9

บิดาจัดงานฉลอง

บิดาพูดกับคนรับใช้ว่า “เร็วเข้า! จงไปเอาเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา เอาแหวนมาสวมนิ้ว  เอารองเท้ามาใส่ให้ จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้ว ได้กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น

ให้ในสิ่งที่ดีที่สุด
    เป็นสิ่งชัดเจนสำหรับผมว่า ลูกคนเล็กไม่ได้อยู่ในครอบครัวชาวนาธรรมดา นักบุญลูกาได้บรรยายว่าบิดาเป็นเศรษฐีที่มีทั้งทรัพย์สมบัติและคนรับใช้มากมาย เรมแบรนท์ได้แสดงการบรรยายนี้โดยวาดเสื้อผ้าของบิดาและของชายสองคนที่กำลังมองดูบิดานั้นอย่างหรูหรา หญิงสองคนที่อยู่ด้านหลัง ยืนพิงซุ้มประตูโค้งซึ่งมองดูคล้ายกับเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังมากกว่าที่จะเป็นบ้านของชาวไร่ชาวนา ชุดที่หรูหราของบิดาและลักษณะที่มั่งคั่งของสิ่งที่มีอยู่รอบข้าง ช่างขัดแย้งกับความทุกข์ทรมานอันยาวนาน ที่ปรากฏให้เห็นในนัยน์ตาฝ้าฟางบนใบหน้าที่เศร้าสร้อยและร่างที่งอคุ้มของบิดา
    พระเจ้าผู้ทรงทนทุกข์ทรมานเพราะความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อบุตรนั้น คือพระเจ้าผู้มั่งคั่งด้วยความดี ความเมตตากรุณา (อฟ.2:4) และปรารถนาที่จะเผยแสดงความมั่งคั่งแห่งพระสิริของพระองค์ให้แก่บุตรของพระองค์ (รม.9:23) บิดาไม่ได้ให้แม้โอกาสแก่บุตรที่จะขอโทษ เพราะบิดาได้ลบความผิดต่างๆ ก่อนแล้วด้วยการให้อภัย และเห็นว่าการขอโทษของบุตรนั้นไม่สำคัญเมื่อเทียบกับความยินดีที่เขากลับมา ยิ่งกว่านั้น ไม่เพียงแค่บิดาได้ให้อภัยแก่บุตรโดยปราศจากคำถามใดๆ และต้อนรับการกลับบ้านของบุตรด้วยความยินดีเท่านั้น แต่บิดายังไม่รีรอที่จะให้ชีวิตใหม่ อันเป็นชีวิตที่สมบูรณ์อีกด้วย (ยน.10:10) พระเจ้าเองทรงปรารถนาที่จะให้ชีวิตใหม่แก่บุตรของพระองค์ จนกระทั่งพระองค์ไม่อาจรีรอได้ ไม่มีสิ่งใดดีพอ บิดามอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่บุตร ในขณะที่บุตรเตรียมที่จะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงคนใช้คนหนึ่งเท่านั้น แต่บิดาได้ขอให้นำเสื้อผ้าสำหรับแขกผู้มีเกียรติมา และถึงแม้ลูกชายรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าพอที่จะได้ชื่อว่าเป็นลูกอีกต่อไป บิดาก็ให้นำแหวนมาใส่นิ้วและรองเท้ามาสวมเท้า เพื่อยกย่องให้เขาเป็นบุตรสุดที่รักและรับเขาเป็นทายาทอีกครั้งหนึ่ง
    ผมยังจำเสื้อผ้าที่ใส่ในช่วงฤดูร้อน หลังจากที่ผมจบชั้นมัธยมศึกษาได้ดี กางเกงขายาวสีขาว เข็มขัดเส้นใหญ่ เสื้อเชิ้ตสี และรองเท้ามันวาว ทั้งหมดนี้แสดงถึงความภาคภูมิใจที่ผมมี พ่อแม่ดีใจมากที่ได้ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่นี้ให้ผม เพราะท่านภาคภูมิใจในลูกชายของท่านมาก  และผมรู้สึกสำนึกบุญคุณที่เป็นลูกของท่าน ผมจำได้ดีโดยเฉพาะความรู้สึกดี  ที่ได้รองเท้าคู่ใหม่  หลังจากนั้น ผมก็ได้เดินทางไปหลายแห่งและได้พบผู้คนมากมายที่เดินเท้าเปล่า ตอนนี้ ผมเข้าใจความหมายเชิงสัญลักษณ์ของรองเท้าคู่ใหม่มากขึ้น เท้าเปล่าแสดงถึงความยากจนและการเป็นทาส รองเท้ามีไว้สำหรับคนมั่งมีและผู้มีอำนาจ รองเท้าป้องกันงูร้ายกัด ให้ความปลอดภัยและความแข็งแกร่ง เปลี่ยนผู้ถูกล่าให้เป็นนักล่า  สำหรับคนยากจนจำนวนมากนั้น  การมีรองเท้าแสดงถึงชนชั้นทางสังคม มี “ผู้นำฝ่ายจิตนิโกร”  ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ผู้อาวุโสท่านหนึ่งได้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า “ลูกทุกคนของพระเจ้ามีรองเท้าใส่ เมื่อผมไปถึงสวรรค์ ผมจะใส่รองเท้า และเดินเที่ยวทั่วสวรรค์”
    บิดาสวมเครื่องหมายของอิสรภาพแห่งการเป็นบุตรพระเจ้าให้แก่บุตรชาย เขาไม่ต้องการให้บุตรคนใดเป็นคนใช้หรือทาส เขาต้องการให้บุตรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีเกียรติ สวมแหวนแสดงความเป็นทายาท และสวมรองเท้าแสดงถึงศักดิ์ศรี เสมือนว่าเป็นการสถาปนาเปิดปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า ความหมายเต็มที่สมบูรณ์ของการสถาปนาและการเข้ารับตำแหน่งใหม่นี้  มีปรากฏชัดเจนในภาพนิมิตที่สี่ของประกาศกเศคาริยาห์ที่ว่า “พระยาเวห์บอกโยชูอา สงฆ์ผู้สูงสุดให้ยืนต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ...  โยชูอาสวมใส่เสื้อผ้าสกปรกในขณะที่เขายืนอยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ มีคำกล่าวจากผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาว่า “จงถอดชุดที่สกปรกของเจ้าออก  และสวมผ้าโพกหัวและเสื้อผ้าที่สะอาดแก่เขา”  ในขณะที่ทูตสวรรค์ของพระยาเวห์ยืนอยู่ และพูดว่า “เจ้าเห็นแล้วว่าเราได้เอาความผิดของเจ้าออกไปเสียแล้ว”  แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็ประกาศแก่โยชูอาว่า “พระยาเวห์ตรัสดังนี้ ถ้าเจ้าเดินในหนทางของเรา และอยู่ในกฎเกณฑ์แห่งเรา เจ้าจะครอบครองบ้านของเรา  เจ้าจะระมัดระวังราชฐานของเรา และเราจะให้เสรีภาพแก่เจ้าในท่ามกลางผู้ซึ่งครอบครองอยู่ที่นี่  จงฟัง โยชูอา สงฆ์ผู้สูงสุด (...) เราจะย้ายความผิดของชนชาตินี้ในวันเดียว  และในวันนั้น เราจะเชิญชวนให้แต่ละคนเข้ามาอยู่ภายใต้เถาองุ่นและร่มต้นมะเดื่อของเจ้า” (ศคย.3:1-10)
เมื่อผมอ่านเรื่องราวของลูกล้างผลาญ พร้อมกับภาพนิมิตของประกาศกเศคาริยาห์อีกครั้ง  ผมก็เข้าใจว่าคำว่า “เร็วเข้า” ที่บิดาสั่งให้คนรับใช้นำเสื้อผ้า แหวน และรองเท้ามาสวมให้แก่บุตรของเขานั้น เป็นสิ่งที่บ่งบอกมากกว่าการรอไม่ได้ เพราะเป็นคำที่แสดงถึงความร้อนรนของพระเจ้าที่ทรงปรารถนาริเริ่มอาณาจักรใหม่ ซึ่งได้ถูกเตรียมไว้แล้วตั้งแต่แรกเริ่ม
    เป็นสิ่งที่แน่ชัดว่า บิดาต้องการให้มีการเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่ การฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วเพื่อโอกาสพิเศษนั้น แสดงถึงว่าบิดาต้องการที่จะยกเลิกอุปสรรคทุกอย่าง และจัดการฉลองให้กับบุตรชายราวกับว่าเขามิได้พบกันมาก่อน ความยินดีอย่างออกหน้าออกตาของเขาเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด หลังจากที่ออกคำสั่งให้จัดทุกสิ่งไว้พร้อม บิดาก็ร้องว่า “กินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้ว ได้กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” และการฉลองก็เริ่มต้นขึ้นทันที  มีอาหารอุดมสมบูรณ์  ดนตรีและการเต้นรำ เสียงรื่นเริงของงานเลี้ยงดังออกไปไกล

การเชื้อเชิญให้เข้าสู่ความยินดี
ผมรู้ว่าผมไม่คุ้นเคยกับภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่จัดงานฉลองใหญ่ ซึ่งดูเหมือนตรงข้ามกับความทรงเกียรติและความเอาจริงเอาจังที่ผมมีเกี่ยวกับพระองค์ แต่เมื่อผมคิดถึงภาพที่พระเยซูเจ้าใช้บรรยายถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า ผมก็พบว่ามีงานเลี้ยงอยู่ในการบรรยายนี้บ่อยครั้ง พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและตะวันตก และจะนั่งร่วมโต๊ะกับอับราฮัม  อิสอัค และยาโคบในอาณาจักรสวรรค์” (มธ.8:11) พระเยซูเจ้าเปรียบเทียบพระอาณาจักรสวรรค์กับงานมงคลสมรส ที่พระราชาจัดให้แก่พระราชโอรสของพระองค์ คนรับใช้ของพระราชาออกไปเชิญผู้คนว่า “บัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว ได้ฆ่าวัวและสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาร่วมในงานวิวาห์เถิด” (มธ.22:4) แต่หลายคนก็ไม่สนใจ พวกเขายุ่งและวุ่นวายกับธุระของตน
    ในเรื่องลูกล้างผลาญก็เช่นกัน พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของพระบิดา ที่จะจัดงานเลี้ยงให้แก่บรรดาบุตรของพระองค์ รวมทั้งความร้อนรนของพระองค์ที่จะเริ่มงานเลี้ยงนี้ด้วย แม้ว่าแขกรับเชิญปฏิเสธที่จะมาในงานก็ตาม การเชิญมาร่วมงานเลี้ยงก็คือการเชื้อเชิญให้ใกล้ชิดพระเจ้า สิ่งนี้เป็นจริงอย่างยิ่งในอาหารค่ำมื้อ สุดท้ายก่อนที่พระเยซูเจ้าจะสิ้นพระชนม์ ที่นั่น พระองค์ตรัสกับสานุศิษย์ของพระองค์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า แต่นี้ไปเราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นอีก จนกว่าจะถึงวันที่เราจะดื่มเหล้าองุ่นใหม่กับท่านในพระอาณาจักรของพระบิดาของเรา” (มธ.26:29) และในตอนท้ายของพระธรรมใหม่   มีการบรรยายชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยภาพงานเลี้ยงมงคลสมรส “ราชบัลลังก์ของพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพได้เริ่มแล้ว ให้เราชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระองค์ เหตุว่า นี่เป็นเวลาแห่งการมงคลสมรสของพระชุมพาน้อย ... เป็นบุญของผู้ที่ได้รับเชิญมาร่วมในงานเลี้ยงของพระองค์ ...” (วว.19:6-9)
การฉลองเป็นของพระอาณาจักรพระเจ้า พระเจ้ามิได้ประทานเฉพาะการอภัย  การคืนดี  และการรักษาเยียวยาเท่านั้น แต่พระองค์ทรงปรารถนาให้ของประทานเหล่านี้ เป็นที่มาของความยินดีสำหรับทุกคนที่เป็นพยานด้วย ในเรื่องอุปมาสามเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงอธิบายว่าทำไมพระองค์จึงทรงกินและดื่มร่วมกับคนบาป พระเจ้ามีความยินดีและเชื้อเชิญให้ทุกคนร่วมยินดีกับพระองค์ คนเลี้ยงแกะพูดว่า “เชิญมาร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันได้พบแกะตัวที่พลัดหลงนั้นแล้ว” หญิงคนนั้นบอกว่า “เชิญมาร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันได้พบเงินเหรียญที่หายไปแล้ว” และบิดาได้กล่าวว่า “เชิญมาร่วมยินดีกับฉันเถิด บุตรคนนี้ของฉันหายไปแล้ว และได้พบกันอีก”
    เสียงทั้งหมดนี้เป็นเสียงของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงต้องการเก็บความยินดีนี้ไว้สำหรับพระองค์เอง พระองค์ปรารถนาให้ทุกคนร่วมในความยินดีนี้ด้วย ความยินดีของพระเจ้าเป็นความยินดีของบรรดาเทวดาและนักบุญทั้งหลาย และเป็นความยินดีของทุกคนที่อยู่ในพระอาณาจักรสวรรค์
    เรมแบรนท์ได้วาดภาพการกลับมาของบุตรคนเล็ก บุตรคนโตและสมาชิกในบ้านของบิดาอีก 3 คนที่ไม่ยอมเข้ามาใกล้ พวกเขาจะเข้าใจความยินดีของบิดาหรือไม่ พวกเขาจะยอมให้บิดาโอบกอดพวกเขาหรือไม่? ตัวผมเองจะยอมรับด้วยไหม? พวกเขาจะสามารถออกจากการกีดกันตัวเอง และเข้ามาร่วมในการฉลองหรือไม่?  แล้วผมเองล่ะ?
    ผมเห็นเหตุการณ์เพียงส่วนเดียวเท่านั้น และผมไม่สามารถจินตนาการสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ผมย้ำอีกครั้งว่า พวกเขาจะปล่อยให้บิดา ...? และตัวผมจะ...?  ผมรู้ว่าบิดาต้องการให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างชื่นชมเสื้อผ้าชุดใหม่ของลูกชายที่กลับมา ร่วมโต๊ะกับเขา  กินและเต้นรำกับเขา นี่ไม่ใช่เรื่องเฉพาะบุคคล แต่เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนในครอบครัวได้รับเชิญให้มาร่วมฉลองด้วยความชื่นชมยินดี
    ผมถามย้ำอีกครั้งว่า  พวกเขาจะมาหรือไม่?  และผมจะมาไหม? เป็นคำถามที่สำคัญแม้อาจจะฟังดูแปลก เพราะเป็นการจี้จุดที่ผมต่อต้านการดำเนินชีวิตด้วยความชื่นชมยินดี
พระเจ้าทรงชื่นชมยินดี   มิใช่เพราะปัญหาต่าง ๆ ของโลกได้รับการแก้ไข มิใช่เพราะความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานของมนุษย์ได้สิ้นสุดลง หรือมิใช่เพราะคนเป็นจำนวนมากได้กลับใจและสรรเสริญพระทัยดีของพระองค์ ไม่เลย พระเจ้าทรงชื่นชมยินดีก็เพราะคนหนึ่งในบรรดาบุตรของพระองค์ที่หายไป แต่ได้มาพบกันใหม่ต่างหาก ผมได้รับเรียกให้เข้าร่วมในความยินดีของพระเจ้า ซึ่งมิใช่ความยินดีที่โลกเสนอให้ แต่เป็นความยินดีที่มาจากการมองเห็นเด็กคนหนึ่งเดินกลับบ้านท่ามกลางความสูญเสีย การทำลายล้างและความทุกข์ทรมานทั้งหลายของโลก เป็นความยินดีที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างหลังลางเลือนเหมือนภาพคนเป่าขลุ่ย ที่เรมแบรนท์วาดไว้บนกำแพงเหนือศีรษะของผู้ดูเหตุการณ์ที่นั่งอยู่ในภาพ
    ผมไม่คุ้นกับการชื่นชมยินดีในสิ่งเล็กน้อย ซ่อนเร้น และไม่เป็นที่สังเกตของผู้คนรอบข้าง ผมมักพร้อมที่จะรับข่าวร้าย อ่านรายงานสงคราม ความรุนแรง และอาชญากรรม รวมทั้งการเป็นพยานถึงความขัดแย้งและความยุ่งเหยิงทั้งหลายด้วย ผมคาดหวังว่าแขกที่มาหาผมจะพูดเกี่ยวกับปัญหาและความเจ็บปวด ความเบื่อหน่ายและความผิดหวัง ความเศร้าโศกและความทุกข์ของพวกเขา จะว่าไปแล้วผมเคยชินที่จะดำเนินชีวิตท่ามกลางความโศกเศร้า  และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงมองไม่เห็นความชื่นชมยินดี และไม่ได้ยินความรื่นเริงที่มาจากพระเจ้า ซึ่งเป็นความชื่นชมยินดีและความรื่นเริงที่เราพบได้ในซอกมุมเล็กๆ ของโลก
    ผมมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าจนถึงขนาดว่า เขาสามารถเห็นความยินดีในที่ที่ซึ่งผมเห็นแต่ความโศกเศร้า เขาเดินทางมากและพบคนมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อเขากลับมาบ้านเกิด ผมมักจะขอให้เขาเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ยุ่งยากทางเศรษฐกิจในประเทศที่เขาไป หรือเกี่ยวกับความอยุติธรรมและความทุกข์ทรมานที่เขาได้ยินหรือประสบมา แม้เขาจะตระหนักดีถึงความผันแปรของโลก แต่เขาแทบจะไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้เลย เวลาที่เขาแบ่งปันประสบการณ์ เขามักจะพูดถึงความยินดีอันซ่อนเร้นที่เขาได้ค้นพบ เขามักจะเล่าถึงชายหนุ่ม หญิงสาว หรือเด็กๆ ที่นำความหวังและสันติมาให้เขา เขาเล่าถึงกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่ซื่อสัตย์ต่อกันและกันแม้ในท่ามกลางปัญหาความยุ่งยากทุกชนิด เขาพูดถึงอัศจรรย์เล็กๆ น้อยๆ ของพระเจ้า บางครั้งผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะผมต้องการฟัง “ข่าวที่น่าสนใจ” เรื่องราวที่น่าตื่นเต้น และน่าแปลกที่จะนำมาถกกันในหมู่เพื่อนๆ แต่เขาไม่เคยตอบสนองความต้องการตามความรู้สึกของผมเลย เขาเพียงแต่พูดว่า “ผมได้เห็นสิ่งที่ธรรมดาและงดงามมาก ซึ่งทำให้ผมรู้สึกมีความสุข”
    บิดาของลูกล้างผลาญได้มอบตนเองในความยินดีอย่างสิ้นเชิงเมื่อลูกของตนกลับบ้าน ผมต้องเรียนรู้จากตัวอย่างนี้ ผมต้องเรียนรู้ที่จะไขว่คว้าความยินดีที่แท้จริง คือการทำให้คนอื่นมองเห็นความยินดีนี้ด้วย ใช่แล้ว ผมรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกลับใจ และยังไม่มีความสงบสุขหรือสันติในทุกหนแห่ง  ความทุกข์ทรมานยังปรากฏอยู่ อย่างไรก็ตาม ผมเห็นผู้คนกลับบ้าน ผมได้ยินเสียงสวดภาวนา ผมเห็นการให้อภัย และเป็นพยานถึงเครื่องหมายแห่งความหวังหลายประการ ผมไม่ต้องรอว่าทุกสิ่งต้องสมบูรณ์ แต่ผมสามารถฉลองสิ่งเล็กน้อยที่แสดงว่าพระอาณาจักรได้ปรากฏอยู่แล้ว
    สิ่งนี้เรียกร้องการควบคุมตนเองอย่างแท้จริง กล่าวคือ ผมต้องเลือกแสงสว่างแม้เมื่อมีความมืดครอบงำที่ทำให้ผมกลัว ผมต้องเลือกชีวิตแม้เมื่ออำนาจของความตายปรากฏเด่นชัด ผมต้องเลือกความจริงแม้ตัวเองจะถูกล้อมรอบไปด้วยการโกหกหลอกลวง ผมถูกประจญให้จมอยู่ในความโศกเศร้าซึ่งเป็นสภาพหนึ่งของมนุษย์ จนกระทั่งผมมองไม่เห็นความยินดีที่อยู่ในสิ่งเล็กน้อยแต่เป็นจริง ผลตอบแทนของการเลือกความยินดีก็คือความยินดี   การใช้ชีวิตท่ามกลางคนพิการทางสมองทำให้ผมเชื่อมั่นในสิ่งนี้มากขึ้น ในท่ามกลางพวกเรามีการปฏิเสธ มีความเจ็บปวด และการทำร้ายจิตใจ แต่เมื่อคุณเลือกเอาความยินดีที่ซ่อนเร้นอยู่ในความทุกข์ทรมานแล้ว ชีวิตก็จะกลายเป็นการเฉลิมฉลอง ความยินดีไม่เคยปฏิเสธความเศร้าโศก แต่เปลี่ยนความโศกเศร้าให้กลายเป็นพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ ที่ซึ่งความยินดีจะงอกงามได้มากขึ้น
    แน่นอนว่า คนจะต้องหาว่าผมเป็นพวกที่มองโลกในแง่ดีเกินไป ไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง และอิงอยู่กับความรู้สึกมากไป ผมถูกกล่าวหาว่าไม่รู้ถึงปัญหาที่แท้จริง คือโครงสร้างที่เลวร้ายเป็นสาเหตุของความทุกข์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น  แต่พระเจ้าทรงยินดีเมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจ ในแง่ของสถิติไม่มีความหมายมากนัก สำหรับพระเจ้า ดูเหมือนว่าตัวเลขไม่ค่อยสำคัญนัก ใครจะรู้ว่าโลกนี้จะรอดพ้นจากการทำลายล้าง ก็เพราะคนหนึ่งคน สองคน หรือสามคน ได้ภาวนาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มนุษย์ที่เหลือได้สูญเสียความหวังและปฏิเสธพระเจ้า
จากมุมมองของพระเจ้า กิจการซ่อนเร้นของการกลับใจ การกระทำที่เล็กน้อยของความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว และเวลาแห่งการให้อภัยอย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้พระเจ้าเสด็จลงจากบัลลังก์ของพระองค์และวิ่งไปยังลูกชายที่เป็นทุกข์เสียใจ และทำให้สวรรค์เต็มไปด้วยเสียงแห่งความยินดีของพระเจ้า

ไม่ใช่ว่าจะไม่เจ็บปวด
    ถ้านั่นคือหนทางของพระเจ้า ผมก็ได้รับเชิญให้ลืมเสียงต่างๆ ที่พูดถึงการประณามและการสาปแช่ง ซึ่งชักนำให้ผมรู้สึกเศร้าเสียใจ แต่ให้เสียง “เล็กๆ” นั้นได้เผยแสดงความจริงเกี่ยวกับโลกที่ผมอาศัยอยู่ เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถึงโลก พระองค์ทรงอยู่กับความเป็นจริง พระองค์ตรัสถึงสงครามและการปฏิวัติ  แผ่นดินไหว โรคระบาดและการกันดารอาหาร การทารุณและการกักขัง การทรยศ ความเกลียดชังและการลอบสังหาร พระองค์ไม่เคยตรัสว่า เครื่องหมายของความมืดมนในโลกจะหายไปสักวันหนึ่ง อย่างไรก็ตาม แม้ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้  ความยินดีของพระเจ้าก็สามารถเป็นความยินดีของเราได้ เป็นความยินดีที่ได้อยู่ในบ้านของพระเจ้า ซึ่งความรักแข็งแกร่งกว่าความตาย และทำให้เราสามารถอยู่ในโลกได้ โดยอยู่ในอาณาจักรแห่งความยินดีแล้วด้วย
    นี่เป็นความลับแห่งความยินดีของบรรดานักบุญ    ตั้งแต่นักบุญอันตนแห่งทะเลทราย นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี  บราเดอร์ โรเจอร์แห่งเทเซ่ จนถึงคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา ความยินดีนี้เป็นตราแห่งประชากรของพระเจ้า เราสามารถเห็นความยินดีนี้ได้บนใบหน้าของคนธรรมดา ยากจนและทนทุกข์ทรมาน ซึ่งปัจจุบันมีชีวิตในสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ลำบากอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำในบ้านของพระบิดาแล้ว ตัวผมเองได้เห็นความยินดีนี้ทุกวันบนใบหน้าของผู้พิการทางสมองในบ้านที่ผมอยู่ ชายหญิงผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ หรืออยู่ร่วมสมัยกับเรา  สามารถมองเห็นการกลับมาเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่เกิดขึ้นทุกวัน และได้ชื่นชมยินดีกับพระบิดา พวกเขานี่แหละที่ได้เข้าถึงความหมายของความยินดีที่แท้จริง
    สำหรับผมแล้ว  เป็นเรื่องวิเศษมากที่ได้มีประสบการณ์อยู่ทุกวันถึงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระหว่างความเกลียดชังและความชื่นชมยินดี คนที่เกลียดชังมักจะค้นหาความมืดในทุกสถานที่ที่เขาไป เขามักชี้ให้เห็นถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ รวมทั้งแรงจูงใจที่ไม่บริสุทธิ์และอุบายที่ซ่อนเร้น  พวกเขาถือว่าความวางใจเป็น “ความไร้เดียงสา” การเอาใจใส่ผู้อื่นเป็น “ความรู้สึกหวั่นไหว”  และการให้อภัยเป็น “ความใจอ่อน” พวกเขาหัวเราะเยาะความกระตือรือร้น เยาะเย้ยผู้ที่มีความกระตือรือร้นทางจิตวิญญาณ และดูหมิ่นพฤติกรรมแบบผู้ที่ได้รับพระพรพิเศษ พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง เข้าใจความเป็นจริงอย่างที่เป็นจริง และไม่ถูกหลอกลวงโดยอารมณ์ที่พยายามหนีจากความเป็นจริง แต่เมื่อพวกเขาไม่เห็นว่าความยินดีของพระเจ้าสำคัญ   ความมืดของพวกเขาก็ยิ่งทำให้เกิดความมืดมากยิ่งขึ้นอีก
บุคคลที่รู้จักกับความยินดีของพระเจ้าจะไม่ปฏิเสธความมืด แต่เขาเลือกที่จะไม่ดำรงอยู่ในความมืดนั้น พวกเขายืนยันว่าความสว่างซึ่งฉายแสงในความมืดนั้นสว่างกว่าความมืด และแสงอันเล็กน้อยนี้สามารถขจัดความมืดมากมายให้หายไปได้  พวกเขาต่างชี้ให้เห็นแสงสะท้อนที่ปรากฏอยู่ตามที่ต่างๆ แก่กันและกัน  และบอกกล่าวแก่กันว่าแสงสว่างนี้แสดงถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าที่ ซ่อนเร้นแต่เป็นจริง พวกเขาค้นพบว่ามีหลายคนได้รักษาบาดแผลของกันและกัน ได้ยกโทษความผิดแก่กันและกัน แบ่งปันสิ่งของ หล่อเลี้ยงจิตตารมณ์ของหมู่คณะ เฉลิมฉลอง พระคุณของพระเจ้าที่พวกเขาได้รับ และดำเนินชีวิตด้วยการแสดงออกล่วงหน้าถึงพระสิริมงคลของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
    ทุกขณะในแต่ละวัน ผมมีโอกาสที่จะเลือกระหว่างความเกลียดชังหรือความชื่นชมยินดี ทุกความคิด ทุกคำพูด หรือทุกกิจการที่ผมกระทำ เป็นได้ทั้งความเกลียดหรือความยินดี ผมตระหนักมากขึ้นถึงทางเลือกที่เป็นไปได้เหล่านี้ และผมค้นพบมากยิ่งขึ้นว่า การเลือกความยินดีนั้นส่งผลให้เกิดความยินดีกลับมาเพิ่มมากขึ้น และมีเหตุผลมากขึ้นที่จะดำเนินชีวิตให้เป็นการเฉลิมฉลองในบ้านของพระบิดาอย่างแท้จริง
    พระเยซูเจ้าทรงดำเนินชีวิตด้วยความยินดีในบ้านของพระบิดาอย่างเต็มเปี่ยม ในพระองค์นั้น เราสามารถเห็นถึงความยินดีของพระบิดาเจ้า พระองค์ตรัสว่า “ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเรา” (ยน.16:15) รวมถึงความยินดีอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้าด้วย  ความยินดีของพระเจ้านี้ไม่ลบล้างความทุกข์ของพระเจ้า ในโลกของเรานั้น ความยินดีและความเสียใจถูกแยกออกจากกัน  ความยินดีหมายถึงการไม่มีความทุกข์ใจ และความเสียใจก็ไม่มีความยินดี แต่การแบ่งแยกนี้ไม่มีอยู่ในพระเจ้า พระเยซูเจ้า   พระบุตรของพระเจ้า คือมนุษย์ผู้ทุกข์ทรมาน แต่ก็เป็นมนุษย์แห่งความยินดีอย่างบริบูรณ์ด้วย  เราเข้าใจสิ่งนี้ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่า  ในท่ามกลางความทุกข์ทรมานอันยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้านั้น พระองค์ไม่เคยแยกตัวออกจากพระบิดาเลย พระองค์ทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า และไม่เคยแตกแยกจากกัน แม้ในเวลาที่พระองค์ทรงรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจากพระเจ้าก็ตามที ความยินดีของพระเจ้าซึ่งเป็นความยินดีของพระบุตร คือร่วมกันระหว่างพระเยซูและพระบิดานั้น พระองค์ทรงประทานแก่ผม พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้ผมมีความยินดีเช่นเดียวกับพระองค์ “พระบิดาของเราได้ทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เราได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระบิดาของเรา และดำรงอยู่ในความรักของพระองค์ เราได้บอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์” (ยน.15:9-11)
    ผมได้รับความยินดีของพระเจ้าในฐานะบุตรของพระเจ้าที่กลับมาบ้านของพระบิดา แทบจะไม่มีสักนาทีเดียวในชีวิตที่ผมไม่ถูกประจญด้วยความเศร้าโศกเสียใจ  จิตใจหดหู่ ความจงเกลียดจงชัง อารมณ์เสีย ความคิดไม่ดี มองโลกในทางลบและซึมเศร้า บ่อยครั้งที่ผมยอมให้สิ่งเหล่านี้ครอบคลุมเหนือความยินดีแห่งบ้านของพระบิดา แต่เมื่อผมเชื่ออย่างแท้จริงว่า ผมกลับมาแล้ว และบิดาของผมได้สวมเสื้อผ้าใหม่ให้ผม นำแหวนและรองเท้ามาสวมให้ ผมก็สามารถถอดหน้ากากของความเศร้าเสียใจออกไปจากหัวใจของผม และขจัดสิ่งหลอกลวงต่างๆ ที่หน้ากากนี้บอกเกี่ยวกับตัวผม  ดังนี้เอง ผมจึงกล้าประกาศความจริงด้วยอิสระภายในแห่งการเป็นบุตรของพระเจ้า
    แต่ยิ่งกว่านั้น เด็กคนหนึ่งมิใช่จะเป็นเด็กอยู่ตลอดไป เด็กจะต้องเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และผู้ใหญ่ก็ต้องกลายเป็นบิดามารดา เมื่อลูกล้างผลาญกลับบ้าน เขาไม่ได้กลับมาเพื่อเป็นเด็กอีกครั้ง แต่เพื่อได้รับสภาพความเป็นบุตรกลับคืนมา และสามารถเป็นบิดาได้เมื่อถึงเวลา ในฐานะเป็นบุตรของพระเจ้าซึ่งได้รับการเชื้อเชิญให้กลับมายังบ้านของพระบิดา สิ่งท้าทายสำหรับผมตอนนี้คือ การเรียกให้เป็นบิดา ผมรู้สึกกลัวต่อเสียงเรียกนี้ นานมาแล้วที่ผมรู้สึกมีแรงบันดาลใจภายในว่าการกลับบ้านของบิดานั้นเป็นการเรียกขั้นสูงสุด ผมต้องทำงานทางจิตอย่างเข้มข้นเพื่อที่จะพาบุตรคนโตและบุตรคนเล็กในตัวผมกลับบ้าน และยอมรับความรักอันอบอุ่นของบิดา ความจริงในขณะที่ผมกำลังกลับไปนั้น ยิ่งใกล้บ้านของผมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกชัดเจนว่ามีเสียงเรียกอีกเสียงหนึ่งที่มากกว่าการเรียกให้ผมกลับบ้าน คือการเรียกให้เป็นบิดา ผู้ต้อนรับกลับบ้าน ผู้จัดงานฉลองเมื่อผมได้รับความเป็นบุตรกลับคืนมา ตอนนี้ผมต้องเรียนรู้ความเป็นบิดา ครั้งแรกที่ผมเห็นภาพวาดเรื่องลูกล้างผลาญของเรมแบรนท์ ผมไม่เคยคิดว่าการเป็นลูกที่กลับใจนั้น เป็นเพียงขั้นแรกที่จะไปสู่การเป็นบิดาผู้เมตตากรุณา ตอนนี้ ผมเข้าใจแล้วว่า มือที่ให้อภัย ปลอบประโลม เยียวยารักษา และหยิบยื่นการฉลองใหญ่นั้นต้องเป็นมือของผมเอง ดังนั้น การกลายเป็นบิดาจึงเป็นบทสรุปที่น่าประหลาดใจสำหรับผม จากการได้ไตร่ตรองภาพวาดเรื่องการกลับมาของลูกล้างผลาญของเรมแบรนท์