แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

2. ความรู้เกี่ยวกับหนังสือ
โยชูวา ผู้วินิจฉัย นางรูธ ซามูเอล และพงศ์กษัตริย์

1.    ในพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัย ซามูเอลและพงศ์กษัตริย์มีชื่อว่า “ประกาศกดั้งเดิม” ส่วนหนังสือ “ประกาศกสมัยหลัง” หมายถึงหนังสือประกาศกอิสยาห์ เยเรมีย์ เอเสเคียลและประกาศกน้อยสิบสองคน ที่ได้ชื่อ “ประกาศกดั้งเดิม” เช่นนี้ก็เพราะธรรมประเพณีโบราณคิดว่าบรรดาประกาศกเป็นผู้เขียนหนังสือเหล่านี้   คือโยชูวาเป็นผู้เขียนหนังสือโยชูวา ซามูเอลเขียนหนังสือผู้วินิจฉัยและหนังสือซามูเอล เยเรมีย์เขียนหนังสือพงศ์กษัตริย์ ส่วนเราคริสตชนมักจะเรียกหนังสือเหล่านี้ว่าหนังสือ “ประวัติศาสตร์”  แต่ต้องเข้าใจว่าหนังสือเหล่านี้เขียนขึ้นจากทรรศนะทางศาสนา และสนใจเป็นพิเศษถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความเชื่อฟังและไม่เชื่อฟังของอิสราเอลต่อพระวาจาที่บรรดาประกาศกประกาศให้ทราบ

    หนังสือเหล่านี้มีความสัมพันธ์ทั้งกับหนังสือต่างๆ ที่ตามมาและกับหนังสือต่างๆ ก่อนหน้านั้นด้วย หนังสือเหล่านี้เล่าเรื่องที่หนังสือปัญจบรรพทิ้งค้างไว้ ตอนปลายของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติเล่าว่าโมเสสแต่งตั้งโยชูวาเป็นผู้สืบตำแหน่งแล้วถึงแก่กรรม เรื่องนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของหนังสือโยชูวาอีกด้วย นักวิชาการบางคนพยายามอธิบายว่าหนังสือปัญจบรรพและหนังสือประกาศกดั้งเดิมนี้มีความต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียวทางวรรณกรรม และยังพยายามค้นหา “ธรรมประเพณี” หรือ “ตำนาน” ที่พบได้ในหนังสือ     ปัญจบรรพในหนังสือเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะในหนังสือโยชูวา ซึ่งเมื่อรวมกับหนังสือปัญจบรรพแล้วเรียกว่า “ฉบรรพ” (อ่านว่า “ฉอ-บับ) ถึงกระนั้นความพยายามดังกล่าวไม่ประสบผลเท่าที่ควรในหนังสือผู้วินิจฉัย ซามูเอลและพงศ์กษัตริย์ การวิเคราะห์หนังสือโยชูวาได้ผลบ้างเพราะเรื่องราวในหนังสือโยชูวาต่อเนื่องจากตำนานยาห์วิสต์และเอโลฮิสต์อย่างชัดเจน แต่ไม่แน่ว่ามาจากตำนานเดียวกันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม อิทธิพลจากข้อเขียนและคำสอนของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติปรากฏชัดเจนกว่า จนกระทั่งผู้สนับสนุนทฤษฎี “ฉบรรพ” จำเป็นต้องยอมรับว่าหนังสือโยชูวาได้รับการเรียบเรียงตามแนวความคิดของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติด้วย อิทธิพลของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติยังปรากฏให้เห็นชัดเจนในหนังสือประกาศกดั้งเดิมอื่นๆ ด้วยแม้ในระดับต่างกัน มีมากในหนังสือผู้วินิจฉัย มีน้อยในหนังสือซามูเอล และมากอย่างเด่นชัดในหนังสือพงศ์กษัตริย์ เพราะเหตุนี้จึงมีผู้เสนอทฤษฎีที่ว่าหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติเป็นเล่มแรกที่เริ่มเล่าประวัติศาสตร์ทางศาสนาอย่างกว้างขวางและดำเนินไปในหนังสือโยชูวา    ผู้วินิจฉัย   และซามูเอล จนจบหนังสือพงศ์กษัตริย์
    หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติให้พื้นฐานทางประวัติศาสตร์สำหรับคำสอนเรื่องพระเจ้าทรงเลือกสรรอิสราเอล   และให้โครงสร้างของระบอบการปกครองที่มีพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของประชากรที่ทรงเลือกสรร หนังสือโยชูวาเล่าเรื่องต่อไปเพื่อแสดงว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนี้เข้าไปยึดครองแผ่นดินแห่งพระสัญญาอย่างไร หนังสือผู้วินิจฉัยเล่าว่าอิสราเอลทรยศต่อพระเจ้าบ่อยๆ และกลับมารับพระกรุณาอีกทุกครั้ง       หนังสือซามูเอลสองฉบับกล่าวถึงวิกฤติการณ์ของอิสราเอลซึ่งนำไปสู่ระบอบมีกษัตริย์ปกครองซึ่งขัดกับอุดมการณ์ที่มีพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ปกครอง แล้วพยายามอธิบายว่าอุดมการณ์ดังกล่าวนี้ยังเป็นความจริงในรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิด หนังสือพงศ์กษัตริย์กล่าวถึงความเสื่อมของชาวอิสราเอลที่เริ่มขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน และอธิบายว่าความไม่ซื่อสัตย์และความดื้อรั้นของอิสราเอลทำให้พระเจ้าทรงลงโทษประชากรของพระองค์ แม้ว่ากษัตริย์บางองค์มีความซื่อสัตย์ก็ตาม หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติถูกแยกออกจากหนังสือชุดประวัติศาสตร์นี้เพราะต้องการจะรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับบุคลิกและกิจการของโมเสสเข้าไว้ในหนังสือชุดเดียวกันเป็นหนังสือปัญจบรรพ
    การเล่าเรื่องประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่องเช่นนี้สมเหตุสมผลพอที่จะรับได้ แต่จะต้องเพิ่มเติมความคิดสำคัญอีกสองประการ ความคิดแรกคือผู้เรียบเรียงประวัติศาสตร์ตามแนวความคิดของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติใช้ธรรมประเพณีที่เล่าต่อกันมาด้วยปากเปล่าและเอกสารที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เอกสารเหล่านี้มีลักษณะและอายุต่างกัน เอกสารหลายฉบับถูกรวบรวมไว้เป็นชุดอยู่แล้ว ผู้เรียบเรียงเพียงแต่ปรับปรุงบ้างเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเหตุนี้หนังสือต่างๆ และส่วนต่างๆ ในหนังสือแต่ละเล่มจึงยังรักษาเอกลักษณ์ของเอกสารเหล่านี้ไว้ด้วย ความคิดประการที่สองคือการเรียบเรียงประวัติศาสตร์ตามแนวความคิดของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติไม่ได้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว หนังสือแต่ละเล่มทิ้งร่องรอยว่าได้รับการเรียบเรียงมากกว่าหนึ่งครั้ง ดังจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในหนังสือพงศ์กษัตริย์ซึ่งคงได้รับการเรียบเรียงอย่างน้อยสองครั้ง ครั้งแรกหลังจากการปฏิรูปทางศาสนาในรัชสมัยของกษัตริย์        โยสิยาห์ไม่นาน และครั้งที่สองระหว่างการเนรเทศที่บาบิโลน
    เพราะฉะนั้นหนังสือต่างๆ ในรูปแบบที่เรามีในปัจจุบันจึงเป็นผลงานของผู้เขียนกลุ่มหนึ่งหรือ “สำนัก” หนึ่ง  เป็นผลงานของคนกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อและได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากแนวความคิดของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ คนเหล่านี้รำพึงไตร่ตรองถึงประวัติศาสตร์ของชนชาติของตนและได้ข้อสรุปเป็นบทเรียนทางศาสนา ในเวลาเดียวกันเขายังถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล  รวมทั้งเรื่องราวจากธรรมประเพณีและเอกสารต่างๆ  ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยที่ชาวอิสราเอลเข้ายึดครองแผ่นดินคานาอัน   จากหนังสือเหล่านี้ คริสตชนไม่เพียงเรียนรู้ที่จะเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าในเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก แต่ยังเห็นว่าความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรที่ทรงเลือกสรรและทรงเรียกร้องให้เขาตอบสนองนั้นเป็นการเตรียมชุมชนของผู้มีความเชื่อให้เป็นประชากรอิสราเอลใหม่อีกด้วย

2. หนังสือโยชูวา
    หนังสือโยชูวาแบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ 1) การเข้ายึดครองแผ่นดินแห่งพระสัญญา (บทที่ 1-12)  2) การแบ่งแผ่นดินคานาอันให้แก่เผ่าต่างๆ  (บทที่ 13-21)  3) วาระสุดท้ายของโยชูวา โดยเฉพาะคำปราศรัยสุดท้ายและการชุมนุมที่เมืองเชเคม (บทที่ 22-24)  ธรรมประเพณีของชาวยิวยอมรับว่าโยชูวาไม่ได้เป็นผู้เขียนหนังสือฉบับนี้ แต่ผู้เขียนใช้แหล่งข้อมูลหลายสาย
    ภาคที่หนึ่ง ประกอบด้วยเรื่องราว 2 ชุด ชุดแรก (บทที่ 2-9) รวบรวมธรรมประเพณีหลายสายเกี่ยวกับสักการสถานของเผ่าเบนยามินที่เมืองกิลกาล ธรรมประเพณีเหล่านี้บางครั้งเล่าเรื่องเดียวซ้ำกัน  ชุดที่สอง (บทที่ 10-11) บันทึกเรื่องการรบสองครั้งที่เมืองกิเบโอนและเมืองเมโรม ซึ่งสรุปการเข้ายึดครองดินแดนทางใต้และทางเหนือตามลำดับ เรื่องราวของชาวกิเบโอนในบทที่ 9 ซึ่งยังดำเนินต่อไปถึง 10:1-6 เป็นตัวเชื่อมเรื่องทั้งสองชุดเข้าด้วยกัน เรื่องทั้งสองชุดนี้คงจะนำมารวมกันตั้งแต่สมัยเริ่มมีกษัตริย์ปกครอง
    การที่เรื่องราวในบทที่ 2-9 เกิดมาจากเมืองกิลกาล   ซึ่งเป็นสักการสถานของชนเผ่าเบนยามินไม่ได้หมายความว่าเรื่องราวเกี่ยวกับโยชูวาซึ่งเป็นคนเผ่าเอฟราอิมจะเป็นเรื่องไม่สำคัญที่เพิ่มเข้ามาในภายหลัง เพราะชนเผ่าเอฟราอิมและเบนยามินเข้ามาในแผ่นดินคานาอันพร้อมกันก่อนที่จะไปยึดครองดินแดนเฉพาะของตน จุดประสงค์ของผู้เขียนเรื่องเล่าเหล่านี้คือต้องการอธิบายสภาพการณ์ในสมัยของตนโดยเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต วิธีเขียนเช่นนี้ทำให้เป็นไปได้ว่ารายละเอียดต่างๆ ในเรื่องไม่จำเป็นต้องได้เกิดขึ้นจริงๆ ทุกประการ แต่เหตุการณ์ที่เล่าถึงนั้นมีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์คือเกิดขึ้นจริงเพราะมีหลักฐานทางโบราณคดีสนับสนุน ยกเว้นเรื่องการยึดเมืองอัยและบางทีการยึดเมืองเยริโค ซึ่งเราไม่มีหลักฐานชัดเจน
    ภาคที่สองซึ่งมีลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิง คือเป็นตำราภูมิศาสตร์ บทที่ 13 บอกตำแหน่งที่อยู่ของชนเผ่ารูเบน เผ่ากาดและครึ่งเผ่ามนัสเสห์ โมเสสเคยจัดให้เผ่าเหล่านี้อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนแล้วใน กดว 32 (ดู ฉธบ 3:12-17)  บทที่ 14-19 กล่าวถึงชนเผ่าอื่นที่อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน เรื่องราวเหล่านี้รวมเอกสารสองประเภทเข้าไว้ด้วยกัน ประเภทหนึ่งบรรยายถึงเขตแดนของแต่ละเผ่าอย่างละเอียดบ้าง ไม่ละเอียดบ้าง เอกสารนี้คงจะเขียนขึ้นในสมัยก่อนมีกษัตริย์ปกครอง เอกสารประเภทที่สองคือรายชื่อของเมืองต่างๆ ที่น่าจะเพิ่มเติมเข้ามาในภายหลัง รายชื่อเมืองที่ละเอียดที่สุดได้แก่รายชื่อเมืองของเผ่ายูดาห์ในบทที่ 15 ซึ่งแบ่งเมืองต่างๆ ออกเป็น 12  เขต สะท้อนเขตปกครองของอาณาจักรยูดาห์ บางทีในรัชสมัยของกษัตริย์เยโฮซาฟัท (870-848 ก.ค.ศ) บทที่ 20 เป็นรายชื่อ “เมืองลี้ภัย” รายชื่อนี้คงไม่ได้เขียนขึ้นก่อนรัชสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน บทที่ 21 เป็นรายชื่อ “เมืองของชนเลวี” ซึ่งคงได้เขียนเพิ่มเติมหลังการเนรเทศที่บาบิโลน แต่สะท้อนสภาพการณ์ในสมัยมีกษัตริย์ปกครอง
    ในภาคที่สาม บทที่ 22 ซึ่งเล่าว่าเผ่าทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนกลับมาในดินแดนของตนหลังจากช่วยเผ่าอื่นๆ ยึดครองแผ่นดินคานาอันแล้ว และสร้างพระแท่นบูชาแห่งหนึ่งที่ริมแม่น้ำจอร์แดน เราสังเกตได้ว่าข้อความในบทนี้ได้รับการเรียบเรียงทั้งจากสำนักเฉลยธรรมบัญญัติและจากบรรดาสมณะ (ตำนานสงฆ์) แต่ก่อนนั้นน่าจะเขียนขึ้นจากธรรมประเพณีอีกสายหนึ่งที่เราไม่ทราบว่าสำคัญอย่างไรและเขียนขึ้นเมื่อใด  บทที่ 24 บันทึกเหตุการณ์โบราณซึ่งยังอยู่ในความทรงจำของชาวอิสราเอลเกี่ยวกับการชุมนุมของเผ่าต่างๆ ที่เมืองเชเคมเพื่อทำพันธสัญญาว่าจะนับถือพระยาห์เวห์แต่พระองค์เดียวเท่านั้น
    ข้อความตอนต่างๆ ต่อไปนี้น่าจะเป็นผลการเรียบเรียงของสำนักเฉลยธรรมบัญญัติ คือ บทที่ 1 (เกือบทั้งบท); 8:30-35; 10:16-43; 11:10-20; บทที่ 12; 22:1-8; บทที่ 23 และการเรียบเรียงครั้งสุดท้ายของบทที่ 24
    หนังสือโยชูวาเล่าว่าชาวอิสราเอลเข้ายึดครองแผ่นดินแห่งพระสัญญาทั้งหมดโดยที่ทุกเผ่ามาร่วมกันทำสงครามกับชาวคานาอันและมีโยชูวาเป็นผู้นำ แต่หนังสือผู้วินิจฉัยบทที่ 1 เล่าเหตุการณ์อีกแบบหนึ่ง คือแต่ละเผ่าต้องดิ้นรนต่อสู้กับชาวคานาอันโดยลำพังเพื่อจะยึดครองดินแดนของตน และหลายครั้งต้องประสบความล้มเหลว ความคิดเช่นนี้น่าจะมาจากธรรมประเพณีที่เกิดขึ้นในเผ่ายูดาห์ และหนังสือ     โยชูวามีข้อมูลบางประการของธรรมประเพณีนี้อยู่ประปรายในภาคภูมิศาสตร์ (ยชว 13;1-6; 14:6-15; 15:13-19; 17:12-18)     ภาพการเข้ายึดครองแผ่นดินคานาอันทีละเล็กละน้อยนี้น่าจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์มากกว่า แม้เราไม่สามารถบอกได้ว่ารายละเอียดของเรื่องราวเป็นอย่างไร การตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ตอนใต้เริ่มจากเมืองคาเดชและแคว้นเนเกบโดยเผ่าต่างๆ ซึ่งในภายหลังค่อยๆ รวมเข้าเป็นเผ่าเดียวคือเผ่ายูดาห์ ได้แก่ชาวคาเลบ ชาวเคนัส ฯลฯ และเผ่าสิเมโอน การตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ตอนกลางเป็นผลงานของเผ่าเอฟราอิม มนัสเสห์และเบนยามินที่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนโดยมีโยชูวาเป็นผู้นำ การตั้งถิ่นฐานทางเหนือมีประวัติความเป็นมาต่างกัน เผ่าเศบูลุน  อิสสาคาร์ อาเชอร์และนัฟธาลีตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่นนานมาแล้ว     และไม่เคยลงไปอยู่ในประเทศอียิปต์       เผ่าทางเหนือเหล่านี้มาชุมนุมกับเผ่าอื่นๆ ที่เมืองเชเคมเพื่อยอมรับความเชื่อในพระยาห์เวห์ที่เผ่าซึ่งมากับโยชูวานำมาให้    เผ่าทางเหนือเหล่านี้จึงต่อสู้กับชาวคานาอันที่เคยข่มเหงตนและยังคงคุกคามอยู่เพื่อจะยึดครองดินแดนของตนเป็นการถาวร การตั้งถิ่นฐานในเขตต่างๆ ของแผ่นดินคานาอันจึงสำเร็จลงทั้งโดยใช้กำลังทำสงคราม และโดยค่อยๆ เข้ายึดครองอย่างสันติ รวมทั้งโดยทำสนธิสัญญากับชาวพื้นเมือง
    บทบาทของโยชูวาในการตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ นับตั้งแต่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนจนถึงการชุมนุมที่เมืองเชเคม นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ เมื่อคำนึงถึงการกำหนดเวลาที่ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับหนังสืออพยพ เราอาจเสนอลำดับเวลาดังต่อไปนี้ -- เผ่าต่างๆ เข้ายึดครองจากทิศใต้ราวปี 1250 ก.ค.ศ. - บรรดาเผ่าที่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้ายึดครองปาเลสไตน์ตอนกลางราวปี 1225 ก.ค.ศ. - เผ่าทางเหนือขยายเขตแดนของตนราวปี 1200 ก.ค.ศ.
    หนังสือโยชูวาเสนอภาพการเข้ายึดครองแผ่นดินคานาอันตามอุดมการณ์โดยใช้โครงสร้างง่ายๆ  แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มีความซับซ้อนอยู่ไม่น้อย และเราไม่สามารถทราบรายละเอียดที่เกิดขึ้นจริง เป็นภาพในอุดมการณ์     เพราะเรื่องการเข้ายึดครองแผ่นดินคานาอันเป็นการเล่าแบบเฉลิมพระเกียรติต่อจากการอพยพออกจากประเทศอียิปต์โดยเน้นการอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ เรื่องที่เล่ายังมีโครงสร้างง่ายๆ โดยให้โยชูวาเป็นพระเอกของเหตุการณ์ทุกอย่าง เขาเป็นผู้นำเผ่าโยเซฟเข้าทำสงคราม (บทที่ 1-12) เขาเป็นผู้แบ่งแผ่นดินให้แก่เผ่าต่างๆ (บทที่ 13-21) แม้ว่าในความเป็นจริงไม่มีใครจัดการแบ่งแผ่นดินในสมัยใดเลย เรื่องราวทั้งหมดในหนังสือกล่าวถึงโยชูวาและจบลงด้วยการอำลาและมรณกรรมของเขา (บทที่ 23; 24:29-31)  หนังสือ     โยชูวาทั้งเล่มกล่าวถึงแผ่นดินคานาอัน  ประชากรซึ่งได้พบพระเจ้าในถิ่นทุรกันดารบัดนี้รับแผ่นดินเป็นของตนจากพระหัตถ์ของพระองค์ พระยาห์เวห์ทรงต่อสู้เพื่อชาวอิสราเอล (23:3,10; 24:11-12) และบัดนี้ทรงมอบแผ่นดินที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษ (23:5,14) ให้เป็นมรดกของเขา

3. หนังสือผู้วินิจฉัย
    หนังสือผู้วินิจฉัยแบ่งได้เป็น 3 ภาคยาวไม่เท่ากัน คือ 1) บทนำ (1:1 – 2:5) 2) เรื่องหลัก (2:6 – 16:31) 3) ภาคผนวกสองเรื่อง เรื่องแรกกล่าวถึงชนเผ่าดานอพยพย้ายถิ่นฐานไปสร้างสักการสถานที่เมืองดาน (บทที่ 17-18) เรื่องที่สองกล่าวถึงสงครามที่เกือบจะล้างเผ่าคนเบนยามินเพราะอาชญากรรมที่เมืองกิเบอาห์ (บทที่ 19-21)
    บทนำ  (1:1 – 2:5) แต่เดิมคงไม่ใช่เนื้อหาของหนังสือผู้วินิจฉัย เพราะเป็นการเล่าอีกแบบหนึ่งถึงการเข้ายึดครองแผ่นดินคานาอันจากทรรศนะของชนเผ่ายูดาห์ดังที่กล่าวแล้วเมื่อแนะนำหนังสือโยชูวา เมื่อผู้เรียบเรียงนำเรื่องนี้มาไว้ในหนังสือผู้วินิจฉัย เขาจึงกล่าวซ้ำถึงมรณกรรมและการฝังศพของโยชูวาที่กล่าวแล้วใน ยชว 24:29-31 อีกครั้งหนึ่ง (วนฉ 2:6-10)
ประวัติของบรรดาผู้วินิจฉัยรวมเป็นเรื่องหลักของหนังสือ (2:6 – 16:31) นักวิชาการมักจะแยกบรรดาผู้วินิจฉัยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้ชื่อว่า “ผู้วินิจฉัยใหญ่” ซึ่งมี 6 คน คือโอทนีเอล เอฮูด บาราค(และนางเดโบราห์) กิเดโอน เยฟธาห์และแซมสัน เพราะกล่าวถึงกิจการของคนเหล่านี้อย่างละเอียดพอสมควร  อีกกลุ่มหนึ่งได้ชื่อว่า “ผู้วินิจฉัยน้อย”  6 คน ได้แก่ชัมการ์ (3:31) โทลาและยาอีร์ (10:1-15) อิบซาน เอโลนและอับโดน (12:8-15) เพราะมีข้อความกล่าวถึงเพียงสั้นๆ ถึงกระนั้นพระคัมภีร์ไม่ได้แยกแยะผู้วินิจฉัยตามมาตรการที่ว่านี้ การแยกแยะมีเหตุผลลึกซึ้งกว่านี้มาก คือธรรมประเพณีสองสายที่แตกต่างกันมากถูกนำมารวมกันโดยใช้ชื่อ “ผู้วินิจฉัย” คำเดียวเรียกผู้เกี่ยวข้องทุกคนเหมือนกัน  “ผู้วินิจฉัยใหญ่” เป็นวีรชนประจำเผ่าที่ช่วยชนในเผ่าให้รอดพ้นจากศัตรู แต่ละคนมีชาติกำเนิด บุคลิกภาพและผลงานแตกต่างกันมาก แต่ทุกคนมีลักษณะร่วมกันประการหนึ่งคือได้รับพระพรพิเศษ (charism) จากพระเจ้า พระองค์ทรงเรียกแต่ละคนให้ประกอบภารกิจช่วยชนเผ่าของตนให้รอดพ้นจากศัตรูที่มาข่มเหง แต่เดิมเรื่องราวของวีรชนเหล่านี้เล่าต่อๆ กันมาด้วยปากเปล่า มีรูปแบบและรายละเอียดแตกต่างกันมากและค่อยๆ ต่อเติมเข้ามาเรื่อยๆ เรื่องราวเหล่านี้ถูกรวบรวมเข้าเป็นหนังสือ “วีรชนกู้ชาติ” ซึ่งคงเขียนขึ้นในอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือในช่วงแรกของสมัยมีกษัตริย์ปกครอง หนังสือเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของเอฮูด เรื่องราวของบาราคและนางเดโบราห์ เรื่องนี้อาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับยาบินกษัตริย์แห่งเมืองฮาโซร์ (ยชว 11) เข้ามาปะปนอยู่ด้วยแล้ว        เรื่องราวของกิเดโอน (เยรุบบาอัล) รวมกับเรื่องการปกครองของอาบีเมเลคที่ผนวกเข้ามา เรื่องราวของเยฟธาห์และบุตรสาว และยังมีบทประพันธ์โบราณ 2 บทรวมอยู่ด้วย คือบทเพลงของนางเดโบราห์ (วนฉ 5) ซึ่งกล่าวถึงเรื่องเดียวกันกับที่เล่าเป็นร้อยแก้วแล้วใน วนฉ 4 และนิทานป้องกันตัวของโยธาม (9:7-15) ที่กล่าวประณามอาบีเมเลคซึ่งปรารถนาจะตั้งตนเป็นกษัตริย์ หนังสือเล่มนี้ยกย่องวีรชนของแต่ละเผ่าให้เป็นวีรชนประจำชาติและเป็นผู้นำชาวอิสราเอลทั้งปวงให้ทำสงครามของพระยาห์เวห์ ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับ “ผู้วินิจฉัยน้อย” คือโทลา ยาอีร์ อิบซาน เอโลนและอับโดนมาจากธรรมประเพณีอีกสายหนึ่งซึ่งไม่กล่าวว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ช่วยชนเผ่าของตนให้รอดพ้นจากการข่มเหงของศัตรูเลย บอกแต่เพียงว่าคนเหล่านี้มาจากเผ่าใด จากวงศ์ตระกูลของใคร ศพของเขาฝังไว้ที่ไหน และมีบอกเพียงว่าเขาได้ “วินิจฉัย” ชาวอิสราเอลเป็นเวลานานเท่าใด ในภาษาเซมีติค คำกริยา “วินิจฉัย” (shaphat) ไม่หมายเพียงการตัดสินคดีความในศาลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการปกครองประชาชนในเขตใดเขตหนึ่งด้วย ดังนั้น “ผู้วินิจฉัย” ในพระคัมภีร์จึงหมายถึงสถาบันทางการเมืองซึ่งปกครองชนเผ่าต่างๆ ในเขตเมืองเดียวกัน มีอำนาจปกครองมากกว่าหัวหน้าเผ่า แต่น้อยกว่ากษัตริย์
ผู้เรียบเรียงกลุ่มแรกจากสำนักเฉลยธรรมบัญญัติมีข้อมูลที่แน่นอนและเจาะจงเกี่ยวกับผู้วินิจฉัย(น้อย)เหล่านี้แต่ละคน แต่ได้ขยายอำนาจหน้าที่ของผู้วินิจฉัยให้ครอบคลุมชาวอิสราเอลทั้งปวง และจัดเรียงไว้ตามลำดับเวลาต่อเนื่องกัน เขายังทำให้บรรดาวีรชนจาก “หนังสือวีรชนกู้ชาติ” เป็น “ผู้วินิจฉัยของอิสราเอล” อีกด้วย บางทีกรณีของเยฟธาห์ช่วยให้รวมคนสองกลุ่มนี้เข้าด้วยกัน เพราะเยฟธาห์เป็นทั้งวีรชนผู้กอบกู้ชนเผ่าของตนและเป็นผู้วินิจฉัยด้วยในเวลาเดียวกัน ผู้เรียบเรียงทราบข้อมูลนี้ จึงได้เพิ่มเติมรายละเอียดเรื่องการเป็นผู้วินิจฉัย (11:1-2; 12:7) เข้ากับเรื่องวีรกรรมของเขา ผู้เรียบเรียงยังนำเรื่องของแซมสันเข้ามาในหนังสือนี้ด้วย ทั้งๆ ที่เขาไม่มีลักษณะของคนในกลุ่มใดเลย แซมสันเป็นพระเอกในเผ่าดานก็จริง แต่ไม่ได้เป็นทั้งผู้กอบกู้หรือผู้ปกครองเผ่าของตนเลย แต่กิจการที่แสดงความกล้าบ้าบิ่นของเขาต่อชาวฟีลิสเตียกลายเป็นนิทานชาวบ้านในเผ่ายูดาห์ (บทที่ 13-16) ผู้เรียบเรียงยังได้เพิ่มเรื่องของโอทนีเอล (3:7-11) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยเข้ายึดครองแผ่นดินคานาอันมากกว่า (ดู ยชว 15:16-19; วนฉ 1:12-15) เข้ามาด้วย  ต่อมายังเพิ่มเรื่องของชัมการ์ (วนฉ 3:31) ซึ่งไม่ใช่ชาวอิสราเอลด้วยซ้ำไป (ดู วนฉ 5:6)   ทั้งนี้เพื่อทำให้จำนวนของผู้วินิจฉัยเป็นสิบสองคน     ตามจำนวนสัญลักษณ์หมายถึงชาวอิสราเอลทั้งปวง
ผู้เรียบเรียงจากสำนักเฉลยธรรมบัญญัติกำหนดกรอบเวลาสำหรับหนังสือผู้วินิจฉัย เขารักษาข้อมูลที่ชัดเจนและเจาะจงเกี่ยวกับ “ผู้วินิจฉัย(น้อย)” ไว้โดยไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แต่กำหนดช่วงเวลาสำหรับเรื่องอื่นๆ โดยใช้จำนวนเลขที่เป็นสูตรนิยมใช้กัน คือเลข 40 ซึ่งหมายถึงระยะเวลาหนึ่งชั่วอายุคน  เลข 80 ซึ่งเป็นผลคูณของ 40 หรือเลข 20 ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของ 40  เขากำหนดเวลาเช่นนี้เพื่อว่าเมื่อรวมกับข้อมูลอื่นๆ ในพระคัมภีร์จะให้ผลลัพธ์เป็น 480 ปี ซึ่งตามความคิดของสำนักเฉลยธรรมบัญญัติเป็นเวลาที่ผ่านไประหว่างการอพยพออกจากประเทศอียิปต์และการสร้างพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม (1 พกษ 6:1) เรื่องราวของผู้วินิจฉัยเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างมรณกรรมของโยชูวากับการเริ่มภารกิจของซามูเอลรับกันกับกรอบเวลาที่จัดขึ้นนี้อย่างเหมาะเจาะ ถึงกระนั้น งานสำคัญของสำนักเฉลยธรรมบัญญัติคือการเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ให้มีความหมายทางศาสนา เขาแสดงเจตนารมณ์นี้อย่างชัดเจนในบทนำทั่วไปเรื่องผู้วินิจฉัย (วนฉ 2:6 – 3:6) และโดยเฉพาะในบทนำพิเศษของเรื่องเยฟธาห์ (10:6-16) ตลอดจนในเรื่องของโอทนีเอลที่ผู้เรียบเรียงได้แต่งขึ้นเกือบทั้งหมดให้เป็นเสมือนบทนำของเรื่องผู้วินิจฉัยแต่ละคนที่จะตามมาและมีความยาวมากกว่า   ทรรศนะของผู้เรียบเรียงจากสำนักเฉลยธรรมบัญญัติโดยสรุปก็คือ 1) ชาวอิสราเอลไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์  2) พระองค์จึงทรงมอบเขาให้ศัตรูมาข่มเหง  3) ชาวอิสราเอลร้องเรียกหาพระยาห์เวห์   4) พระองค์จึงทรงส่งผู้กอบกู้มาช่วย ได้แก่ผู้วินิจฉัย  แต่ต่อมาชาวอิสราเอลก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์อีก วนเวียนอยู่เช่นนี้ต่อๆ ไป
สำนักเฉลยธรรมบัญญัติคงได้เรียบเรียงปรับปรุงหนังสือผู้วินิจฉัยอย่างน้อยสองครั้ง หลักฐานที่ชัดเจนก็คือข้อความเพิ่มเติมบทนำสองตอน (2:11-19 และ 2:6-10 รวมกับ 2:20 – 3:6) และข้อสรุปเรื่องแซมสันสองครั้ง (15:20 และ 16:30) ซึ่งแสดงว่าบทที่ 16 เป็นข้อความที่เพิ่มเติมในภายหลัง ในระยะนี้หนังสือผู้วินิจฉัยยังไม่มีภาคผนวก (บทที่ 17-21) ซึ่งไม่เล่าเรื่องของผู้วินิจฉัยคนใด แต่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการสถาปนาระบอบมีกษัตริย์ปกครอง เพราะฉะนั้นผู้เรียบเรียงหนังสือผู้วินิจฉัยหลังกลับจากเนรเทศจึงเพิ่มบทที่ 17-21 นี้เข้าไปอีก บทเหล่านี้สะท้อนธรรมประเพณีโบราณที่ถ่ายทอดทั้งด้วยปากเปล่าและเป็นลายลักษณ์อักษรมานานก่อนจะถูกนำมารวมไว้ที่นี่ บทที่ 17-18 มีพื้นฐานจากธรรมประเพณีของชนเผ่าดานเกี่ยวกับการอพยพย้ายถิ่นฐานของเผ่าและการก่อสร้างสักการสถานที่เมืองดาน             ผู้เรียบเรียงอธิบายความหมายของเหตุการณ์นี้ในแง่ลบ ส่วนบทที่ 19-21 รวมธรรมประเพณีสองสายเกี่ยวกับสักการสถานที่เมืองมิศปาห์และเมืองเบธเอลเข้าด้วยกันเหมือนกับว่าสักการสถานทั้งสองนี้เป็น สักการสถานของอิสราเอลทุกเผ่าแล้ว ธรรมประเพณีทั้งสองสายนี้คงมีต้นกำเนิดในเผ่าเบนยามิน    แต่เผ่ายูดาห์คงเรียบเรียงขึ้นใหม่ในแง่ลบเพื่อต่อต้านสิทธิเป็นกษัตริย์ปกครองของซาอูลที่เมืองกิเบอาห์
หนังสือผู้วินิจฉัยเป็นแหล่งข้อมูลเพียงแหล่งเดียวที่เรามีเกี่ยวกับสมัยของผู้วินิจฉัย เราจึงไม่มีข้อมูลเพียงพอเพื่อจะเล่าประวัติศาสตร์ของสมัยนี้อย่างต่อเนื่อง ดังที่กล่าวแล้ว ผู้เขียนได้จัดเหตุการณ์ตามลำดับเวลาและแบบแผนที่คิดขึ้นเองมากกว่าจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เล่าเหตุการณ์ต่อเนื่องกันซึ่งในความเป็นจริงเหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ทั้งการข่มเหงและการกอบกู้แต่ละครั้งคงจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะถิ่นในแต่ละเผ่ามากกว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อทุกเผ่า โดยแท้จริงแล้วระยะเวลาของสมัยผู้วินิจฉัยน่าจะนานไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบปี
เราไม่สามารถกำหนดเวลาแน่นอนเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญที่มีเรื่องราวบันทึกไว้ได้ เราสามารถกำหนดเวลาได้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น ชัยชนะของนางเดโบราห์และบาราคที่เมืองทาอานาค (วนฉ 4-5) อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางศตวรรษที่ 12 ก่อนคริสตกาล (ราวปี 1125 ก.ค.ศ.) ก่อนที่ชาวมีเดียนจะมารุกราน (เรื่องกิเดโอน)    และก่อนที่ชาวฟีลิสเตียจะขยายอาณาเขตของตนเข้ามาในดินแดนของเผ่าดาน   (เรื่องแซมสัน)          ข้อเท็จจริงสำคัญที่เราทราบได้จากหนังสือผู้วินิจฉัยก็คือศัตรูของชาวอิสราเอลในช่วงเวลาวุ่นวายนี้ไม่ใช่เพียงชาวคานาอันซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินดั้งเดิม  เช่นผู้อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบ   ยิสเรเอล ซึ่งพ่ายแพ้ต่อนางเดโบราห์และบาราคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนชาติเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่นชาวโมอับ (เรื่องเอฮูด) ชาวอัมโมน (เรื่องเยฟธาห์)  ชาวมีเดียน (เรื่องกิเดโอน)  และชาวฟีลิสเตียที่เพิ่งอพยพเข้ามา (เรื่องแซมสัน)       ชาวอิสราเอลแต่ละเผ่าต้องปกป้องเขตแดนของตนจากศัตรูต่างๆ เหล่านี้ที่คุกคาม บางครั้งชนเผ่าใกล้เคียงอาจรวมกำลังกัน (วนฉ 7:23) หรือบางครั้งเผ่าที่มีอำนาจมากกว่าอาจบ่นว่าเผ่าอื่นที่ไม่ได้เชิญตนมาร่วมรบกับศัตรูเพื่อจะได้มีส่วนแบ่งจากของเชลยด้วย  (วนฉ 8:1-3; 12:1-6)   บทเพลงของนางเดโบราห์   (บทที่ 5)   ประณามชนเผ่าที่ปฏิเสธไม่ยอมออกไปร่วมรบ   แต่น่าแปลกที่ไม่มีการกล่าวถึงเผ่ายูดาห์และเผ่าสิเมโอนเลยสักครั้งเดียว
เมืองเกเซอร์ของชาวคานาอัน เมืองต่างๆ ของชาวกิเบโอน และเมืองเยรูซาเล็มของชาวเยบุสแยกเขตแดนของเผ่ายูดาห์และสิเมโอนทางใต้จากเผ่าอื่นๆ ของอิสราเอล  การอยู่แยกกันเช่นนี้จะเป็นเหตุในอนาคตที่ทำให้บรรดาเผ่าทางเหนือแยกตัวจากเผ่ายูดาห์ทางใต้ ตรงกันข้ามเผ่าทางเหนือรวมตัวกันได้   ชัยชนะในการรบที่เมืองทาอานาคทำให้ชาวอิสราเอลสามารถยึดครองที่ราบยิสเรเอลได้ทั้งหมด และดังนี้เผ่าเอฟราอิม มนัสเสห์และเบนยามินสามารถทำพันธสัญญากับเผ่าอื่นๆ ทางเหนือ กระนั้นก็ดี ความเชื่อเดียวกันทำให้เผ่าต่างๆ   รวมเป็นหนึ่งเดียว   ผู้วินิจฉัยทุกคนนับถือพระยาห์เวห์ด้วยความจริงใจ   และสักการสถานซึ่งประดิษฐานหีบพันธสัญญาที่เมืองชิโลห์ก็เป็นศูนย์กลางที่ประชากรทั้งหมดมาชุมนุมกัน
    หนังสือผู้วินิจฉัยสอนชาวอิสราเอลว่าเขาถูกศัตรูข่มเหงเป็นการลงโทษที่เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์ เขาจะมีชัยชนะได้ก็เมื่อเขากลับใจมาหาพระองค์ ผู้เขียนหนังสือบุตรสิราจะยกย่องบรรดาผู้วินิจฉัยเพราะเขามีความเชื่อมั่นคง (บสร 46:11-12) และจดหมายถึงชาวฮีบรูอธิบายว่าบรรดาผู้วินิจฉัยสามารถพิชิตศัตรูก็โดยอาศัยความเชื่อ เขาเป็นส่วนหนึ่งของ “พยานจำนวนมากที่ห้อมล้อม” เชิญชวน  คริสตชนให้ละทิ้งบาปและสู้ทนความยากลำบากด้วยความเข้มแข็ง (ฮบ 11:32-34; 12:1)

4. หนังสือนางรูธ
หนังสือนางรูธเป็นหนังสือสั้นๆ ซึ่งในพระคัมภีร์ฉบับภาษากรีก (LXX)   ภาษาละติน (Vulgate) และฉบับแปลต่างๆ ในสมัยปัจจุบัน อยู่ต่อจากหนังสือผู้วินิจฉัย แต่ในพระคัมภีร์ฉบับภาษาฮีบรู หนังสือเล่มนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “ข้อเขียน” เป็นหนึ่งในหนังสือห้าม้วน (Megillot) ที่ชาวยิวใช้อ่านในวันฉลองสำคัญ หนังสือนางรูธใช้อ่านในวันเปนเตก๊อสเต เนื้อหาของหนังสือนี้เล่าเหตุการณ์ในสมัยผู้วินิจฉัย (ดู นรธ 1:1) ก็จริง แต่สำนักเฉลยธรรมบัญญัติที่ได้เรียบเรียงหนังสือภาคประวัติศาสตร์ตั้งแต่ ยชว จนถึง พกษ คงไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้ จึงไม่ได้เรียบเรียงปรับปรุงแต่อย่างใด
หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องของนางรูธ  หญิงชาวโมอับ  ภรรยาหม้ายของชายชาวเบธเลเฮมคนหนึ่งที่เคยอพยพไปอยู่ในแคว้นโมอับ นางรูธตามนางนาโอมีมารดาของสามีกลับมาในแคว้นยูดาห์และแต่งงานกับโบอาสญาติของสามีตามธรรมเนียมที่แม่หม้ายจะต้องแต่งงานกับญาติใกล้ชิดของสามีที่เสียชีวิตแล้ว จากการแต่งงานนี้ นางให้กำเนิดโอเบดซึ่งเป็นพระอัยกาของกษัตริย์ดาวิด    ข้อความต่อเติมใน นรธ 4:18-22 กล่าวถึงลำดับวงศ์วานของกษัตริย์ดาวิด ตรงกับที่มีใน 1 พศด 2:5-15
ยังเป็นที่ถกเถียงกันไม่มีข้อยุติว่าหนังสือนางรูธเขียนขึ้นเมื่อไร นักวิชาการมีความเห็นต่างกันหลากหลาย  คิดว่าหนังสือนี้อาจแต่งขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ  ตั้งแต่สมัยกษัตริย์ดาวิดและซาโลมอนจนถึงสมัยเนหะมีย์ ผู้ที่คิดว่าหนังสือเล่มนี้เขียนในสมัยหลังอ้างเหตุผลจากการที่หนังสือนี้อยู่ในภาคสุดท้ายของพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู หรือจากภาษาที่ใช้ หรือจากขนบธรรมเนียมที่มีกล่าวถึงในหนังสือ แต่เหตุผลเหล่านี้ก็ยังไม่มีน้ำหนักพอเพียงจะพิสูจน์ว่าหนังสือเล่มนี้เขียนในสมัยหลัง    และมักจะคิดกันว่าหนังสือนี้อาจเขียนในสมัยที่อิสราเอลยังมีกษัตริย์ปกครอง
หนังสือนี้เล่าเรื่องเตือนใจ ต้องการสอนว่าผู้ที่ไว้วางใจในพระเจ้าจะได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์ และพระองค์ยังทรงแสดงพระเมตตากรุณาต่อหญิงต่างชาติอีกด้วย (นรธ 2:12) คำสอนอมตของหนังสือเล็กๆ เล่มนี้คือความเชื่อในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าและความสำนึกว่าพระเจ้าทรงดูแลมนุษย์ทุกคนไม่จำกัดเชื้อชาติ การที่นางรูธเป็นพระมาตามหัยยิกา(ย่าทวด)ของกษัตริย์ดาวิดทำให้หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ     นักบุญมัทธิวยังกล่าวถึงนางรูธในลำดับวงศ์วานพระคริสตเจ้าด้วย (มธ 1:5)

5. หนังสือซามูเอล
ในพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู หนังสือซามูเอลเป็นหนังสือเล่มเดียว ผู้แปลพระคัมภีร์เป็นภาษากรีกเป็นผู้แบ่งหนังสือนี้เป็นสองเล่มอย่างที่เรามีในปัจจุบัน นอกจากนั้นพระคัมภีร์ฉบับภาษากรีกยังรวมหนังสือ  ซามูเอลและพงศ์กษัตริย์เข้าด้วยกัน เรียกว่า “หนังสือสี่เล่มเรื่องอาณาจักร”  (ในฉบับภาษาละตินได้ชื่อว่า “หนังสือพงศ์กษัตริย์สี่เล่ม”) หนังสือสองเล่มแรกนี้ได้ชื่อว่า “หนังสือซามูเอล” ในพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู เพราะชาวยิวคิดว่าประกาศกซามูเอลเป็นผู้เขียน
ตัวบทต้นฉบับภาษาฮีบรูของหนังสือซามูเอลอยู่ในสภาพชำรุดมากที่สุดเล่มหนึ่งของพันธสัญญาเดิม ฉบับแปลเป็นภาษากรีก (LXX) มีข้อความที่ต่างกันบ่อยครั้ง เพราะอาจแปลมาจากต้นฉบับที่มีอยู่ก่อนฉบับภาษาฮีบรูที่เรามีในปัจจุบัน เราพบชิ้นส่วนของตัวบทต้นฉบับโบราณนี้บ้างในถ้ำที่กุมราน (Qumran) ทำให้เข้าใจว่าจะต้องมีตัวบทภาษาฮีบรูของหนังสือซามูเอลหลายแบบด้วยกัน
หนังสือซามูเอลแบ่งออกเป็น 5 ภาค คือ        1] เรื่องซามูเอล (1 ซมอ 1-7) 2] เรื่องซามูเอลและซาอูล (8-15)  3] เรื่องกษัตริย์ซาอูลและดาวิด (1 ซมอ 16 – 2 ซมอ 1) 4]  เรื่องกษัตริย์ดาวิด (2 ซมอ 2-20)     5] ภาคผนวก (2 ซมอ 21-24)
หนังสือซามูเอลรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลและธรรมประเพณีต่างๆ เกี่ยวกับช่วงเวลาที่อิสราเอลเริ่มมีกษัตริย์ปกครองเข้าด้วยกันหรือเขียนต่อกันไว้เฉยๆ โดยไม่ขัดเกลารายละเอียดให้เข้าประสานกัน         เรื่องที่มีเล่าไว้คือ เรื่องหีบพันธสัญญา ที่ถูกชาวฟีลิสเตียยึดไป (1 ซมอ 4-6) ซึ่งจะดำเนินต่อไปใน 2 ซมอ 6  เรื่องปฐมวัยของซามูเอล ใน 1 ซมอ 1-3 เป็นภูมิหลังของเรื่องหีบพันธสัญญานี้ โดยเล่าว่าเรื่องนี้เป็นการนำเข้าสู่การปลดปล่อยอิสราเอลให้พ้นจากอำนาจปกครองของชาวฟีลิสเตีย (บทที่ 7) ซามูเอลมีบทบาทสำคัญในการสถาปนาระบอบกษัตริย์ของอิสราเอล (1 ซมอ 8-12) ในเรื่องนี้เราสามารถแยกธรรมประเพณีได้สองสายคือ สายหนึ่งในบทที่ 9; 10:1-16; 11 และอีกสายหนึ่งในบทที่ 8; 10:17-24; 12   ธรรมประเพณีสายแรกเล่าเหตุการณ์โดยมีแนวโน้มที่นักวิชาการบางคนเรียกว่า “นิยมกษัตริย์” ส่วนสายที่สองเล่าเหตุการณ์โดยมีแนวโน้มที่มักเรียกว่า “ต่อต้านกษัตริย์” และยังคิดว่า       ธรรมประเพณีสายที่สองนี้มาทีหลัง โดยแท้จริงแล้วธรรมประเพณีทั้งสองสายมีความเก่าแก่เท่าเทียมกัน เพียงแต่สะท้อนท่าทีที่แตกต่างกันเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นธรรมประเพณีสายที่สองก็ไม่ “ต่อต้านกษัตริย์” ดังที่อ้างกัน เพียงแต่ต่อต้านระบบกษัตริย์ที่ไม่เคารพสิทธิของพระเจ้าเท่านั้น บทที่ 13-14 เล่าเรื่องสงครามต่างๆ ที่กษัตริย์ซาอูลทรงทำกับชาวฟีลิสเตียและเล่าครั้งแรกว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งกษัตริย์ซาอูล ใน 13:7ข-15ก และเล่าครั้งที่สองในบทที่ 15 เมื่อกล่าวถึงสงครามกับชาวอามาเลข เรื่องสุดท้ายนี้นำไปสู่เรื่องซามูเอลเจิมดาวิดให้เป็นกษัตริย์ (16:1-13)     เรื่องที่เล่าตั้งแต่ 1 ซมอ 16:14 ถึง 2 ซมอ 1 เกี่ยวกับดาวิดเมื่อเข้ารับราชการในราชสำนักของกษัตริย์ซาอูลเป็นเรื่องราวที่รวบรวมมาจากธรรมประเพณีโบราณหลายสาย และบ่อยครั้งเล่าเรื่องซ้ำซ้อนกัน -- ความสัมพันธ์ยุ่งยากระหว่างดาวิดกับกษัตริย์ซาอูลจบลงใน 2 ซมอ 2-5 เมื่อดาวิดทรงรับเจิมเป็นกษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน ทรงทำสงครามกับชาวฟีลิสเตียและทรงยึดกรุงเยรูซาเล็ม ทำให้ชาวอิสราเอลทุกเผ่ายอมรับพระองค์เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลทั้งหมด (2 ซมอ 5:12) --  2 ซมอ 6 เล่าเรื่องหีบพันธสัญญาต่อจาก 1 ซมอ 4-6     --  คำทำนายของนาธัน ใน 2 ซมอ 7 เป็นข้อความโบราณที่ได้รับการเรียบเรียงในภายหลัง   –    บทที่ 8 เป็นข้อสังเกตของผู้เรียบเรียง  --  2 ซมอ 9 เป็นบทแรกของเรื่องราวต่อเนื่องยืดยาวซึ่งจะจบที่ 1 พกษ 1-2 เป็นเรื่องครอบครัวของกษัตริย์ดาวิดและการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระราชโอรสของพระองค์ ผู้เขียนเรื่องนี้น่าจะได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เล่าและเขียนเรื่องที่เขาเป็นพยานรู้เห็นในช่วงแรกของรัชสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน  --  2 ซมอ 21-24 แทรกเข้ามาในเรื่องการแย่งชิงราชสมบัติ เป็นเรื่องสั้นๆ หลายเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ในรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิด
นอกจากเรื่องประวัติศาสตร์อันยืดยาวใน 2 ซมอ 9-20 แล้ว คงมีการรวบรวมเรื่องต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันเป็นชุดๆ ใน 2 ศตวรรษแรกที่อิสราเอลมีกษัตริย์ปกครอง คือเรื่องชุดเกี่ยวกับซามูเอล เรื่องชุดเกี่ยวกับกษัตริย์ซาอูลและดาวิด (1 ซมอ 17 – 2 ซมอ 1) เป็นไปได้ว่ามีผู้รวบรวมเรื่องชุดเหล่านี้เข้าด้วยกันราวปี 700 ก.ค.ศ. แต่หนังสือซามูเอลอย่างที่เรามีในปัจจุบันน่าจะได้รับการเรียบเรียงเป็นครั้งสุดท้ายจากสำนักเฉลยธรรมบัญญัติเข้ามารวมกับหนังสืออื่นๆ เป็นประวัติศาสตร์ตามแนวหนังสือ     เฉลยธรรมบัญญัติในช่วงเวลาไม่นานก่อนหรือระหว่างการเนรเทศที่บาบิโลน ถึงกระนั้นสำนัก          เฉลยธรรมบัญญัติก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อมูลเดิมมากนัก ต่างจากในหนังสือผู้วิจฉัยและพงศ์กษัตริย์  เราสามารถสังเกตเห็นการเรียบเรียงเล็กน้อยในบทแรกๆ     (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน  1 ซมอ 7 และ 12) และในคำทำนายของประกาศกนาธัน (2 ซมอ 7) เท่านั้น       ส่วนเรื่องราวใน 2 ซมอ 9-20 แทบจะไม่ได้รับการเรียบเรียงใหม่เลยก็ว่าได้
หนังสือซามูเอลเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่ออิสราเอลเริ่มมีกษัตริย์ปกครองจนถึงปลายรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิด   ชาวฟีลิสเตียขยายอำนาจปกครองเข้ามาในเขตแดนของชาวอิสราเอล (การรบที่เมืองอาเฟคเกิดขึ้นราวปี 1050) เป็นการคุกคามความเป็นอยู่ของชาวอิสราเอล ทำให้ชาวอิสราเอลเห็นความจำเป็นจะต้องมีกษัตริย์ปกครอง  ซาอูล (ประมาณปี 1030) แสดงตัวเป็นเหมือนผู้วินิจฉัยคนหนึ่ง แต่เมื่ออิสราเอลทุกเผ่ายอมรับอำนาจปกครองของเขาอย่างถาวร จึงทำให้เกิดมีระบอบกษัตริย์ปกครองขึ้น   กษัตริย์ซาอูลทรงเริ่มทำสงครามกับชาวฟีลิสเตียเพื่อปลดปล่อยชาวอิสราเอลและขับไล่ชาวฟีลิสเตียออกจากดินแดนของตน (1 ซมอ 14) ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาการสู้รบจะเกิดขึ้นตามชายแดนของชาวอิสราเอล เช่นใน 1 ซมอ 17 เป็นการรบที่ “หุบเขาต้นมะขาม” บทที่ 28 และ 31 ที่ภูเขากิลโบอา ชาวอิสราเอลพ่ายแพ้ยับเยินในการรบที่ภูเขากิลโบอานี้   กษัตริย์ซาอูลสิ้นพระชนม์ในสนามรบราวปี 1010 ความเป็นหนึ่งเดียวของชาติก็ถูกคุกคามอีกครั้งหนึ่ง ชนเผ่ายูดาห์ประกาศตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน เผ่าต่างๆทางเหนือก็แต่งตั้งอิชบาอัล พระราชโอรสของกษัตริย์ซาอูล  ขึ้นเป็นคู่แข่งกับกษัตริย์ดาวิด      อิชบาอัลหนีหลบภัยไปอยู่ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน        อย่างไรก็ตามอิชบาอัลถูกฆ่า ชาวอิสราเอลสามารถรวมเป็นชนชาติเดียวกันได้อีกเมื่อเผ่าต่างๆ ทางเหนือยอมรับอำนาจปกครองของกษัตริย์ดาวิดโดยพร้อมเพรียงกัน
หนังสือซามูเอลฉบับที่สองกล่าวสั้นๆ ถึงผลตามมาทางการเมืองของรัชสมัยกษัตริย์ดาวิด ทั้งๆ ที่ผลกระทบเหล่านี้จะมีความสำคัญอย่างมากในประวัติศาสตร์ต่อมา  กษัตริย์ดาวิดทรงขับไล่ชาวฟีลิสเตีย ออกจากดินแดนอิสราเอลตลอดไป ทรงรวมเผ่าต่างๆ ให้เป็นชนชาติเดียวกันพร้อมทั้งยึดครองดินแดงที่ชาวคานาอันยังครอบครองอยู่จนถึงเวลานั้น โดยเฉพาะกรุงเยรูซาเล็มซึ่งจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรทั้งในด้านการเมืองและด้านศาสนา กษัตริย์ดาวิดทรงขยายอำนาจปกครองเหนือดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมด รวมทั้งดินแดนของชาวอารัมทางใต้ของแคว้นซีเรียด้วย ถึงกระนั้น เมื่อกษัตริย์ดาวิดสิ้นพระชนม์ราวปี 970 เอกภาพของชาติก็ยังไม่มั่นคงจริงๆ อิสราเอลทางเหนือและยูดาห์ทางใต้ซึ่งเป็นสองส่วนของอาณาจักรมักจะมีความขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง       ชนเผ่าทางเหนือสนับสนุนการกบฏของอับซาโลม และคำปลุกใจของเชบา ชนเผ่าเบนยามินที่ว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับไปบ้านเถิด” ก็เป็นสัญญาณของการกบฏ ทั้งหมดนี้เป็นลางบอกเหตุว่าพระราชอาณาจักรกำลังจะแตกแยก
หนังสือซามูเอลทั้งสองฉบับมีเจตนาจะให้บทสอนทางศาสนาอยู่ด้วย แสดงเงื่อนไขที่จะทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินดำเนินไปได้ และแสดงให้เห็นความยากลำบากที่พระอาณาจักรนี้จะต้องประสบ พระอาณาจักรของพระเจ้านี้บรรลุถึงอุดมการณ์ได้ในรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิดเท่านั้น ก่อนหน้านั้นกษัตริย์ซาอูลไม่ทรงสามารถบรรลุถึงอุดมการณ์นี้ได้ และบรรดากษัตริย์ที่สืบราชสมบัติต่อจากดาวิดก็ไม่สามารถบรรลุถึงอุดมการณ์นี้ได้เช่นกันเพราะบาปที่เขากระทำเรียกร้องการลงโทษจากพระเจ้าและนำหายนะมาสู่ประเทศชาติ  พระสัญญาต่างๆ ที่พระยาห์เวห์ประทานแก่ราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด นับตั้งแต่คำพยากรณ์ของประกาศกนาธันเป็นต้นมา ได้หล่อเลี้ยงและสนับสนุนความหวังถึงพระเมสสิยาห์ไว้ไม่ให้เสื่อมคลาย พันธสัญญาใหม่กล่าวสามครั้งถึงคำพยากรณ์ของประกาศกนาธัน (กจ 2:30; 2 คร 6:18; ฮบ 1:6) และยังกล่าวว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด เมื่อประชาชนเรียกพระองค์ว่า “โอรสของกษัตริย์ดาวิด” ก็เป็นการยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์   บรรดาปิตาจารย์เห็นความละม้ายคล้ายกันอย่างมากระหว่างกษัตริย์ดาวิดกับพระคริสตเจ้า พระผู้ไถ่ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ของประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ทั้งๆ ที่ประชากรของพระองค์ก็ยังเบียดเบียนพระองค์ด้วย   

6.หนังสือพงศ์กษัตริย์
หนังสือพงศ์กษัตริย์ฉบับที่หนึ่งและที่สองแต่เดิมเป็นหนังสือเล่มเดียวในต้นฉบับภาษาฮีบรูเช่นเดียวกับหนังสือซามูเอล ต้นฉบับภาษากรีกเรียกหนังสือพงศ์กษัตริย์ฉบับที่หนึ่งและที่สองว่า “หนังสือเรื่องพระอาณาจักรฉบับที่สามและที่สี่” ส่วนต้นฉบับภาษาละติน (Vulgate) เรียกว่า “หนังสือพงศ์กษัตริย์ฉบับที่สามและที่สี่”
หนังสือพงศ์กษัตริย์เล่าเรื่องต่อจากหนังสือซามูเอล  1 พกษ 1-2 เป็นบทสรุปของเรื่องเล่ายืดยาวที่มีอยู่ใน 2 ซมอ 9-20   เรื่องราวในรัชสมัยยาวนานของกษัตริย์ซาโลมอน (1 พกษ 3-11) ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพระปรีชาล้ำเลิศของพระองค์ เล่าถึงความมั่งคั่งและงานก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ โดยเฉพาะการสร้างพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม รัชสมัยของกษัตริย์ซาโลมอนเป็นยุคแห่งความรุ่งเรือง ไม่ใช่ยุคของการทำสงครามขยายอาณาเขต  -- ความกระตือรือร้นที่จะทำสงครามเช่นนี้ที่ปรากฏในรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิดได้จางหายไปแล้ว – เวลานี้เป็นยุคของการอนุรักษ์ การจัดระเบียบบริหารประเทศ และยิ่งกว่านั้นเป็นยุคแห่งการเอารัดเอาเปรียบประชาชน การเอารัดเอาเปรียบนี้ทำให้ความเป็นอริกันที่มีอยู่แล้วระหว่างเผ่าทางเหนือกับเผ่าทางใต้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และเมื่อกษัตริย์ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ในปี 931 ราชอาณาจักรก็แบ่งออกเป็นสองส่วน การแตกแยกทางการเมืองนี้ยังทำให้มีการแตกแยกทางศาสนาอีกด้วย (1 พกษ 12-13)  ตั้งแต่ 1 พกษ 14 จนถึง  2 พกษ 17 เล่าประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือและอาณาจักรยูดาห์ทางใต้ควบคู่กันไป เป็นประวัติศาสตร์ที่เล่าถึงการขับเคี่ยวระหว่างอาณาจักรพี่น้องทั้งสอง รวมทั้งการโจมตีจากภายนอกอีกด้วย   ชาวอียิปต์เข้าโจมตีอาณาจักรยูดาห์ ส่วนชาวอารัมเข้าโจมตีเผ่าทางเหนือ แต่อันตรายที่คุกคามมากกว่านั้นมีขึ้นเมื่อกองทัพของชาวอัสซีเรียเข้ามาแทรกแซงทางภูมิภาคนี้ คือครั้งแรกในศตวรรษที่ 9  และต่อมาในศตวรรษที่ 8 เมื่อกรุงสะมาเรียถูกทำลายในปี 721  ก่อนหน้านั้นอาณาจักรยูดาห์ยอมเป็นประเทศราชของชาวอัสซีเรียแล้ว ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรยูดาห์ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ยังคงเหลืออยู่มีเล่าต่อไปใน 2 พกษ 18 – 25:2  และจบลงเมื่อกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายในปี 587 เรื่องราวของอาณาจักรยูดาห์ให้ความสนใจเป็นพิเศษแก่รัชสมัยของกษัตริย์ 2 พระองค์ คือรัชสมัยของกษัตริย์เฮเซคียาห์ (2 พกษ 18-20) และรัชสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์ (2 พกษ 22-23) เพราะในทั้งสองรัชกาลนี้มีการฟื้นฟูประเทศชาติและการปฏิรูปทางศาสนา เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองในระยะนี้คือการรุกรานของกษัตริย์เซนนาเคริบในปี 701 เมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงครองราชย์ และในรัชสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์ เมื่ออาณาจักรอัสซีเรียเสื่อมอำนาจและอาณาจักรเคลเดียขึ้นมาเรืองอำนาจแทน อาณาจักรยูดาห์จำเป็นต้องยอมอยู่ใต้อำนาจของชาวเคลเดียซึ่งเป็นเจ้านายใหม่จากตะวันออก แต่ในไม่ช้าก็แข็งข้อไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจ จึงถูกลงโทษอย่างรวดเร็ว ในปี 597 กองทัพของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เข้ายึดกรุงเยรูซาเล็มและกวาดต้อนประชาชนส่วนหนึ่งไปเป็นเชลย  สิบปีต่อมา อาณาจักรยูดาห์ได้เป็นกบฏอีกทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้องยกทัพมากลงโทษทำลายกรุงเยรูซาเล็มและกวาดต้อนประชาชนไปเป็นเชลยครั้งที่สองในปี 587  หนังสือพงศ์กษัตริย์จบลงด้วยภาคผนวกสั้นๆ สองเรื่อง (2 พกษ 25:22-30)
หนังสือพงศ์กษัตริย์กล่าวถึงเอกสารที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ 3 ฉบับคือ ประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ซาโลมอน พงศาวดารของกษัตริย์แห่งอิสราเอล พงศาวดารของกษัตริย์แห่งยูดาห์        แต่ยังมีเอกสารอื่นๆ อีกด้วย เช่น บทสุดท้ายของเรื่องครอบครัวของกษัตริย์ดาวิด (1 พกษ 1-2)  เรื่องการก่อสร้างพระวิหารจากตำนานสงฆ์ (1 พกษ 6-7) และโดยเฉพาะเรื่องเล่า 2 ชุด      ชุดหนึ่งเกี่ยวกับประกาศกเอลียาห์ ที่เขียนขึ้นราวปลายศตวรรษที่ 9 (1 พกษ 17 – 2 พกษ 1)          ชุดที่สองเกี่ยวกับประกาศกเอลีชาที่เขียนหลังจากนั้นไม่นาน (2 พกษ 2-13)     ส่วนเรื่องราวในรัชสมัยของกษัตริย์         เฮเซคียาห์ซึ่งมีประกาศกอิสยาห์เป็นบุคคลสำคัญ (2 พกษ 18:17 – 20:19) เป็นผลงานของบรรดาศิษย์ของประกาศก
เมื่อผู้เขียนไม่ใช้แหล่งข้อมูลเหล่านี้ เขาก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ตามแผนโครงเรื่องตายตัว คือเล่าถึงรัชสมัยของกษัตริย์แต่ละพระองค์แยกกันตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ละเรื่องจะมีบทนำและบทสรุปโดยใช้ถ้อยคำที่เกือบจะเหมือนกันเป็นสูตรตัดสินพฤติกรรมทางศาสนาของกษัตริย์แต่ละพระองค์ กษัตริย์ของอาณาจักรอิสราเอลทุกพระองค์ได้รับคำตัดสินว่ามีความผิดเพราะ “บาปดั้งเดิม” ของอาณาจักรเหนือ (หมายถึงการสร้างพระวิหารที่เมืองเบธเอล) ส่วนกษัตริย์ของอาณาจักรยูดาห์เพียง 8 พระองค์เท่านั้นได้รับคำชมเพราะทรงซื่อสัตย์ต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์    แต่คำชมนี้   6   ครั้งก็ยังถูกจำกัดเพราะ  “ไม่ได้ทรงทำลายสักการสถานในที่สูง”  กษัตริย์ที่ทรงรับคำชมล้วนๆ  โดยไม่จำกัดมีเพียง  2  พระองค์เท่านั้น  คือกษัตริย์เฮเซคียาห์และโยสิยาห์
มาตรการในการตัดสินความดีไม่ดีของกษัตริย์คือหลักการในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติให้มี      สักการสถานศูนย์กลางเพียงแห่งเดียวที่กรุงเยรูซาเล็ม นอกจากนั้นการค้นพบหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติในรัชสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์และการปฏิรูปทางศาสนาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการค้นพบหนังสือเล่มนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์ทั้งหมดตามแนวความคิดของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ และหนังสือพงศ์กษัตริย์ยังต้องการแสดงคำสอนหลักของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติว่าพระเจ้าจะทรง          อวยพระพรประชากรถ้าเขาซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระองค์     แต่จะทรงลงโทษ ถ้าเขาไม่ปฏิบัติเช่นนี้(1 พกษ 8 และ 2 พกษ 17)  อิทธิพลของสำนักเฉลยธรรมบัญญัติยังสังเกตเห็นได้อีกในลีลาการเขียนของผู้เรียบเรียงเรื่องต่างๆ โดยขยายความหรืออธิบายข้อมูลที่นำมาใช้
เป็นไปได้อย่างมากว่าสำนักเฉลยธรรมบัญญัติได้เรียบเรียงหนังสือพงศ์กษัตริย์เป็นครั้งแรกก่อนการเนรเทศและก่อนการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์โยสิยาห์ที่เมืองเมกิดโดในปี 609 โดยมีคำสรรเสริญกษัตริย์โยสิยาห์ใน 2 พกษ 23:25 เป็นข้อความลงท้าย (ประโยคสุดท้ายอาจเพิ่มเติมในภายหลัง)  สำนักเฉลยธรรมบัญญัติอาจเรียบเรียง พกษ เป็นครั้งที่สองในสมัยถูกเนรเทศ ถ้าคิดว่าข้อความใน 2 พกษ 25:22-30 เป็นเหตุการณ์สุดท้ายของหนังสือ การเรียบเรียงนี้ต้องทำภายหลังปี 562 แต่ถ้าคิดว่าเหตุการณ์สุดท้ายที่เล่าในการเรียบเรียงนี้คือเรื่องการถูกกวาดต้อนเป็นเชลยครั้งที่สองที่จบใน 2 พกษ 25:21 ผู้เขียนจะต้องเขียนก่อนปี 562 ในที่สุดคงจะมีการเพิ่มเติมบ้างในระหว่างการเนรเทศและหลังจากนั้น
เราต้องอ่านหนังสือพงศ์กษัตริย์ตามเจตนารมณ์ของผู้เขียน คือเป็นเรื่องประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น การที่ประชากรที่ทรงเลือกสรรไม่ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาและอาณาจักรทั้งสองต้องประสบหายนะดูเหมือนจะทำให้แผนการของพระเจ้าต้องล้มเหลว อย่างไรก็ตาม ประชากรที่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์กลุ่มเล็กๆ ซึ่งไม่ยอม “คุกเข่านมัสการพระบาอัล” ยังคงมีเหลืออยู่ กลุ่มชนแห่งเนินศิโยนที่เหลืออยู่และซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญานี้จะเป็นประกันสำหรับอนาคตอย่างแน่นอน  การกล่าวว่าราชวงศ์ดาวิดที่ได้รับพระสัญญาเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ยังคงอยู่ต่อไปอย่างน่าพิศวงแสดงว่าแผนการของพระเจ้าจะล้มเหลวไม่ได้  ประวัติศาสตร์ตามแนวความคิดของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติจบลงโดยเล่าว่า    กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงพระกรุณาต่อกษัตริย์เยโฮยาคินที่ทรงได้รับการปลดปล่อย    เป็นการเกริ่นถึงการกอบกู้อิสราเอลที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า