พระวาจาของพระเจ้าและชีวิตของผู้ถวายตน


83.    เกี่ยวกับชีวิตของผู้ถวายตน สมัชชาได้เตือนเป็นพิเศษว่า “ชีวิตเช่นนี้เกิดขึ้นจากพระวาจาของพระเจ้า และรับพระวรสารเป็นกฎเกณฑ์ของชีวิต”  ชีวิตติดตามพระคริสตเจ้าผู้บริสุทธิ์ ยากจน และนบนอบเชื่อฟัง จึงเป็น “‘การอธิบายความหมาย’ ของพระวาจาของพระเจ้าด้วยชีวิต”  พระจิตเจ้าซึ่งทรงดลใจให้เขียนพระคัมภีร์เป็นพระจิตองค์เดียวกันที่ “ทรงใช้แสงสว่างใหม่ส่องพระวาจาของพระเจ้าให้แก่บรรดาผู้ตั้งคณะทั้งชายและหญิง พระพรพิเศษและพระวินัยทุกแบบก็เป็นเครื่องหมายแสดงพระวาจาให้ปรากฏด้วย”     เป็นการเปิดทางดำเนินชีวิตคริสตชนที่สะท้อนลักษณะของพระวรสารที่ทรงอิทธิพลเปลี่ยนแปลงรากฐานของชีวิตได้
    ข้าพเจ้าใคร่จะกล่าวถึงธรรมประเพณียิ่งใหญ่ของนักพรตในพระอาราม ซึ่งใช้พระคัมภีร์ในการรำพึงภาวนาเป็นองค์ประกอบชีวิตจิตของตนตลอดมา โดยเฉพาะในรูปแบบของ lectio divina (การอ่านพระคัมภีร์ควบคู่ไปกับการรำพึงภาวนา). ทุกวันนี้ด้วย รูปแบบทั้งเก่าและใหม่ของการถวายตนแบบพิเศษได้ชื่อว่าเป็นสำนักสอนชีวิตจิต ในสำนักเหล่านี้ เราต้องอ่านพระคัมภีร์ตามที่พระจิตเจ้าทรงดลใจในพระศาสนจักร เพื่อผลประโยชน์สำหรับประชากรทั้งหมดของพระเจ้า เพราะเหตุนี้สมัชชาจึงเตือนให้มีการฝึกอบรมอย่างมีหลักการเรื่องการอ่านพระคัมภีร์ด้วยความเชื่อในทุกชุมชนของผู้ดำเนินชีวิตถวายตนแด่พระเจ้า
    ข้าพเจ้ายังปรารถนากล่าวถึงความเอาใจใส่และการขอบคุณ ที่สมัชชาได้แสดงออกเกี่ยวกับรูปแบบต่างๆของชีวิตการเพ่งฌานภาวนา ซึ่งเป็นพรพิเศษที่จะอุทิศช่วงเวลายาวนานของแต่ละวันตามแบบฉบับของพระมารดาของพระเจ้า พระนางทรงเก็บรักษาพระวาจาและพระจริยวัตรทุกประการของพระบุตรไว้ในพระทัยอย่างหวงแหน (เทียบ ลก 2:19,51) หรือตามอย่างมารีย์แห่งเบธานี เธอนั่งแทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฟังพระวาจาของพระองค์ (เทียบ ลก 10:38) ข้าพเจ้ากำลังคิดถึงเป็นพิเศษถึงบรรดานักพรตชายและหญิงในพระอาราม ที่ปลีกตนจากสังคมเพื่อชิดสนิทยิ่งขึ้นกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นเสมือนหัวใจของโลก พระศาสนจักรต้องการเป็นอย่างยิ่งให้มีการเป็นพยานยืนยันของผู้ที่สัญญาที่จะ“ไม่ปรารถนาสิ่งใดมากกว่าความรักของพระคริสตเจ้า”  สังคมปัจจุบันนี้บ่อยๆถูกกิจกรรมภายนอกยึดไว้มากเกินไปและอยู่ในอันตรายที่จะถูกครอบงำ บุรุษและสตรีที่ดำเนินชีวิตเพ่งฌาน ใช้ชีวิตที่อุทิศแก่การภาวนา การฟังและรำพึงพระวาจาพระเจ้า เตือนพวกเราว่ามนุษย์ไม่ดำเนินชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ยังด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า (เทียบ มธ 4:4) ดังนั้น ผู้มีความเชื่อทุกคนจึงต้องสำนึกว่ารูปแบบเช่นนี้ของชีวิต “แสดงให้โลกสมัยของเราเห็นว่าสิ่งใดสำคัญที่สุด ยิ่งกว่านั้น มีเพียงสิ่งเดียวที่จำเป็น และเป็นเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้ชีวิตนี้มีค่าน่ารักษาไว้ สิ่งนั้นก็คือพระเจ้าและความรักสุดจะหยั่งถึงได้ของพระองค์”