การกลับคืนชีพของพระเยซู

มารย    อะไรคือผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการ์ณเหล่านั้นหรือ พระคัมภีร์ทุกหน้ามีคำพยาน เรื่องนี้ ผลที่เกิดขึ้นคือ ศาสนาคริสต์เผยแผ่ไปทั่วโลกและกลายเป็นศาสนาสากล เหตุการ์ณที่เกิดขึ้นจากนั้นคือ หลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ ได้ 3 วัน  ขณะที่พวกศิษย์กำลังหลบซ่อนตัวในห้องที่ปิดมิดชิดอยู่นั้น พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ต่อหน้าพวกเขา ทรงประทับยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาในห้อง และพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” “ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม” (ยอห์น 20:19-23; ลูกา 24:36-39) ตอนแรกพวกเขาตกใจกลัว เพราะไม่เข้าใจถ้อยคำที่พระองค์ตรัส แต่ในที่สุด ความเชื่อมั่นยินดีก็บังเกิดขึ้นในใจของเขา พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูผู้ซึ่งทรงตายไปแล้วครั้งหนึ่ง กลับคืนพระชนม์ชีพ พระเยซูผู้ทรงมีชีวิตอยู่
    หมายสำคัญแรกของการทรงกลับคืนชีพ คือเรื่องของหญิง 2-3 คนที่พากันไปที่อุโมงค์เปิดอยู่และพระศพหายไป พวกเขากลับไปบอกพวกสาวก ผู้ซึ่งในตอนแรกไม่เชื่อว่าพระองค์กลับคืนชีพ แต่ภายหลังจากนั้น....” ครั้นเห็นพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่คนพวกนั้นด้วยหลักฐานหลายอย่างพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายระหว่างสี่สิบวันและได้ทรงสนทนากับเขาถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า” (กิจการอัครสาวก 1:3) ในที่สุดความเชื่อมั่นก็บังเกิดขึ้นในใจของพวกสาวก “ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย” (1โครินธ์ 15:20) ความวางใจเละความหวังใจอย่างไม่มีขีดจำกัดเกิดขึ้นกับพวกศิษย์อีกครั้งหนึ่ง พระเยซูทรงมีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดนิรันดร เพราะฉะนั้นเราผู้มีความเชื่อ ความวางใจ และความรักในพระคริสต์จึงสามารถหวังใจในการกลับคืนชีพและชีวิตนิรันดรได้อย่างเต็มเปี่ยม

    ในจดหมายฉบับแรกที่นักบุญเปาโลอัครสาวกเขียนถึงชาวโครินธ์หลังจากพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ไป 25 ปีแล้ว อ้างถึงจำนวนคนที่รู้เห็นเป็นพยานในการกลับคืนชีพของพระเยซู ในจำนวนนั้นมีเคฟาส ยากอบและอัครสาวก 12 รวมทั้งพวกศิษย์มากกว่า 511 คน (1 โครินธ์ 15:5-7)  เปาโลเองได้เดินทางไปพบและพูดคุยกับบรรดาบุคคลต่างๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา (กาลาเทีย1:18) และเป็นพยานด้วยว่าครั้งหลังสุด พระองค์ทรงปรากฏแก่ตัวท่านเอง ( 1โครินธ์ 15:8)
    นอกจากจดหมายถึงชาวโครินธ์แล้วยังมีจดหมายฉบับอื่นๆ ในพระคัมภีร์ใหม่ที่เราเห็นถึงความยินดีของชาวคริสต์ในยุคแรกนั้นด้วย ดูเถิดพระเยซูผู้ดูเหมือนทรงพ่ายแพ้ แท้ที่จริงทรงเป็นผู้ชนะ พระเจ้าทรงให้พระเยซูกลับคืนชีพ พระเยซูคือพระคริสต์และพระผู้ช่วยให้รอดที่มนุษย์รอคอยมาช้านาน พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูทรงมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือความตายที่เคยดูเหมือนว่ามันครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง พระเยซูทรงมีชีวิตอยู่กับพระเจ้าคือพระบิดาและเราตลอดนิรันดร โดยที่เราไม่อาจมองเห็นพระองค์ได้ด้วยตาเปล่าอยู่ตลอดนิรันดร “พระเยซูจะอยู่กับเราทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ” (มัทธิว 26:20) ความเชื่อในการกลับคืนชีพของพระคริสต์ คือที่สุดของความเชื่อของชาวคริสต์ การกลับคืนชีพของพระเยซูต่างไปจากการกลับคืนชีพของคนบางคน  ลาซารัสผู้ที่พระองค์ทรงกระทำให้ฟื้นขึ้นนั้น เขาเพียงแต่ได้รับบุญต่ออายุขัยในโลกนี้ และภายหลังก็ต้องหมดอายุไป แต่ “เรารู้ว่าพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้วจะไม่สิ้นพระชนม์อีก ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป” (โรม 6:9)การกลับคืนชีพของพระเยซูหมายถึงชัยชนะอย่างเด็ดขาดของพระเจ้าต่อความตาย พระเจ้าทรงปรารถนาให้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้รอดพ้นจากความตาย พระองค์ทรงรักชีวิต (ปรีชาญาณ 11:26) พระเจ้าไม่ได้สร้างโลกเพื่อให้สิ่งสวยงามหรือสิ่งดีทั้งหลายถูกทำลาย หรือกลายเป็นผงคลีดิน ปราศจากความรักไม่มีสิ่งใดงดงามหรือดีเลิศ เพราะฉะนั้นความรักหรือสิ่งที่เกิดจากความรักจะต้องดำรงอยู่นิรันดร การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคือที่สุดของความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพระเจ้าและมนุษย์  เพราะว่าพระเจ้าเองทรงเป็นผู้ส่งพระเยซูมาในโลกนี้ และเพราะว่าพระเจ้าทรงมีคุณค่าสมควรที่พระเยซูจะทรงไว้วางพระทัย การสิ้นพระชนม์หรือความตายของพระเยซูจึงไม่ใช่การทรงยอมแพ้ หรือทรงพ่ายแพ้เลย ตรงข้ามความตายของพระองค์ คือ จุดเริ่มต้นของชีวิตนิรันดร
    พระเยซูตรัสว่า“ กำลังจะละโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดาอีก ” (ยอห์น 16:28) พระบิดาผู้ที่พระองค์เสด็จกลับไปหานั้น คือบ่อเกิดแห่งชีวิตของทุกสิ่งทุกอย่าง พระคัมภีร์บอกเราว่าพระกายของพระเยซูกลับคืนชีพขึ้น แต่พระคัมภีร์เน้นด้วยว่าสภาพพระกายของพระเยซูที่ทรงกลับคืนชีพนั้นต่างจากร่างกายที่เน่าเปื่อยได้ของโลกนี้ (1โครินธ์ 15:35-49) พระกายที่กลับคืนชีพของพระเยซูอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของเวลาและสถานที่  ดังนั้นถึงแม้ว่าประตูจะปิดอยู่พระองค์ก็ทรงปรากฏพระกายผ่านประตูเข้าไปได้ พระเยซูทรงอยู่เหนือกาลเวลาหรือสถานที่ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถมองหรือจินตนาการถึงพระกายที่กลับคืนชีพนั้นได้ การทรงปรากฏพระองค์ต่อสาวกและทรงสั่งสอนพวกเขา แสดงให้เห็นว่าพระเยซูองค์ที่สิ้นพระชนม์บนกางเขน และองค์ที่กลับคืนชีพเป็นองค์เดียวกัน การที่พระเยซูชาวนาซาเร็ธทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางมนุษย์เราแสดงถึงความรักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเป็นพยานถึงความรักนั้น พระเยซูองค์นี้ทรงกลับคืนชีพเละมีชีวิตอยู่ตลอดนิรันดร และความรักนั้นงอกงามเติบโตอยู่ในชีวิตของพระองค์จนถึงที่สุดคือเมื่อทรงตายเพื่อมนุษย์ทั้งหลาย และความรักของพระองค์ยังทรงครอบครองเราอยู่ตลอดนิรันดรกาล มนุษย์เราใช้ร่างกายที่กลับคืนชีพนิรันดรจึงหมายถึงการสื่อสารสัมพันธ์ของพระเยซูกับมนุษย์ในรูปแบบที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าไม่มีมนุษย์คนใดถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง เพราะพระเยซูทรงดำเนินอยู่ในชีวิตของทุกคน
    การทรงกลับคืนชีพของพระเยซูคือที่สุดของการทรงสร้างมนุษย์และเป็นแสงสว่างส่องให้เราเห็นและเข้าใจภาพรวมของการทรงสร้างมนุษย์ ซึ่งอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า พระประสงค์ในการทรงสร้างมนาย์นับตั้งแต่แรกเริ่มมา คือให้มนุษย์เชื่อในความรักของพระเจ้าและรวมเป็นหนึ่งเดียวในความรักของพระองค์ตลอดจนมีชีวิตอยู่ในความรักนั้น เพราะในที่สุดแล้วผู้เป็นเอกเป็นใหญ่เหนือสิ่งสร้างสารพัดทั้งปวง