บทที่ 7 เอกลักษณ์ของคริสต์ศาสนา
   
การที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น เป็นการแสดงความรักอันปราศจากขอบเขตของพระเป็นเจ้าที่มีต่อเรา จนกระทั่งว่าเราไม่สามารถจะเข้าใจได้ และบางคนก็คิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พระบุตรของพระเป็นเจ้าก็ได้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเราทุกอย่าง เว้นแต่ว่าพระองค์ไม่มีบาป ทั้งนี้ก็เพื่อไถ่บาปของโลก พระองค์ได้ทรงเปิดประตูสวรรค์ให้เราอีกครั้งหนึ่ง โดยการพลีชีพบนเนินกัลวารีโอ และได้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิต และยังได้ทรงประทานเครื่องมือเพื่อเราทุกคนจะได้บรรลุถึงพระอาณาจักรสวรรค์
    เนื่องจากความรักอันปราศจากขอบเขตของพระเจ้า พระองค์จึงได้ทรงไถ่มนุษยชาติ เพราะฉะนั้น มนุษยชาติก็ต้องตอบแทนความรักของพระองค์ด้วยความรักเช่นเดียวกัน แม้ความรักของมนุษย์จะมีขอบเขตก็ตาม
    นักบุญยอห์นได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย” (1ยน 4:11) ที่จริงนักบุญยอห์นก็ไม่ได้พูดอะไรใหม่ ท่านเพียงแต่จำคำสั่งของพระอาจารย์เจ้าที่ได้เคยตรัสอย่างหนักแน่นว่า ผู้ที่จะติดตามพระองค์อย่างแท้จริงจะต้องมีความรักต่อเพื่อนมนุษย์
    “เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด ถ้าท่านมีความรักต่อกันและกัน ทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา” (ยน 13:34-35)
    เพราะฉะนั้น สำหรับทุกคนที่พระคริสตเจ้าได้ทรงไถ่ และสำหรับผู้ติดตามพระคริสตเจ้า ความรักฉันพี่น้องควรจะเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นชัด
    แม้แต่คริสตชนที่ใจเย็นเฉยก็ยอมรับความจริงข้อนี้ทางทฤษฏี สำหรับคริสตชนที่มีใจร้อนรนอย่างแท้จริงนั้นก็ได้รับเอาไปปฏิบัติด้วยความมานะและพากเพียร
    ธรรมชาติมนุษย์เรามักจะเห็นแก่ตัว แก้แค้น ไม่ยอมอภัยโทษให้ง่ายๆ และมักจะมีอคติ คริสตชนที่แท้จริงจะต้องพยายามปราบความโน้มเอียงไปในทางชั่วเหล่านี้ ถ้าหากเขาจะมองเห็นเสมอว่า มนุษย์ทุกคนต่างก็เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า และเป็นพี่น้องของพระคริสตเจ้า พระอาจารย์เจ้าผู้อารีทรงทราบดีว่า การที่เราจะรักเพื่อนมนุษย์ทุกคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงไม่เพียงแต่ทรงสั่งให้เรารักกันและกันเท่านั้น แต่พระองค์ยังได้ทรงเล่าอุปมาเพื่อสอนเราด้วย เพื่อว่าเราจะได้ปราบความเห็นแก่ตัว ความใจแข็ง อคติ ซึ่งเป็นศัตรูอย่างร้ายกาจต่อความรักแบบคริสตชน