แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

8
การต้อนรับของบิดา

ขณะที่เขายังอยู่แต่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา ... บิดาจึงได้ออกมาขอร้อง (บุตรคนโต) ให้เข้าไป

บิดาและมารดา
    บ่อยครั้งที่ผมขอให้เพื่อนๆ เล่าความประทับใจแรกที่พวกเขามีต่อภาพวาดเรื่องลูกล้างผลาญของเรมแบรนท์ แน่นอน พวกเขาส่วนใหญ่มักชี้ไปที่ชายชราผู้อภัยให้บุตรชาย หรือบิดาผู้ใจดีนั่นเอง
    ยิ่งผมมองดู “หัวหน้าครอบครัว” ผู้นี้ ผมก็ยิ่งเห็นชัดว่า        เรมแบรนท์มิได้วาดรูปพระเจ้าในลักษณะของผู้นำครอบครัวชราคนหนึ่ง ทุกอย่างเริ่มต้นที่มือทั้งสองข้างซึ่งแตกต่างกัน มือซ้ายของบิดาที่วางบนไหล่ของบุตรชายนั้นแข็งแรงและกร้าน นิ้วมือกางออกและคลุมเกือบทั้งหัวไหล่และหลังของลูกชาย   ผมสามารถเห็นแรงกดที่นิ้วหัวแม่มือเป็นพิเศษ มือนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่การสัมผัส แต่เป็นการโอบอุ้มที่แข็งแรง แม้ว่าจะมีความอ่อนโยนในลักษณะการสัมผัสบุตรก็ตาม แต่ก็มิใช่ปราศจากความมั่นคงเข้มงวด
    ส่วนมือขวานั้นแตกต่างกันมาก มือนี้ไม่ได้จับหรือโอบอุ้ม แต่วางอย่างอ่อนนุ่ม เบา และนิ่มนวล นิ้วมือชิดกัน งดงาม วางอย่างนุ่มนวลบนไหล่ของลูกชาย มือนี้ต้องการปลอบโยน โอบกอด ให้กำลังใจ และบรรเทาใจ มือนั้นเป็นมือของแม่
มีบางคนได้ให้คำอธิบายว่ามือซ้ายที่ดูแข็งแรงนั้น เป็นมือของเรมแบรนท์เอง ส่วนมือผู้หญิงด้านขวาดูคล้ายกับภาพวาดมือขวาของเจ้าสาวชาวยิว ซึ่งเป็นภาพที่เขาวาดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
    ตั้งแต่ที่ผมเห็นข้อแตกต่างระหว่างมือทั้งสองของบิดา โลกแห่งความหมายต่างๆ ก็เปิดกว้าง  บิดาไม่ได้เป็นเพียงหัวหน้าครอบครัวที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น   แต่เขายังเป็นมารดาเท่ากับเป็นบิดาอีกด้วย เขาสัมผัสบุตรด้วยมือของความเป็นชายและหญิงในเวลาเดียวกัน มือหนึ่งยึดไว้อย่างแข็งแรง และอีกมือหนึ่งโอบกอดอย่างนุ่มนวล มือหนึ่งเข้มแข็ง ส่วนอีกมือหนึ่งปลอบประโลม พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอย่างแท้จริง ในพระองค์มีทั้งความเป็นชายและหญิง มีทั้งความเป็นบิดาและมารดาอย่างสมบูรณ์ การโอบกอดอย่างนุ่มนวลของมือขวาสะท้อนถึงคำพูดของประกาศก อิสยาห์ว่า “มีหรือที่หญิงจะลืมลูกน้อยที่อยู่ในอกของเธอ มีหรือที่เธอจะไม่รู้สึกเอ็นดูสงสารลูกน้อยที่เธอได้ให้กำเนิดมา และถึงแม้ว่าเธอจะลืม แต่เราจะไม่มีวันลืมเจ้า ดูซิ เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเราเอง” (อสย.49:15-16)
    ริชาร์ด ไวท์ (Richard White) เพื่อนคนหนึ่งได้ชี้ให้ผมเห็นว่า  มือแห่งความเป็นแม่ที่โอบกอดนั้น  อยู่ข้างเดียวกับเท้าของลูกชายที่เปลือยเปล่าและมีบาดแผล ส่วนมือซ้ายที่แข็งแรงของบิดานั้นอยู่ข้างเดียวกับเท้าของลูกชายที่สวมรองเท้าสาน คงจะไม่มากเกินไปหากจะคิดว่ามือหนึ่งปกป้องด้านที่เปราะบางของลูก ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งเสริมความแข็งแกร่งของลูก และปรารถนาให้เขาดำเนินชีวิตอย่างดีต่อไป
นอกจากนี้ยังมีเสื้อคลุมสีแดงตัวใหญ่ สีที่อบอุ่นและรอยโค้งของเสื้อแสดงถึงการต้อนรับที่อบอุ่น ในตอนแรกนั้น เสื้อคลุมซึ่งปกปิดร่างโค้งงุ้มของบิดาไว้ ดูเหมือนเป็นเต้นท์ที่เชื้อเชิญผู้เดินทางที่เหนื่อยอ่อนให้เข้ามาพักผ่อนข้างใน  แต่เมื่อผมจ้องมองเสื้อคลุมสีแดงนานๆ ภาพอีกภาพหนึ่งที่ชัดเจนกว่าเต้นท์ก็ได้เข้ามาในความคิดของผม นั่นคือภาพของแม่ไก่ที่กางปีกปกป้อง เตือนให้ผมคิดถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสถึงความรักฉันมารดาของพระเจ้าว่า “เยรูซาเลมเอ๋ย ... นานเท่าไรแล้วที่เราได้รวบรวมเจ้า เหมือนอย่างกับแม่ไก่รวบรวมลูกไว้ใต้ปีก แต่เจ้าก็ยังปฏิเสธเรา” (มธ.23:37-38)
    พระเจ้าทรงปกป้องผมให้ปลอดภัยตลอดทั้งวันและคืน ดังเช่นแม่ไก่ปกป้องลูกไว้ภายใต้ปีกของมัน ภาพปีกของแม่ไก่เป็นสัญลักษณ์ถึงความปลอดภัยที่พระเจ้ามอบให้แก่ลูกของพระองค์มากกว่าภาพเต้นท์เสียอีก  เป็นการแสดงถึงความเอาใจใส่ดูแล  การปกป้อง และสถานที่ซึ่งผมรู้สึกปลอดภัยและได้พักพิง
    ทุกครั้งที่ผมมองดูเสื้อคลุมตัวนั้นที่มีรูปร่างเหมือนเต้นท์หรือปีกนก ผมได้รับประสบการณ์ถึงคุณสมบัติความรักฉันมารดาของพระเจ้า และหัวใจของผมก็เริ่มร้องเพลงสดุดีว่า
    “ผู้ที่อาศัยอยู่ ณ ที่กำบังขององค์ผู้สูงสุด
     ผู้อยู่ในร่มเงาของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  จะทูลพระเจ้าว่า
     'ที่ลี้ภัยของข้าพระองค์และป้อมปราการของข้าพระองค์
     พระเจ้าของข้าพระองค์ ผู้ที่ข้าพระองค์ไว้วางใจ'
     เพราะพระองค์จะทรงช่วยกู้ตัวท่านจากกับของพรานนก
     และจากโรคภัยอย่างร้ายแรงนั้น
     พระองค์จะทรงปกท่านไว้ด้วยปีกของพระองค์
     และท่านจะลี้ภัยอยู่ใต้ปีกของพระองค์
     ความสัตย์สุจริตของพระองค์เป็นโล่และเป็นดั้ง”
(สดด.91:1-4)
    ดังนี้เองที่ผู้อาวุโสชาวยิวได้ให้ภาพของพระเจ้าในฐานะมารดาที่ต้อนรับบุตรของเธอกลับบ้าน
    เมื่อผมกลับมามองดูภาพชายชราของเรมแบรนท์ ซึ่งโน้มตัวมาหาลูกชายและสัมผัสไหล่ของเขาด้วยมือทั้งสอง ผมเริ่มจะมองเห็นไม่เพียงแต่บิดาผู้ซึ่ง “โอบกอดลูกชายในอ้อมแขน” เท่านั้น แต่ผมยังมองเห็นแม่ผู้โอบกอดลูกชายด้วยความอบอุ่นจากร่างกายของเธอ และกอดเขาไว้แนบอก เธอได้อุ้มเขาไว้ในครรภ์ ดังนั้น “การกลับมาของลูกล้างผลาญ” จึงเป็นการกลับสู่ครรภ์ของพระเจ้า กลับสู่ต้นกำเนิดของชีวิตที่แท้จริง  ซึ่งทำให้นึกถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่เชื้อเชิญนิโคเดมัสให้เกิดใหม่จากเบื้องบน
    ตอนนี้ ผมเข้าใจซาบซึ้งถึงสันติสุขอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากภาพที่แสดงถึงองค์พระเจ้า ในภาพนี้ไม่มีการเน้นอารมณ์ ความรู้สึก  เรื่องรักหวานชื่น หรือนิทานง่ายๆ ที่จบลงด้วยความสุข สิ่งที่ผมเห็นในภาพนี้คือพระเจ้าในฐานะที่เป็นมารดา ผู้ยอมรับบุตรกลับมาสู่ครรภ์อีกครั้ง บุตรคนที่เธอได้ให้กำเนิดตามลักษณะของเธอเอง สายตาที่ฝ้าฟาง มือทั้งสองข้าง เสื้อคลุมยาว และร่างที่โค้งงอ ทั้งหมดนี้ล้วนสื่อถึงความรักเยี่ยงมารดาของพระเจ้า ความรักนี้มีลักษณะของความเจ็บปวด ความปรารถนา ความหวัง และการรอคอยอยู่เสมอ
แท้จริงแล้ว ธรรมล้ำลึกนี้คือพระเจ้าผู้เป็นมารดา มีความเมตตากรุณาอันหาขอบเขตมิได้ พระองค์ทรงเกี่ยวข้องกับชีวิตของลูกๆ ตลอดนิรันดร    พระเจ้าผู้เป็นมารดานี้ได้เลือกอย่างอิสระที่จะผูกพันกับลูกๆ ของเธอ ซึ่งเธอได้มอบอิสระให้ การเลือกนี้เป็นเหตุให้เธอเจ็บปวด เมื่อพวกเขาจากเธอไป และทำให้เธอยินดีเมื่อพวกเขากลับมา แต่ความยินดีนี้จะไม่สมบูรณ์ หากว่าลูกทุกคนที่ได้รับชีวิตจากเธอยังไม่กลับบ้านและอยู่รวมกันรอบโต๊ะที่จัดเตรียมไว้สำหรับพวกเขาทุกคน
    สิ่งนี้รวมถึงบุตรคนโตด้วย เรมแบรนท์ได้วางเขาห่างออกไปอยู่ตรงขอบรัศมีของแสงสว่าง พ้นจากที่กำบังซึ่งมีเสื้อคลุมเป็นสัญลักษณ์สถานการณ์ที่บุตรคนโตตัดสินใจเลือกไม่ได้ คือ  การยอมรับหรือปฏิเสธความจริงที่ว่า ความรักของบิดานั้นอยู่เหนือการเปรียบเทียบใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งหมายถึงต้องกล้าที่จะรับความรักอย่างที่บิดารักเขา และยังคงรักเขาอยู่แม้ในขณะที่เขารู้สึกว่าควรจะได้รับความรักมากกว่านี้ บิดารู้ว่าการตัดสินใจนั้นเป็นของบุตร แม้เมื่อเขารอคอยบุตรด้วยมือที่กางออก บุตรคนโตพร้อมที่จะคุกเข่าและถูกสัมผัสด้วยมือเดียวกันที่ได้สัมผัสน้องชายของเขาหรือไม่? เขาจะยอมรับการให้อภัยและประสบการณ์ของการรักษาจากบิดาผู้รักเขาโดยไม่มีการเปรียบเทียบหรือไม่? เรื่องอุปมาที่เล่าโดยลูกาบอกเราอย่างชัดเจนว่า บิดาออกไปหาลูกชายทั้งสองคน ไม่เพียงแต่วิ่งออกไปต้อนรับลูกคนเล็กที่กลับมาเท่านั้น แต่ยังออกไปพบบุตรคนโตผู้ซื่อสัตย์ ซึ่งกลับมาจากทุ่งนา และถามว่าทำไมถึงมีเสียงดนตรีและการร้องรำ บิดาออกมาพบเขา และขอร้องให้เข้าไปข้างใน

ไม่ใช่เรื่องของความมากกว่าหรือน้อยกว่า
    สำหรับผมเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่บิดาเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีที่ลูกชายกลับมา เขาก็ไม่ลืมบุตรคนโต ความยินดีของบิดามีมากจนไม่อาจเลื่อนการฉลองออกไป แต่ทันทีที่เขารู้ว่าบุตรคนโตกลับมาถึงบ้าน เขาก็ละทิ้งงานฉลอง ออกไปหาลูกชายและขอร้องให้เขาเข้ามาร่วมยินดีด้วยกัน
    บุตรคนโตซึ่งมีแต่ความอิจฉาและขุ่นเคืองนั้น เขามองเห็นแค่ว่าน้องชายที่ไม่รับผิดชอบนั้น ได้รับความสนใจมากกว่าตัวเขา และสรุปว่าเขาได้รับความรักน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม หัวใจของบิดาไม่ได้แบ่งแยกว่า “มากกว่า” หรือ “น้อยกว่า” การกระทำที่เป็นอิสระและเป็นธรรมชาติของบิดาเมื่อลูกชายคนเล็กกลับมานั้น ไม่ได้มีการเปรียบเทียบกับบุตรคนโตเลย ตรงกันข้าม เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความยินดีนี้กับบุตรคนโต
    ไม่ง่ายนักที่ผมจะเข้าใจสิ่งนี้ ในโลกซึ่งมีการเปรียบเทียบระหว่างบุคคลอยู่ตลอดเวลา มีการจัดลำดับขั้นว่าใครฉลาด น่าสนใจ ประสบความสำเร็จมากหรือน้อยกว่ากัน ไม่ง่ายที่จะเชื่อมั่นในความรักที่แตกต่างจากสิ่งเหล่านี้ เมื่อผมได้ยินใครยกย่องสรรเสริญบางคน ผมก็คิดว่าตัวเองเหมาะสมน้อยกว่าที่จะรับการสรรเสริญเยินยอ เมื่อผมอ่านพบความดีและความใจดีของคนอื่น ผมก็ถามตนเองว่าเป็นคนดีและใจดีแบบเดียวกับเขาหรือไม่ และเมื่อผมเห็นชัยชนะ เหรียญรางวัลการตอบแทนที่มอบแก่บางคน ผมก็มักจะมีปฏิกิริยาว่า “ทำไมไม่ใช่ผม”
โลกซึ่งผมเติบโตมานี้เป็นโลกที่มีแต่คะแนน ระดับ สถิติ ผมพยายามเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอยู่เสมอ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ความเสียใจและความยินดีที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนมาจากการเปรียบเทียบเหล่านี้โดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไร้ประโยชน์หรือไม่ก็ทำให้เสียทั้งเวลาและพลังงาน
    พระเจ้าของเราผู้เป็นทั้งบิดาและมารดานั้น ไม่เปรียบเทียบและไม่เคยเปรียบเทียบ แม้ผมจะตระหนักว่าสิ่งนี้เป็นความจริง แต่ก็ยังยากที่จะยอมรับได้อย่างเต็มที่ทั้งหมด  เมื่อผมได้ยินบางคนเรียกลูกชายหรือลูกสาวว่าสุดที่รัก  การตอบสนองโดยทันทีของผมก็คือว่า ลูกคนอื่นน่ารักน้อยกว่า หรือได้รับความรักน้อยกว่า ผมไม่สามารถให้เหตุผลกับตัวเองว่า ลูกทุกคนของพระองค์จะเป็น   “ลูกรัก” ได้อย่างไร และที่จริงก็เป็นเช่นนั้น เมื่อผมพยายามจินตนาการถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า จากจุดที่ผมอยู่ในโลกนี้ ผมมองเห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ดูแลตารางผลบนสวรรค์ และผมก็กลัวอยู่เสมอว่าจะทำไม่สำเร็จ  แต่ถ้าผมมองแบบพระเจ้าผู้ต้อนรับเราที่บ้าน ผมก็พบว่าพระเจ้ารักผมด้วยความรักที่ยอมรับมนุษย์ชายหญิงทุกคน ตามคุณค่าของแต่ละคน โดยไม่เคยเปรียบเทียบเลย
    พี่ชายคนโตเปรียบเทียบตัวเองกับน้องชายคนเล็ก และรู้สึกอิจฉา  แต่บิดารักเขาทั้งสองมาก จนกระทั่งไม่ทันคิดว่าต้องเลื่อนการฉลองออกไป เพื่อมิให้บุตรคนโตรู้สึกว่าตนถูกทอดทิ้ง ผมเชื่อมั่นว่าปัญหาทางอารมณ์ของผมจะเป็นเหมือนหิมะที่ละลายเมื่อถูกแดด  ถ้าเพียงแต่ผมยอมให้ข้อเท็จจริงแห่งความรักฉันมารดาของพระเจ้าที่ไม่มีการเปรียบเทียบเข้ามาปะปนนั้น ได้ซึมซาบเข้าสู่หัวใจของผม
ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องยาก  เวลาที่ผมไตร่ตรองคำอุปมาเรื่องคนงานในไร่องุ่น (มธ.20:1-16)   เจ้าของสวนให้เงินค่าจ้างแก่คนงานที่ทำงานเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง เท่ากับคนงานที่ “ทำงานตรากตรำอยู่กลางแดดตลอดวัน” ทุกครั้งที่ผมอ่านเรื่องนี้ ผมมักเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองอยู่เสมอ
    ทำไมเจ้าของสวนไม่จ่ายให้คนที่ทำงานมาตลอดวันก่อน แล้วค่อยจ่ายอย่างใจกว้างให้แก่คนที่มาทำงานทีหลัง ทำไมเขาจ่ายให้แก่คนงานที่มาทำงานชั่วโมงสุดท้ายก่อน ซึ่งเป็นการสร้างความผิดหวังให้แก่คนอื่น    และยังสร้างความขุ่นเคืองและความอิจฉาอย่างไม่น่าจะเป็น บัดนี้ ผมตระหนักว่าคำถามเหล่านี้เกิดจากความคิดที่พร้อมจะให้เกณฑ์ทางโลกอยู่เหนือเกณฑ์ของพระเจ้า
    ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า เจ้าของสวนอาจต้องการให้คนงานที่มาตั้งแต่ชั่วโมงแรกนั้น ได้ชื่นชมยินดีในความใจดีของเขาต่อคนที่มาทำงานสาย  หรือเขาอาจจะคิดเอาเองว่า  คนงานที่ทำงานในสวนองุ่นมาตลอดวันนั้น น่าจะรู้สึกขอบคุณที่มีโอกาสได้ทำงานเพื่อนายจ้างที่ดีเช่นนี้  และยิ่งขอบคุณมากขึ้นเมื่อเห็นความใจดีของนายจ้าง สิ่งนี้เรียกร้องการกลับใจภายในที่จะยอมรับวิธีคิดที่ไม่มีการเปรียบเทียบเช่นนี้ ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบพระเจ้า พระองค์ทรงมองดูประชากรของพระองค์เหมือนบุตรในครอบครัว   ที่ดีใจว่าคนที่ทำงานเพียงเล็กน้อยได้รับความรักมากเท่ากับคนที่ทำงานมาก
    ผู้เป็นนายจ้างบริสุทธิ์จนคิดว่า จะเกิดความยินดียิ่งใหญ่ เมื่อทุกคนที่ได้ทำงานในสวนองุ่นไม่ว่าช่วงสั้นหรือยาว จะได้รับความสนใจเท่าเทียมกัน   จริงๆ แล้ว  นายจ้างซื่อถึงขั้นที่หวังว่าคนงานคงจะมีความสุขมากที่ได้อยู่กับเขา  ความคิดเปรียบเทียบคนงานนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในจิตใจของนายจ้างเลย นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงพูดด้วยความแปลกใจเหมือนคู่รักที่ถูกเข้าใจผิดว่า “ทำไมเจ้าจึงอิจฉาที่เราใจดี?” แทนที่เขาจะพูดว่า “เจ้าอยู่กับเรามาตลอดวัน และเราก็ได้ให้เจ้าทั้งหมดตามที่เจ้าได้ร้องขอ! ทำไมเจ้าจึงรู้สึกผิดหวัง?” เป็นความแปลกใจลักษณะเดียวกันในหัวใจของบิดา เมื่อเขาบอกกับลูกชายขี้อิจฉาว่า “ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก”
    ที่นี่ได้ซ่อนการเรียกร้องอันยิ่งใหญ่ให้มีการกลับใจ กล่าวคือไม่มองด้วยสายตาของตัวเอง แต่มองด้วยสายตาของความรักแบบพระเจ้า ตราบเท่าที่ผมยังมองเห็นพระเจ้าเป็นเจ้าของสวน หรือเป็นบิดาที่เรียกร้องจากผมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ตราบนั้นผมก็มีแต่ความรู้สึกขุ่นเคืองและอิจฉาคนงานหรือพี่น้องคนอื่นๆ แต่ถ้าผมสามารถมองโลกด้วยสายตาแห่งความรักแบบพระเจ้า  และค้นพบว่าสายตาของพระเจ้าไม่ใช่สายตาแบบเจ้าของสวน หรือแบบบิดาที่เผด็จการ แต่เป็นสายตาของบิดาผู้ใจดีและให้อภัยเสมอ ผู้ไม่เคยชั่งตวงวัดความรักสำหรับลูกๆ ตามความประพฤติของพวกเขา  ดังนั้น ผมจึงเข้าใจได้ว่าคำตอบที่แท้จริงเพียงประการเดียวที่ควรมีก็คือ การขอบพระคุณพระเจ้า
   
พระทัยของพระเจ้า
    ในภาพวาดของเรมแบรนท์ บุตรคนโตได้แต่ยืนดูเหตุการณ์ ยากที่จะจินตนาการว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ    ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอุปมาหรือในภาพวาด ผมยังคงมีคำถามว่า “เขาจะตอบรับคำเชื้อเชิญให้เข้าร่วมการฉลองนั้นอย่างไร?
สิ่งที่อยู่ในใจของบิดานั้น เป็นสิ่งแน่นอนอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องอุปมาและในภาพวาด กล่าวคือ หัวใจของเขาเปิดกว้างรับลูกชายทั้งสอง เขารักลูกทั้งสองคน เขาหวังที่จะเห็นลูกทั้งสองอยู่ด้วยกันฉันพี่น้องรอบโต๊ะเดียวกัน บิดาปรารถนาให้พวกเขามีประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของบ้านหลังเดียวกัน และเป็นบุตรของบิดาเดียวกัน แม้ว่าเขาจะแตกต่างกันก็ตาม
    เมื่อผมปล่อยให้ทั้งหมดนี้ผ่านลงไปในตัวผม ผมก็เข้าใจได้ว่าเรื่องราวของบิดาและลูกที่หายไปนี้ได้ยืนยันอย่างเต็มที่ว่า ไม่ใช่ผมที่เลือกพระเจ้า  แต่เป็นพระเจ้าต่างหากที่ทรงเลือกผมก่อน  นี่เป็นธรรมล้ำลึกอันยิ่งใหญ่แห่งความเชื่อของเรา  เราไม่ได้เลือกพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่นิรันดรภาพ เราได้ถูกซ่อนไว้ในเงาพระหัตถ์ของ  พระเจ้า และถูกสลักอยู่บนฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ (อสย.49:2-16) ก่อนที่มนุษย์คนอื่นจะได้สัมผัสเรา พระเจ้าทรง “ก่อร่างเราอย่างลึกลับ” “ทรงปั้นเรา” ในที่ลึกของโลก และก่อนที่คนอื่นๆ จะตัดสินใจอะไรแทนเรา พระเจ้าทรง “ทอเราเข้าด้วยกันในครรภ์มารดาของเรา” (สดด.139:13, 15)  พระเจ้าทรงรักเราก่อนที่บุคคลใดๆ จะแสดงความรักต่อเรา พระองค์ทรงรักเราด้วยความรักอันดับแรก ไม่มีขีดจำกัดและปราศจากเงื่อนไข พระองค์ปรารถนาให้เราเป็นบุตรสุดที่รักของพระองค์ และทรงขอให้เรารู้จักรัก เหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา
ในชีวิตส่วนใหญ่ของผม ผมได้ประสบกับอุปสรรคในการแสวงหาพระเจ้า รู้จักและรักพระองค์ ผมพยายามอย่างหนักที่จะทำตามคำแนะนำด้านชีวิตจิต เช่น การภาวนาอยู่เสมอ การทำงานเพื่อคนอื่น การอ่านพระคัมภีร์ และการหลีกเลี่ยงการประจญต่างๆ ที่ทำให้ผมหลงไป หลายครั้งที่ผมพลาดพลั้งแต่ผมก็ลุกขึ้นและพยายามใหม่อีกครั้ง แม้ในเวลาที่ผมใกล้จะสิ้นหวัง
    ขณะนี้ผมถามตัวเองว่า ผมรู้หรือไม่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา พระเจ้าได้พยายามที่จะค้นหาผม รู้จักผม  และรักผม ปัญหาจึงไม่ใช่การถามว่า “ผมจะพบพระเจ้าได้อย่างไร?” แต่ “ผมจะยอมให้ตัวเองถูกค้นพบโดยพระเจ้าได้อย่างไร?” ไม่ใช่ “ผมจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร?” แต่ “ผมจะยอมให้พระเจ้ารู้จักได้อย่างไร?” และที่สุดไม่ใช่คำถามที่ว่า “ผมจะรักพระเจ้าได้อย่างไร?”  แต่ต้องเป็นคำถามที่ว่า “ผมจะยอมให้พระเจ้ารักได้อย่างไร?” พระเจ้าทรงค้นหาผมแต่ไกล ทรงพยายามหาให้พบด้วยความปรารถนาที่จะนำผมกลับบ้าน  ในเรื่องอุปมาทั้งสามเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าเมื่อมีคนถามพระองค์ว่า ทำไมพระองค์จึงกินและดื่มกับพวกคนบาป พระองค์ทรงเน้นที่การริเริ่มของพระเจ้า พระเจ้าเป็นนายชุมพาบาลผู้ออกไปค้นหาแกะที่หายไป พระเจ้าเป็นหญิงสาวที่จุดตะเกียง กวาดบ้าน และค้นหาเหรียญที่หายไปทุกหนแห่ง จนกระทั่งพบ พระเจ้าเป็นบิดาผู้เฝ้าคอยบุตร วิ่งออกไปหา โอบกอด อ้อนวอน ขอร้อง และเรียกให้เขากลับบ้าน
    ดูเหมือนเป็นสิ่งแปลกที่พระเจ้าปรารถนาจะพบกับผมมากเท่ากับหรือมากกว่าที่ผมต้องการพบกับพระองค์ ใช่แล้ว  พระเจ้าทรงต้องการผมมากเท่ากับที่ผมต้องการพระองค์ พระเจ้ามิใช่บิดาที่รอคอยอยู่แต่ในบ้านโดยไม่ทำอะไรเลย หรือคอยลูกกลับมาขอโทษและสัญญาว่าจะปรับปรุงตัวใหม่ให้ดีขึ้น ตรงกันข้าม บิดาออกจากบ้าน ละทิ้งศักดิ์ศรีของตน ออกไปหาลูก โดยไม่สนใจคำขอโทษและคำสัญญาของลูกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองแต่อย่างใด แต่บิดาพาเขามาที่โต๊ะ ซึ่งได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับต้อนรับเขา
    ตอนนี้ ผมเริ่มเห็นว่าลักษณะการเดินทางฝ่ายจิตของผมนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อผมไม่ได้คิดถึงพระเจ้าที่ซ่อนเร้นพระองค์ ซึ่งทำให้เป็นเรื่องยากที่จะพบกับพระองค์  แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ออกไปค้นหาผม ในขณะที่ผมกำลังซ่อนตัวเอง  เมื่อผมมองดูการหลงไปของตนเองโดยผ่านสายตาแบบพระเจ้า และค้นพบความยินดีของพระเจ้าเมื่อผมกลับบ้าน เมื่อนั้นชีวิตของผมก็เป็นทุกข์น้อยลงและไว้วางใจมากขึ้น
    น่าจะเป็นการดีมิใช่หรือที่จะเพิ่มความยินดีของพระเจ้า โดยการปล่อยให้พระเจ้าค้นหาตัวผมและนำผมกลับบ้าน เพื่อฉลองการกลับมาของผมร่วมกับบรรดาเทวดาทั้งหลาย  และยิ่งวิเศษมากขึ้นถ้าจะทำให้พระเจ้ายิ้ม โดยให้โอกาสพระองค์ได้หาผมจนพบและรักผมอย่างล้นเหลือ? คำถามในลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดความคิดว่า ผมจะยอมรับหรือไม่ว่าผมมีคุณค่าพอสำหรับการค้นหา? ผมเชื่อหรือไม่ว่าพระเจ้าปรารถนาที่จะอยู่กับผมอย่างแท้จริง?
คำถามเหล่านี้เป็นแก่นสำคัญในการต่อสู้ฝ่ายจิตของผม การต่อสู้กับการปฏิเสธและการดูหมิ่นตัวเองนับเป็นการต่อสู้ที่โหดร้ายมาก เพราะโลกและปีศาจสมรู้ร่วมคิดกันที่จะทำให้ผมคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไร้ประโยชน์ และไม่น่าสนใจ สังคมบริโภคนิยมใช้กลวิธีทางการตลาด นำเอาจุดอ่อนของการไม่นับถือตัวเองมาใช้ และสร้างความต้องการขึ้นใหม่ด้วยวิธีการทางวัตถุ ตราบเท่าที่ผมยังรู้สึก “ต่ำต้อย” ผมก็จะถูกล่อลวงอย่างง่ายดายให้ซื้อสิ่งของ และพบกับบุคคล หรือให้ไปในที่ที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวผมได้ แม้ว่าสถานที่เหล่านั้นจะไม่สามารถทำให้สิ่งนี้เป็นจริงได้เลย แต่ทุกครั้งที่ผมยอมให้ตัวเองถูกบงการหรือถูกล่อลวงไป ผมก็ยิ่งมีเหตุผลมากขึ้นที่จะยอมให้ตนเองตกต่ำ และมองตนเองว่าเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้ง
ความรักครั้งแรกและรักตลอดไป
    เป็นเวลานานทีเดียวที่ผมคิดว่าการมีภาพลักษณ์ของตัวเองในทางลบนั้นเป็นฤทธิ์กุศลอย่างหนึ่ง ผมได้รับการเตือนอยู่บ่อยๆ ว่า ให้ต่อสู้กับความหยิ่งยโสและการพึงพอใจในตนเอง  ซึ่งทำให้ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะไม่ภูมิใจในตนเอง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าบาปที่แท้จริงนั้นคือ การปฏิเสธความรักริเริ่มของพระเจ้าที่มีต่อผม และไม่ยอมรับรู้ความดีแรกเริ่มของตัวเอง ทั้งนี้เพราะถ้าปราศจากการยอมรับความรักริเริ่มและความดีแรกเริ่มสำหรับตัวเองแล้ว ผมก็จะไม่ได้สัมผัสกับความจริงของตัวเอง และทำลายตัวเองโดยการ “แสวงหาผิดคน ผิดสถานที่” เพราะสิ่งเหล่านี้ผมสามารถจะพบได้ก็แต่ในบ้านของพระบิดาเท่านั้น
ผมไม่คิดว่ามีผมอยู่คนเดียวในการต่อสู้ที่จะยอมรับความรัก ริเริ่มและความดีแรกของพระเจ้า เบื้องหลังความมั่นใจของมนุษย์หรือการแข่งขันชิงดีชิงเด่นและความหยิ่งยโสนั้น  เรามักพบดวงใจที่รู้สึกไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ ซึ่งขัดกับลักษณะภายนอกที่ปรากฏ บ่อยครั้งผมตกใจที่พบว่า คนที่มีความสามารถและประสบกับความสำเร็จมากมายนั้น มักจะมีความสงสัยเกี่ยวกับความดีงามของตัวเอง แทนที่จะรู้สึกว่าความสำเร็จของพวกเขาเป็นเครื่องหมายของความงดงามภายใน พวกเขากลับคิดว่าความสำเร็จนั้นเป็นเสมือนเครื่องปกปิดความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า มีหลายคนสารภาพกับผมว่า “ถ้าผู้คนรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของผม พวกเขาคงจะหยุดปรบมือสรรเสริญผม”
    ผมยังจำได้ดีถึงบทสนทนากับชายหนุ่มที่น่ารักและน่านับถือจากทุกๆ คน เขาบอกผมถึงข้อวิจารณ์เล็กๆ น้อยๆ จากเพื่อนคนหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าไปสู่ห้วงเหวของความรู้สึกเก็บกด ในขณะที่เขาพูดให้ผมฟัง น้ำตาของเขาไหลพราก ร่างก็สั่นด้วยความโกรธ เขารู้สึกว่าเพื่อนได้เจาะกำแพงแห่งการป้องกันตนเองของเขา และได้เห็นสิ่งที่เขาเป็นจริงๆ คือ เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก น่าดูถูก ภายใต้เกราะคุ้มกันที่ดูดี ในขณะที่ผมฟังเรื่องราวของเขาอยู่นั้น ผมรู้ในทันทีว่าเขาดำเนินชีวิตอย่างไม่มีความสุข แม้ว่าคนรอบข้างเขาจะอิจฉาความสามารถของเขาก็ตาม  เป็นเวลาหลายปีที่เขามีคำถามอยู่ในใจว่า  “คนอื่นๆ รักผมไหม? เอาใจใส่ผมอย่างแท้จริงไหม? ทุกครั้งที่เขาปีนขึ้นไปถึงขั้นของความสำเร็จ  เขาคิดว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเป็นอย่างแท้จริง วันหนึ่งทุกสิ่งจะสูญสลายไปและเมื่อนั้นทุกคนจะเห็นว่าผมเป็นคนไม่ดี”
การพบปะครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนมากมายดำเนินชีวิตอย่างไม่มีความมั่นใจเลยว่า พวกเขาเป็นที่รักอย่างที่เขาเป็นจริงๆ   หลายคนมีประวัติชีวิตที่เลวร้าย ซึ่งเป็นการอธิบายว่าทำไมพวกเขามีภาพพจน์ที่คิดว่าตัวเองไร้คุณค่า เช่น เรื่องของพ่อแม่ซึ่งมิได้ให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ครูที่ทารุณพวกเขา หรือเพื่อนที่ทรยศพวกเขา หรือพระศาสนจักรที่ไม่สนใจพวกเขาในยามวิกฤตของชีวิต
    คำอุปมาเรื่องลูกล้างผลาญเป็นเรื่องราวที่พูดถึงความรักซึ่งมีอยู่ก่อนการปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้น และก็จะคงมีอยู่หลังจากการปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้นด้วย เป็นความรักริเริ่มและเป็นนิรันดรของพระเจ้า ผู้ซึ่งเป็นทั้งบิดาและมารดา และเป็นแหล่งกำเนิดของความรักแบบมนุษย์ แม้ในรูปแบบที่จำกัดที่สุด  ในชีวิตและคำสอนของพระเยซูเจ้า  พระองค์มีเพียงจุดประสงค์เดียวคือ การเผยแสดงความรักฉันบิดามารดาอันไม่รู้จักหมด และไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า และแสดงถึงหนทางเพื่อให้ความรักนำเราในชีวิตประจำวัน ในภาพวาดบิดาผู้ใจดีนั้น เรมแบรนท์ได้ทำให้ผมเห็นถึงความรักนี้ ซึ่งปรารถนาที่จะต้อนรับการกลับบ้าน และต้องการที่จะเฉลิมฉลองอยู่เสมอ