บทที่  ๑  พระเยซูผู้ที่เราเรียกว่าพระคริสต์
ความเชื่อ  และความหวังใจของชนชาติอิสราเอล
    พระเยซูทรงบังเกิดจากหญิงคนหนึ่งชื่อมารีย์  ซึ่งเป็นชาวเมืองนาซาเร็ธแห่งแคว้นกาลิลี  ทรงมีชีวิตในดินแดนแห่งหนึ่ง  ซึ่งปัจจุบันนี้ยังคงเป็นดินแดนของประเทศอิสราเอล  และในเวลานั้นผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นส่วนมากก็เป็นชนชาติอิสราเอลเช่นเดียวกัน  เพียงแต่ในเวลานั้นประเทศอิสราเอลรวมทั้งประเทศอื่นๆในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนต่างก็ตกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของจักรวรรดิโรมัน  คนโรมันประหลาดใจที่เห็นว่าศาสนาของชนชาติอิสราเอลไม่เหมือนกับศาสนาใดๆ  ที่ผู้คนในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนับถือ  ชนชาติอื่นๆ  มีเทพเจ้ามากมายหลายองค์ให้นับถือบูชา  และเทพแต่ละองค์ก็มีเรื่องราวเล่าขานกันมากมาย  ลัทธิความเชื่อบางอย่างก็กล่าวถึงเทพเจ้าที่ดูเหลวไหลไม่ชวนเชื่อตามหลักวิชาปรัชญา  แต่พระเจ้าที่คนอิสราเอลสักการบูชากลับต่างไปจากบรรดาพระเจ้าของชนชาติเหล่านั้น

    พระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว  เป็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิต  ทรงสรรพานุภาพและเนรมิตสร้างทุกสิ่งทุกย่าง  และทรงให้ชีวิตแก่สรรพสิ่งในโลกนี้ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์  และเพราะความเชื่อที่ว่ามนุษย์ไม่สามารถจินตนาการพระลักษณะของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน  คนอิสราเอลจึงไม่แกะสลัก  หรือทำรูปเหมือนพระเจ้าแต่อย่างใดเลย  แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เชื่อว่ามนุษย์มีความสัมพันธ์พูดคุยสนิทสนมกับพระองค์ได้เหมือนพ่อกับลูก  พระเจ้าองค์นี้ปรารถนาให้มนุษย์เชื่อฟังและทำให้โลกซึ่งพระเจ้าทรงสร้างและทรงเห็นว่าดีนั้นมีมลทิน ไม่ว่าจะเป็นด้วยความเกลียดชังกัน  การต่อสู้ ตลอดจนความไม่ยุติธรรม พระพิโรธของพระองค์ก็จะพลุ่งขึ้นเหมือนไฟ  และคนบาปทั้งหลายไม่อาจหนีรอดจากการลงโทษของพระองค์ได้  แต่เมื่อไรก็ตามที่เขากลับใจ  พระเจ้าทรงเมตตาให้อภัยบาปพวกเขาเสมอ  คนอิสราเอลประกาศด้วยความมั่นใจว่า  พระเจ้าตรัสและสำแดงพระองค์แก่บรรพบุรุษของพวกเขา  คือ  อับราฮัม  และทรงให้โมเสสเป็นผู้นำช่วยเหลือคนอิสราเอลให้พ้นจากความยากลำบากในอียิปต์  และทรงตั้งพันธสัญญาไว้กับคนอิสราเอลด้วย  พระองค์ทรงสัญญาว่าจะเป็นพระเจ้าของอิสราเอล  และจะทรงสั่งสอนคนอิสราเอลให้เป็นชนชาติของพระเจ้า  พระเจ้าตรัสกับประกาศกอิสยาห์  เยเรมีย์  เอเสเคียล ทรงสั่งว่า  “เจ้าต้องบริสุทธิ์  เพราะเราบริสุทธิ์ 
    พระเจ้าตรัสกับอิสราเอลผ่านทางโมเสส  รวมทั้งพวกประกาศกเสมอ  ยิ่งกว่านั้น  พระเจ้าทรงสัญญาผ่านปากของพวกประกาศกด้วยว่าจะมีวาระที่การทำพันธสัญญาใหม่  ซึ่งจะประเสริฐกว่าพันธสัญญาที่พระองค์เคยทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา  เพราะพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อจริงใจ  ดังนั้นพระองค์จะทรงรักษาและทำตามคำสัญญาของพระองค์อย่างแน่นอน  และในวาระแห่งการกระทำ  พันธสัญญาใหม่พระเจ้าจะทรงบรรจุธรรมบัญญัติของพระองค์ไว้ในใจของเขาทั้งหลาย  (เยเรมีย์  ๓๑:๓๑ - ๓๓)  และพระองค์ตรัสว่าจะทรงบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า  (เอเสเคียล  ๓๖:๒๗)  รวมทั้งทรงสัญญาด้วยว่าจะมีผู้หนึ่งที่พระองค์ทรงเลือกเป็นพิเศษ  และท่านผู้นั้นจะเป็นพันธสัญญาใหม่ของพระเจ้ากับมนุษย์  (อิสยาห์  ๔๒:๖)  ผู้ทรงเสียสละชีวิตของท่านเองช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป  (อิสยาห์  ๕๒:๑๓ - ๕๓:๑๒)  และจะเป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติด้วย  (อิสยาห์  ๔๒:๖)
    ในที่สุดเมื่อวาระที่พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ก็มาถึง  (อิสยาห์  ๖๕:๑๗)  วิญญาณจิตของมนุษย์ก็จะกลับไปอยู่กับพระเจ้าและชีวิตมนุษย์ก็จะเป็นนิรันดร์   เพราะพระเจ้าไม่ทรงปรารถนาจะเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงให้ชีวิตพินาศหรือตาย  ทรงปรารถนาให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีชีวิตตลอดกาลทั้งหมดนี้คือความเชื่อของคนอิสราเอล  สำหรับพวกเขาพระเจ้าพระองค์นั้นที่มองไม่เห็นด้วยตามนุษย์คือ ผู้ทรงฤทธิ์อำนาจและมีพลังสูงสุดเพียงพระองค์เดียว  พระเจ้าของอิสราเอลทรงเป็นพระเจ้ามหัศจรรย์นอกจากจะทรงยิ่งใหญ่เกินจินตนาการของมนุษย์แล้วพระองค์ยังทรงรักมนุษย์มากที่สุดด้วย    
    ในปัจจุบันนี้มีคนไม่น้อยที่คิดว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างพระเจ้าขึ้นตามจินตนาการของตนจริงๆ  แล้วพระคัมภีร์นับแต่เล่มแรกคือ  ปฐมกาลบอกเราว่าพระเจ้าต่างหาก  ที่ทรงสร้างมนุษย์ตามฉายา ตามอย่างของพระองค์  (ปฐมกาล  ๑:๒๖)  ใช่ไหมครับ  เพราะเหตุนี้เองลึกลงไปในจิตวิญญาณของทุกคนจึงมีเปลวไฟแห่งปัญญาที่จะแสวงหาความจริงนี้ได้  เพราะเหตุนี้เองในจิตวิญญาณของทุกคนจะได้ยินเสียงหนึ่งว่า “เจ้าเป็นผู้มีใจบริสุทธิ์” “เป็นผู้รักคนอื่น”  เพราะเหตุนี้มนุษย์จึงสามารถสละตนเอง  และสามารถสละชีวิตของตนเพื่อความรักได้  เพราะเหตุนี้การมีตัวตนอยู่ของมนุษย์จึงหมายถึงการมีพระธรรมล้ำลึกซึ่งตัวเองหรือใครอื่นไม่อาจจะเข้าถึงภายในใจ  สรุปก็คือเราต้องเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงสร้าง  โดยเฉพาะทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์และเพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง  พระองค์จึงทรงสามารถบอกเล่าเรื่องของพระองค์เองแก่มนุษย์เองได้  และในทางกลับกันมนุษย์ก็สามารถใช้ภาษาของตนเล่าและพูดคุยกับพระเจ้าได้ด้วย  แน่นอนว่าไม่มีมนุษย์คนใดสามารถจะบรรยายพระลักษณะของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์เต็มร้อยได้  ไม่ว่าจะเป็นนักศาสนศาสตร์ยิ่งใหญ่แค่ไหนเมื่อเล่าถึงพระเจ้า  ถ้อยคำของเขาจะเป็นเพียงแค่คำพูดของเด็กเล็กๆ  คนหนึ่ง  ที่กำลังพยายามอธิบายสิ่งที่ตนเองมองเห็นแต่ไม่เข้าใจเท่านั้น  ความลี้ลับของพระเจ้าเป็นอย่างนี้เอง  อิสยาห์เคยพูดถึงพระเจ้าว่า  “แท้จริงพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  ผู้ทรงซ่อนพระองค์”  (อิสยาห์  ๔๕:๑๕)  กษัตริย์ดาวิดเองทรงสวดภาวนาในสดุดีว่า  “ข้าแต่พระเจ้าข้าพระองค์แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์”  (สดุดี  ๒๗:๘-๙)
    นักบุญออกัสตินบอกเราว่า  พระเจ้าทรงซ่อนพระองค์ไว้  เพื่อให้มนุษย์แสวงหาพระองค์และพระองค์ทรงเป็นนิรันดร์  เพื่อให้มนุษย์แสวงหาพระองค์อยู่เสมอ  แม้ว่าจะเคยพบพระองค์มาแล้วก็ยังคงต้องแสวงหาพระองค์ต่อไป  และพระเจ้าผู้ทรงลึกลับพระองค์นี้แหละที่คนอิสราเอลเคยมีชีวิตอยู่ต่อหน้าพระองค์

ที่มา: หนังสือชีวิตและคำสอนของพระเยซู