให้เห็นว่าท่านให้ความสำคัญแก่พระนางมารีย์ในฐานะที่พระนางเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้เลือกสรรให้มีบทบาทพิเศษในแผนการแห่งความรอดพ้นของพระองค์ (รม 8:28-30; อฟ 1:3-14; กท 4:4-7)

1. การตอบรับพระเจ้าของพระนางมารีย์... เพื่อและพร้อมกับพระเยซูคริสตเจ้า
    พระเจ้าทรงเลือกสรรพระนางมารีย์ให้เป็นบุคคลสำคัญท่านหนึ่ง ให้มีบทบาทพิเศษในแผนการแห่งความรอดพ้นของพระองค์ การตอบรับของพระนาง ที่จะส่วนร่วมในแผนกการแห่งความรอดพ้นนี้ เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้แผนกการแห่งความรอดพ้นของพระเจ้าสำเร็จไปในพระเยซูคริสตเจ้า
    ผู้เขียนขอนำเสนอลักษณะสำคัญบางประการในชีวิตของพระนางมารีย์ โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ของพระนางมารีย์กับพระเยซูคริสตเจ้าและกับพระศาสนจักร ซึ่งเชื่อมโยงกับแผนการแห่งความรอดพ้นของพระเจ้า
    ก่อนอื่นหมด พระนางมารีย์นั้นมีความปรารถนาเหมือนหญิงชาวยิวทุกคน รอคอยที่จะได้เห็นการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ แต่พระนางมารีย์ไม่ได้เสาะแสวงอย่างกระหายที่จะเป็นแม่ของพระผู้ช่วยให้รอด (พระเมสสิยาห์) พระเจ้าทรงเรียกและมอบบทบาทพิเศษ (การเป็นมารดาของพระเมสสิยาห์ / พระเยซูคริสตเจ้า) โดยที่พระนางไม่ได้คาดคิดมาก่อน การเรียกของพระเจ้าและการตอบรับของพระนางมารีย์มีลักษณะดังนี้

1.1 เป็นเหมือนกับอับราฮัม
    พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ในพระวรสารนักบุญลูกา (1:26-38) ได้บรรยายถึงการเรียกของพระเจ้าที่เลือกสรรให้พระนางมารีย์เป็นมารดาของพระเมสสิยาห์ (พระเยซูคริสตเจ้า) เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พระนางมารีย์เหมือนกับที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรอับราฮัม ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (หนังสือปฐมกาล) การตอบรับในการเป็นมารดาของพระนางมารีย์ต่อพระสุรเสียงของพระเจ้าดังนี้ ทำให้พระนางต้องทุ่มเทชีวิตในทันทีทันใด และในวิถีทางที่ตนยังมองไม่เห็น และเป็นการตอบด้วยท่าทีแห่งความนอบน้อมสุภาพถ่อมตนเหมือนคำตอบของอับราฮัม ที่พระเจ้าทรงเรียกและเลือกสรรท่านให้เป็นบิดาของชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้เป็นประชากรของพระองค์
    การตอบรับการเรียกจากพระเจ้าของอับราฮัม ทำให้ท่านต้องแยกจากพวกพ้องและออกเดินทาง ในขณะที่พระนางมารีย์ การตอบรับหน้าที่ในการเป็นมารดา เป็นการเสี่ยงต่อความสัมพันธ์กับโยเซฟ คู่หมั้น คำตอบรับของทั้งสอง (อับราฮัมและพระนางมารีย์) เป็นคำตอบของชีวิตทั้งชีวิตที่ทำให้พวกท่านตอบรับต่อการผจญภัยที่ไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไรนัก ต้องอาศัยความเชื่อว่า เป็นหน้าที่ของพระเจ้าที่จะต้องนำและคุ้มครองผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกและเลือกสรรให้ดำเนินงานตามกิจกรรมของพระองค์ พระนางมารีย์ทุ่มเทชีวิตในภารกิจการเป็นมารดาด้วยท่าทีแห่งความเชื่อ ด้วยเหตุนี้ พระสัญญาที่พระเจ้าได้ดำรัสไว้กับอับราฮัมจึงสำเร็จไปโดยพระนางมารีย์และในพระนางมารีย์ พระนางรับพันธสัญญานี้จากพระบิดาเจ้า และดูนำมาสู่โลกที่เป็นทั้งจุดรวมอันเข้มข้นของพระพรของพระเจ้า และอาศัยโลกนี้ พระพรของพระเจ้าได้ขยายไปสู่มนุษยชาติ (ปฐก 12:2-3; รม 8:31-33,37-39; กท 2:9-10) ถ้าความเชื่อของอับราฮัมเป็นแบบอย่างอันดีเลิศ ความเชื่อของพระนางมารีย์ก็ดำเนินในลักษณะเดียวกันดังที่นักบุญลูกา (1:26-38) ได้บรรยายเอาไว้

1.2 จากความแปลกใหม่สู่ความแปลกใหม่
    การเรียกของพระเจ้าและการตอบรับของพระนางมารีย์ในการเป็นมารดานี้ มีลักษณะเหมือนกับการเรียกและการตอบรับของอับราฮัม กล่าวคือ ตั้งแต่เริ่มต้นที่พระเจ้าทรงเรียก มีเหตุการณ์แปลกใหม่ที่เกิดขึ้นซ้อนๆ กัน
    ความแปลกใหม่ที่สำคัญก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างพระนางมารีย์และพระบุตรของพระนางได้เปลี่ยนไป ทั้งๆที่พระนางมารีย์ได้รับภารกิจพิเศษในการเป็นมารดาของพระเมสสิยาห์ พระนางทรงเป็นเหมือนแม่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ความเป็นแม่ที่ได้ตั้งครรภ์และได้ให้กำเนิดบุตร แต่ถึงกระนั้น พระนางมารีย์ไม่ทรงครอบงำหรือก้าวก่ายชีวิตบุตรของพระนาง แต่ทรงปล่อยทีละเล็กทีละน้อยด้วยใจกว้างและเด็ดเดี่ยวจนยากจะเปรียบได้ เนื่องจากพระนางมีความสำนึกที่ชัดเจนอยู่แล้วตั้งแต่แรกว่า บุตรของพระนางไม่ใช่ของพระนาง และยิ่งกว่านั้น พระนางทรงตระหนักดีว่าหนทางที่บุตรของพระนางต้องดำเนินไปนั้น เป็นพระเจ้าที่จะทรงนำไป มิใช่พระนางเป็นคนนำ ซึ่งพระนางเองก็รู้ดีว่ามิใช่หนทางที่สดสวย ราบรื่นนัก

1.3 เป็นมารดาแห่งความเชื่อ
    สิ่งที่เกิดขึ้นกับพระนางมารีย์เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของพระนาง รวมทั้งเกินความคาดหมายของหญิงสาวชาวนาซาเร็ธทั่วไปในยุคนั้น พระนางมารีย์จึงมีท่าทีที่พร้อมน้อมรับภาระ ความเป็นแม่อย่างเต็มใจ และด้วยความเชื่อศรัทธาต่อวิถีชีวิตที่พระเจ้าทรงเตรียมการไว้ สำหรับบุตรของพระนาง พระนางมารีย์ตระหนักดีว่า ความเชื่อในพระเจ้าคือ การน้อมรับภาระความเป็นแม่ ด้วยเหตุฉะนี้ จึงกล่าวได้ว่า พระนางมารีย์เป็นแม่ก็เพราะพระนางเป็นผู้มีความเชื่อ และเพราะพระนางมีความเชื่อนี้เอง พระนางจึงได้เป็นมารดาของพระเมสสิยาห์ (พระเยซูคริสตเจ้า) การเป็นผู้มีความเชื่อและการเป็นมารดา จึงเป็นสองสิ่งที่ดำเนินไปด้วยกัน แยกจากกันไม่ได้ ความเชื่อและภาระความเป็นแม่นี้ สัมพันธ์กันอย่างยิ่งยวดในแม่ทุกคนที่มีความเชื่อ แม้สองอย่างนี้จะแตกต่างกันและต่างก็มีเอกลักษณ์ของตนบ้างก็ตาม แต่สำหรับพระนางมารีย์ สองสิ่งนี้เกี่ยวพันซึ่งกันและกัน คุณลักษณะของความเชื่อช่วยเสริมสร้างคุณสมบัติของความเป็นแม่ ปราศจากความเชื่อ พระนางมารีย์คงไม่เข้าใจพระบุตร รวมทั้งไม่เข้าใจในภารกิจของพระบุตรอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น ถ้าปราศจากความรักฉันมารดาที่มีต่อบุตร ความเชื่อพระเจ้าของพระนางมารีย์คงเป็นสิ่งเพ้อฝันอย่างแน่นอนด้วยเช่นกัน
    จากจุดนี้เอง “ความแปลกใหม่” ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงเผยให้เห็นบุคลิกภาพและภารกิจของพระองค์เด่นชัดขึ้น พระคัมภีร์ได้เผยแสดงบุคลิกภาพและภารกิจของพระเยซูเจ้าผ่านทางคำทำนายของท่านผู้เฒ่าซีเมโอน (ลก 2:34-35) จากเหตุการณ์ในวันที่ท่านพบพระกุมารเยซูในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเหตุการณ์ต่อมา โดยเฉพาะในคำตอบของพระเยซูคริสตเจ้าที่มีต่อพระมารดา (ลก 2:4-50) และที่สุด ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้าที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระนางมารีย์อยู่แทบเชิงกางเขน พระนางได้ฟังพระดำรัสอันเด็ดเดี่ยวของพระเยซูคริสตเจ้าก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ (ยน 19:25-27)

1.4 มารดากลายเป็นศิษย์
    จากการที่พระนางมารีย์ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด ผู้เลี้ยงดูและผู้ให้การอบรมพระเยซูคริสตเจ้า พระนางมารีย์ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูคริสตเจ้า ทำให้พระนางมารีย์ได้กลายเป็นศิษย์ของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย พระนางพยายามเรียนรู้และรับการอบรมจากพระเยซูคริสตเจ้า เป็นตัวพระองค์เองที่เผยแสดงและทำให้ข่าวดีแห่งความรอดสำเร็จไป พระนางมารีย์ก็เหมือนกับทุกคนที่ไม่สามารถจะช่วยให้ตนเองได้รู้และเข้าใจแผนการแห่งความรอดพ้นของพระเจ้า นอกจากการเรียนรู้ชีวิตและคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า แม้ว่าพระนางจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการเตรียมภารกิจของพระองค์ก็ตาม
    พระเยซูคริสตเจ้าเองได้ตรัสให้ตระหนักถึงความจริงนี้และบางครั้งก็ดูเหมือนเป็นการตรัสที่รุนแรงมาก เช่น พระดำรัสของพระองค์ที่ว่า “แม่ของเราและพี่น้องของเรา ก็คือผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติ” (ลก 8:21; 11:27-28) นอกจากนั้นยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญคือ การทำอัศจรรย์ครั้งแรกของพระองค์ที่มีกล่าวถึงว่าพระองค์และพระนางมารีย์ได้เสด็จไปงานแต่งงานที่เมืองคานา แคว้นกาลิลี พระนางขอให้พระเยซูคริสตเจ้าทรงช่วยไม่ให้เจ้าภาพต้องอับอาย เนื่องจากเครื่องดื่ม (เหล้าองุ่น) ในงานเลี้ยงมงคลสมรสหมด ซึ่งพระเยซูคริสตเจ้าตรัสกับพระนางว่า “หญิงเอ๋ย ต้องการอะไรจากเรา เวลาของเรายังมาไม่ถึง” (ยน 2:4)
    หลังจากที่พระเยซูคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์ กลับคืนพระชนมชีพและเสด็จสู่สวรรค์แล้ว พระคัมภีร์เล่าว่าพระนางมารีย์ก็เป็นหญิงคริสตชนคนหนึ่งท่ามกลางทุกๆ คน (กจ 1:14) ในระหว่างการดำเนินชีวิตประกาศข่าวดีแห่งความรอดพ้นของพระเยซูคริสตเจ้าอยู่ก่อนแล้ว แม้หลังจากที่ภารกิจของพระเยซูคริสตเจ้าสำเร็จไป (พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์) พระนางก็ยังคงสำนึกถึงการประทับอยู่ของพระเยซูคริสตเจ้าเหมือนกับศิษย์คนอื่นๆ ที่สำนึกถึงการประทับอยู่ของพระองค์ใน “รูปแบบของการไม่อยู่” อาศัยพระจิตเจ้า (ยน 14:15-27; 16:5-15)

1.5 ได้รอดเป็นบุคคลแรก
    พระเจ้าทรงโปรดให้พระนางมารีย์เป็นเครื่องมือพิเศษในแผนการแห่งความรอดพ้น ทรงทำให้พระนางได้รับผลแห่งการดำเนินภารกิจแห่งความรอดพ้นอาศัยพระบุตร (พระเยซูคริสตเจ้า) การที่พระนางน้อมรับการเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในการประทานพระพรแห่งความรอดพ้นจองพระองค์แก่มนุษย์ ด้วยการตอบรับที่จะร่วมมือดำเนินการตามภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบแก่พระนางอย่างนอบน้อม มีผลทำให้พระนางได้รับพระพรแห่งความรอดพ้นนี้ด้วย พระเจ้าทรงโปรดให้พระนางเป็นคริสตชนคนแรกได้รอดพ้นเป็นบุคคลแรก โดยพระองค์ได้ประทานพระพรแห่งความเชื่ออย่างล้นเหลือแก่พระนาง และพระนางได้เจริญชีวิตตามความเชื่อนี้อย่างทุ่มเทจนสุดจิตสุดใจไม่มีที่ติ
    ดังนี้ พระนางมารีย์ไม่มีสภาพเป็นมนุษย์เช่นทุกคนหรือ คำตอบก็คือ ไม่ใช่ กล่าวคือ พระนางมีสภาพเป็นมนุษย์เหมือนเปโตร เปาโล และอัครสาวกคนอื่นๆ ของพระเยซูคริสตเจ้าอย่างแน่นอน แต่เป็นความจริงที่ว่าพระนางได้น้อมรับสภาพมนุษย์นี้พร้อมทั้งภาระหน้าที่ความเป็นแม่ด้วย อาศัยความนบนอบอย่างสิ้นเชิงต่อพระเจ้าและต่อพระบุตร นั่นเองทำให้พระนางได้รับพระพรแห่งความรอดพ้นเป็นบุคคลแรก

ที่มา: หนังสือ พระนางมารีย์ หนทางสู่พระเยซูคริสตเจ้า