การอธิบายความหมายพระคัมภีร์ในพระศาสนจักร

พระศาสนจักรคือภูมิหลังดั้งเดิมของการอธิบายความหมายพระคัมภีร์


29.    หัวข้อสำคัญอีกเรื่องหนึ่งซึ่งถกเถียงกันในที่ประชุมสมัชชา และข้าพเจ้าใคร่จะเชิญชวนให้คิดถึง คือเรื่องการอธิบายความหมายพระคัมภีร์ในพระศาสนจักร ความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่พระวาจามีต่อความเชื่อทำให้เห็นได้ชัดว่า การอธิบายความหมายพระคัมภีร์ที่ถูกต้องจะมีไม่ได้นอกจากในความเชื่อของพระศาสนจักรเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างการที่พระแม่มารีย์ตอบรับพระประสงค์ของพระเจ้า นักบุญโบนาเวนตูรากล่าวว่าถ้าไม่มีความเชื่อ เราก็ไม่มีกุญแจไขเข้าไปหาตัวบทพระคัมภีร์ได้ “นี่คือความรู้เรื่องพระเยซูคริสตเจ้าซึ่งเป็นต้นกำเนิดและที่มาของความแน่ใจและความเข้าใจถึงพระคัมภีร์ทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครคนหนึ่งจะเข้าไปรู้ความจริงนั้นได้ ถ้าเขาไม่มีความเชื่อในพระคริสตเจ้าฝังอยู่ในใจแล้วเป็นประหนึ่งตะเกียงที่ส่องสว่างพระคัมภีร์ทั้งหมด หรือเป็นดังประตูและพื้นฐานของพระคัมภีร์ด้วย”  นักบุญโทมัสยังอ้างถึงคำสอนของนักบุญออกัสตินและเน้นว่า “ตัวอักษรอาจฆ่าได้ แม้กระทั่งตัวอักษรของพระวรสารด้วย ถ้าภายในใจไม่มีความเชื่อที่คอยเยียวยารักษา”
    นี่จึงเป็นโอกาสให้เราระลึกถึงมาตรการพื้นฐานของการอธิบายความหมายพระคัมภีร์ :ชีวิตของพระศาสนจักรคือภูมิหลังดั้งเดิมของการอธิบายความหมายพระคัมภีร์ ข้อความนี้มิได้บอกว่าการชี้นำของพระศาสนจักรเป็นมาตรการภายนอก ที่ผู้อธิบายความหมายพระคัมภีร์จะต้องยอมรับ แต่เป็นมาตรการที่ธรรมชาติของพระคัมภีร์และวิธีการที่พระคัมภีร์ค่อยๆถือกำเนิดขึ้นในกาลเวลาจะต้องคำนึงถึง “ธรรมประเพณีความเชื่อนับเป็นสภาพแวดล้อมมีชีวิตที่ผู้นิพนธ์พระคัมภีร์สอดแทรกผลงานวรรณกรรมของตนเข้ามา การสอดแทรกนี้ยังรวมความไปถึงการมีส่วนร่วมในชีวิตพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์และชีวิตทั่วไปของชุมชน กิจกรรมทางความคิด ทางวัฒนธรรม และเหตุการณ์ต่างๆทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นอีกด้วย เพราะฉะนั้นการอธิบายความหมายพระคัมภีร์จึงเรียกร้อง ให้ผู้อธิบายรู้จักและเข้าถึงชีวิตและความเชื่อทั้งหมดของชุมชนที่มีความเชื่อในสมัยนั้นด้วยเช่นเดียวกัน”  ดังนั้น “เนื่องจากว่าเราต้องอ่านและเข้าใจพระคัมภีร์อาศัยพระจิตเจ้าองค์เดียวกันกับที่ทรงดลใจให้เขียน”  ผู้อธิบายความหมายพระคัมภีร์ นักเทววิทยา และประชากรทั้งมวลของพระเจ้าจึงต้องเข้าไปหาพระคัมภีร์อย่างที่เป็นจริงๆ คือเป็นพระวาจาของพระเจ้าผู้ทรงใช้คำพูดของมนุษย์ตรัสกับเรา (เทียบ 1 ธส 2:13) นี่คือข้อมูลที่คงอยู่เสมอและซ่อนอยู่ในพระคัมภีร์ “การตีความถ้อยคำของบรรดาประกาศกในพระคัมภีร์ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล เพราะไม่เคยมีถ้อยคำใดของบรรดาประกาศกที่มาจากเจตนารมณ์ของมนุษย์ แต่มนุษย์กล่าวถ้อยคำซึ่งมาจากพระเจ้าตามที่พระจิตเจ้าทรงดลใจ” (2 ปต 1:20-21) นอกจากนั้น ความเชื่อของพระศาสนจักรคือผู้ที่รับรู้พระวาจาของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ดังที่นักบุญออกัสตินกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “ข้าพเจ้าคงไม่เชื่อพระวรสาร ถ้าอำนาจของพระศาสนจักรคาทอลิกไม่ชักนำให้ข้าพเจ้าทำเช่นนั้น”  พระจิตเจ้าซึ่งประทานชีวิตแก่พระศาสนจักรทรงบันดาลให้เราอธิบายความหมายพระคัมภีร์ได้อย่างถูกต้อง พระคัมภีร์เป็นหนังสือของพระศาสนจักร และการอธิบายความหมายพระคัมภีร์ได้อย่างถูกต้องก็มาจากการที่พระคัมภีร์คงอยู่ในชีวิตของพระศาสนจักร

30.    นักบุญเยโรมเตือนเราอย่างชาญฉลาดว่า เราไม่อาจอ่านพระคัมภีร์ตามใจของแต่ละคนได้เลย เรามักพบอุปสรรคมากมายในการเข้าถึงพระคัมภีร์และอาจหลงผิดไปได้ง่ายๆ พระคัมภีร์เขียนขึ้นโดยประชากรของพระเจ้าสำหรับประชากรของพระเจ้าโดยที่พระจิตเจ้าทรงดลใจ การมีความสัมพันธ์เช่นนี้กับประชากรของพระเจ้าเท่านั้น “เรา” จึงอาจรวมกันเข้าถึงแก่นความจริงที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะตรัสกับพวกเราได้  นักบุญเยโรมผู้กล่าวว่า “การไม่รู้จักพระคัมภีร์คือการไม่รู้จักพระคริสตเจ้า”  ย้ำว่าการอธิบายความหมายพระคัมภีร์ตามท่าทีของพระศาสนจักรไม่ใช่การเรียกร้องที่เพิ่มเข้ามาจากภายนอก หนังสือพระคัมภีร์เป็นเสียงของประชากรของพระเจ้าที่กำลังเดินทาง และเราอาจกล่าวได้ว่า อาศัยความเชื่อของประชากรนี้เท่านั้นเราจึงอยู่ในแนวทางถูกต้องเพื่อเข้าใจพระคัมภีร์ได้ การอธิบายความหมายพระคัมภีร์อย่างถูกต้องจึงต้องสอดคล้องกับความเชื่อของพระศาสนจักรคาทอลิก นักบุญเยโรมจึงเตือนพระสงฆ์องค์หนึ่งว่า “ท่านจงยึดมั่นในคำสอนที่ท่านได้เรียนรู้และรับมอบหมายต่อกันมา เพื่อจะตักเตือนตามคำสอนที่ถูกต้อง และตอบโต้คำสอนที่ผิดได้”
    การอ่านตัวบทศักดิ์สิทธิ์โดยไม่คำนึงถึงความเชื่ออาจมีความสำคัญอยู่บ้าง เมื่อคำนึงถึงโครงสร้างและรูปแบบของตัวบท ถึงกระนั้นความพยายามเช่นนี้ก็เป็นได้เพียงการเกริ่นนำเรื่องโครงสร้าง แต่ยังไม่สมบูรณ์. คณะกรรมาธิการพระคัมภีร์ของพระศาสนจักรจึงสะท้อนและยอมรับหลักเกณฑ์การอธิบายความหมายพระคัมภีร์ในปัจจุบันเมื่อยืนยันว่า “ผู้จะเข้าใจตัวบทพระคัมภีร์อย่างถูกต้องได้จะต้องเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ตัวบทพูดด้วยเท่านั้น”  เท่าที่กล่าวมานี้ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ชีวิตจิตกับการอธิบายความหมายพระคัมภีร์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด “เมื่อผู้อ่านพระคัมภีร์พัฒนาชีวิตจิตยิ่งขึ้น เขาก็ยิ่งเข้าใจเรื่องราวที่พระคัมภีร์กล่าวถึงได้ดียิ่งขึ้นด้วย”  ความเข้มข้นของการมีประสบการณ์ในพระศาสนจักรอย่างแท้จริงย่อมจะต้องนำเราให้มีความเข้าใจพระวาจาของพระเจ้ายิ่งขึ้นในความเชื่อที่ถูกต้องด้วย ในทางกลับกันจะต้องกล่าวด้วยว่า การอ่านพระคัมภีร์ด้วยความเชื่อย่อมทำให้ชีวิตจิตในพระศาสนจักรเติบโตขึ้นด้วย เราจึงเข้าใจความหมายของถ้อยคำของนักบุญเกรโกรีผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งทุกคนรู้จักดีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ท่านกล่าวไว้ว่า “พระวาจาของพระเจ้าเจริญเติบโตขึ้นพร้อมกับผู้อ่าน”  การฟังพระวาจาของพระเจ้าจึงนำเราให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้นภายในพระศาสนจักรกับทุกคนที่ดำเนินชีวิตในความเชื่อ