ความดีและความชั่ว
มาระโก 1:21-28
ตามพระวาจาของพระเจ้า เมื่อมนุษย์คนแรกทำบาป กิจการชั่วของเขาถ่ายทอดไปยังมนุษย์ทุกคน (เป็นบาปแรก) ชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย จึงเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยชั้นบรรยากาศที่ขุ่นมัว สกปรก เต็มด้วยบาป มนุษย์เองต้องหายใจเอาอากาศที่ปนเปื้อนด้วยบาปเข้าไปโดยไม่รู้สึกตัว ในจิตใจมนุษย์จึงมีแนวโน้มเอนเอียงเข้าหาบาปตั้งแต่เมื่อแรกเกิด แนวโน้มของบาปชั่วนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นปีศาจในจิตใจ ทุกคนที่ปีศาจนี้อยู่ในจิตใจ

เปาโลบอกว่า “ข้าพเจ้าไม่ทำความดีที่ข้าพเจ้าปรารถนา กลับทำความชั่วที่ไม่ปรารถนาจะทำ ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำการกระทำนั้นก็ไม่ใช่การกระทำที่แท้จริงของข้าพเจ้า แต่เป็นการกระทำของบาปซึ่งแฝงอยู่ในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็พบกฎนี้ว่า เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอยากทำดี  เมื่อนั้นความชั่วก็มาอยู่ใกล้ข้าพเจ้าเสมอ” (รม.7:19-21) แต่ความชั่วย่อมรู้ว่าอะไรเป็นความดี   “ชายคนหนึ่ง ซึ่งปีศาจสิงอยู่ร้องตะโกนว่า ท่านมายุ่งกับเราทำไม เยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ”  (มก.1:24) เพราะฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกว่ามีความชั่วที่เราไม่พึงปรารถนาเข้ามาในจิตใจ เราต้องรู้ด้วยว่าเมื่อนั้นพระเยซูทรงประทับอยู่กับเรา นักบุญกาธารีนา แห่งซีเอนา เคยตกอยู่ใต้ความทุกข์ทรมานของความคิดชั่วช้าทุกวัน ยิ่งพยายามหนีความคิดเลวร้ายนั้นก็ยิ่งติดตามไป วันหนึ่งเธอจึงสวดภาวนาอย่างนี้ว่า “ข้าแต่พระเยซู ทำไมพระองค์จึงทรงทรมานลูกด้วยความคิดชั่วช้าอย่างนี้ ” พระเยซูตรัสถามเธอว่า “แล้วเจ้ายินดีกับความคิดชั่วช้านั้นหรือเปล่า”  นักบุญกาธารีนาทูลพระองค์ว่า “เปล่าเลย ดิฉันชิงชังความคิดเช่นนี้เหลือเกินแล้ว” พระองค์จึงตรัสแก่เธอว่า “การที่เจ้าเกลียดชังความคิดเช่นนี้มากๆ เป็นหลักฐานยืนยันว่าเราอยู่กับเจ้า” ด้วยพระวาจานี้ของพระเจ้า ความหวาดกลัวของนักบุญกาธารีนาก็หมดไป ตั้งแต่นั้นมาเธอก็สามารถมีชัยชนะเหนือความคิดชั่วช้าได้ ไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน อันตรายอย่างยิ่งต่อมนุษย์คือ การเห็นผิดเป็นชอบ การเห็นสิ่งที่ชั่วช้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งดี สำหรับมนุษย์การรู้แท้แน่นอนว่าความชั่วร้ายเป็นความชั่วร้าย และบาปเป็นบาปนั้นสำคัญที่สุด

ที่มา: หนังสือชีวิตนิรันดร