แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

บทส่งท้าย

ดำเนินชีวิตตามภาพวาด
    เมื่อผมได้เห็นภาพโปสเตอร์ของเรมแบรนท์เป็นครั้งแรก ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1983 ผมสนใจอยู่แต่มือทั้งสองข้างของบิดาที่กอดลูกชายผู้กลับมาไว้แนบอก ผมเห็นการให้อภัย การคืนดี  และการรักษาเยียวยา ทั้งยังเห็นถึงความปลอดภัย การพักผ่อน และการกลับบ้านด้วย ผมรู้สึกประทับใจภาพการโอบกอดที่มีชีวิตชีวาของบิดากับบุตร  เพราะทุกสิ่งในตัวของผมปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะสัมผัสการต้อนรับแบบที่ลูกล้างผลาญได้รับ การได้เห็นภาพครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการกลับมาของตัวผม
    คณะลาค์ช (L'Arche) ค่อยๆ กลายมาเป็นบ้านของผม ไม่เคยเลยสักครั้งในชีวิตที่ผมจะคิดว่าคนที่พิการทางสมองจะเป็นผู้วางมือของเขาลงบนตัวผมในลักษณะของการอวยพร และให้ผมรู้สึกถึงความเป็นบ้าน นานมากที่ผมค้นหาความรู้สึกปลอดภัยและความอบอุ่นในท่ามกลางบุคคลที่เฉลียวฉลาดทั้งหลาย โดยแทบจะไม่ตระหนักว่าพระอาณาจักรสวรรค์เผยแสดงแก่ “เด็กเล็กๆ”  ซึ่งพระเจ้าได้เลือกสรร “คนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้ผู้เข้มแข็งต้องอับอาย” (1คร.1:27)
    แต่เมื่อผมมีประสบการณ์ถึงการต้อนรับที่อบอุ่น    และไม่เสแสร้งของบุคคลซึ่งไม่มีสิ่งใดจะโอ้อวด และเมื่อผมได้มีประสบการณ์ถึงการโอบกอดด้วยความรักจากบุคคลที่ไม่ตั้งคำถามใดๆ ผมก็เริ่มที่จะค้นพบว่า การกลับบ้านฝ่ายจิตที่แท้จริงนั้น หมายถึงการกลับไปสู่ความเป็นผู้มีจิตใจยากจน  ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ การโอบกอดของบิดากลายเป็นความจริงสำหรับผม  เมื่อผมได้โอบกอดผู้พิการทางสมองที่น่าสงสารเหล่านี้
    การที่ผมได้เห็นภาพนี้ในขณะที่ผมไปเยี่ยมบ้านผู้พิการทาง-สมองนั้น ทำให้ผมสร้างความคิดเชื่อมโยง ซึ่งหยั่งรากลึกในรหัส-ธรรมเรื่องความรอด  เป็นการเชื่อมโยงระหว่างการอวยพรของพระเจ้ากับการอวยพรของคนยากจน   ในลาค์ช ผมพบว่าการอวยพรเหล่านี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรมแบรนท์ไม่เพียงนำผมให้สัมผัสกับความปรารถนาอันลึกซึ้งแห่งหัวใจเท่านั้น แต่ยังนำผมให้ค้นพบว่าผมสามารถทำให้ความปรารถนาเหล่านี้เป็นจริงในบ้านที่ผมได้พบกับเขาเป็นครั้งแรกด้วย
    ตอนนี้เป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว   ที่ผมได้เห็นภาพวาดของเรมแบรนท์ที่โทรสลี (Trosly) และกว่า 5 ปี ที่ผมตัดสินใจเลือกลาค์ชเป็นบ้านของผม เมื่อผมไตร่ตรองช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมตระหนักว่าทั้งผู้พิการทางสมองและผู้ดูแลพวกเขาต่างทำให้ผมดำเนินชีวิตตามภาพวาดของเรมแบรนท์ได้อย่างสมบูรณ์มากกว่าที่ผมคาดหวังไว้เสียอีก การต้อนรับอย่างอบอุ่นที่ผมได้รับในบ้านของลาค์ชหลายๆ แห่ง  และในการเฉลิมฉลองที่ผมได้ร่วมด้วย ทำให้ผมมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งถึงการกลับมาของลูกคนเล็ก  การต้อนรับและการฉลอง แท้จริงแล้วก็คือลักษณะหลัก 2 ประการของชีวิตในบ้านลาค์ชนี้ เครื่องหมายของการต้อนรับมีอยู่มากมาย เช่น กอด จูบ ร้องเพลง การแสดง และการกินเลี้ยง จนกระทั่งสำหรับคนแปลกหน้าแล้ว ลาค์ชดูเหมือนจะมีงานฉลองการกลับบ้านอยู่เป็นประจำ
    ผมได้ใช้ชีวิตแบบบุตรคนโตด้วย ก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้ตระหนักจริงๆ ว่า บุตรคนโตเป็นส่วนหนึ่งในภาพวาดเรื่องลูกล้างผลาญของเรมแบรนท์ จนกระทั่งผมไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และได้เห็นภาพรวมทั้งหมด ที่นั่น ผมได้ค้นพบความตึงเครียดที่เรมแบรนท์แสดงออก คือในภาพไม่ได้มีแค่แสงสว่างแห่งการคืนดีระหว่างบิดาและบุตรคนเล็กเท่านั้น  แต่ยังมีความห่างไกลที่มืดมนและความขุ่นเคืองของบุตรคนโตด้วย แม้จะมีการกลับใจ แต่ก็มีความโกรธด้วย แม้จะมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ก็มีความแปลกแยกด้วย แม้จะมีการรักษาเยียวยาที่อบอุ่น แต่ก็มีสายตาแห่งการตัดสินที่เย็นชาด้วย แม้จะมีความเมตตากรุณา แต่ก็มีการต่อต้านที่ยากจะยอมรับความเมตตานั้นด้วย ผมใช้เวลาไม่นานนักที่จะพบลักษณะบุตรคนโตในตัวผม
    ชีวิตในหมู่คณะไม่ได้ทำให้ความมืดหายไปเสียทั้งหมด ตรงกันข้าม เหมือนกับว่าความสว่างที่ดึงดูดผมมาที่ลาค์ชนั้น ทำให้ผมสำนึกถึงความมืดในตัวของผม ความอิจฉาริษยา ความโกรธ ความรู้สึกถูกปฏิเสธหรือไม่ยอมรับ ความรู้สึกที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ อย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ปรากฏในหมู่คณะที่พยายามดำเนินชีวิตแห่งการให้อภัย การคืนดีกัน และการเยียวยารักษา ชีวิตหมู่คณะได้เปิดตัวผมสู่การต่อสู้ทางจิตอย่างแท้จริง อันเป็นการต่อสู้เพื่อเดินต่อไปสู่แสงสว่าง แม้ว่าจะมีความมืดอยู่ก็ตาม
    ตราบเท่าที่ผมดำเนินชีวิตเพียงลำพัง ดูเหมือนง่ายที่ผมจะปิดบังความเป็นบุตรคนโตเอาไว้   แต่การแบ่งปันชีวิตกับบุคคลที่ไม่ปิดบังความรู้สึกของพวกเขา ทำให้ผมเผชิญหน้ากับความเป็นบุตรคนโตที่อยู่ภายในตัวผมอย่างรวดเร็ว ในชีวิตหมู่คณะมีเรื่องรักหวานชื่นน้อยมาก แต่มีความต้องการอยู่เสมอที่จะออกจากเงามืด เพื่อเข้าใกล้การโอบกอดของบิดา
    ผู้พิการนั้นไม่มีอะไรที่ต้องสูญเสียมากนัก พวกเขาเปิดเผยตัวเองแก่ผม พวกเขาแสดงออกถึงความรักและความกลัว ความสุภาพและความทุกข์ทรมาน ความใจกว้างและความเห็นแก่ตัวของพวกเขาอย่างเปิดเผย ด้วยความที่พวกเขาแสดงออกอย่างง่ายๆ ว่าเขาเป็นใคร ทำให้ผมเปิดตัวเองแก่พวกเขาดังเช่นที่พวกเขาเปิดตัวแก่ผม ความพิการของพวกเขาเปิดเผยถึงความพิการของตัวผมเอง ความทุกข์ทรมานของพวกเขาเป็นกระจกส่องตัวผม ความเปราะบางของพวกเขาแสดงให้ผมเห็นความเปราะบางของตัวเอง ในการบังคับให้ผมเผชิญหน้ากับบุตรคนโตที่อยู่ในตัวผม ลาค์ชก็ได้เปิดทางนำผมกลับบ้าน    ผู้พิการที่ได้ต้อนรับผมกลับบ้านและเชื้อเชิญให้ผมฉลอง เป็นกลุ่มบุคคลเดียวกันที่ทำให้ผมเผชิญหน้ากับตัวผมเองที่ยังไม่ได้กลับใจ กลุ่มคนพิการนี้แหละที่ทำให้ผมตระหนักว่า หนทางของผมนั้นยังอยู่ห่างไกลจากจุดหมาย
    ในขณะที่การค้นพบเหล่านี้ได้กระทบกับชีวิตของผมอย่างลึก-ซึ้ง พระหรรษทานอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ได้รับจากลาค์ช คือการท้าทายในการกลายเป็นบิดา ผมมีอาวุโสมากกว่าสมาชิกในลาค์ชทุกคน และเป็นจิตตาธิการด้วย ซึ่งน่าจะง่ายที่ผมจะคิดว่าตัวเองเป็นบิดาคนหนึ่ง ด้วยเหตุที่ผมได้บวชเป็นพระสงฆ์ ผมจึงมีตำแหน่งเป็นบิดาอยู่แล้ว ตอนนี้ผมต้องดำเนินชีวิตในฐานะเป็นบิดาตามความเป็นจริง
    การเป็นบิดาในหมู่คณะที่มีทั้งผู้พิการทางสมอง และผู้ดูแลพวกเขานั้น  เป็นการเรียกร้องมากกว่าการที่ผมต้องต่อสู้กับความเป็นบุตรคนเล็กหรือคนโตเสียอีก บิดาในภาพวาดของเรมแบรนท์เป็นบิดาที่ไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะความทุกข์ทรมาน เขาได้ประสบกับ “ความตาย” มามากมาย เขาจึงกลายเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ที่จะรับและให้ มือที่กางออกไนั้นมิได้ขอ ไขว่คว้า ตักเตือน ตัดสิน หรือลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นมือที่อวยพร และให้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลย
    ตอนนี้ผมต้องเผชิญหน้ากับภาระที่ยากและแทบจะเป็นไปไม่ได้ในการปฏิเสธความเป็นเด็กในตัวผม นักบุญเปาโลกล่าวไว้ชัดเจนว่า  “เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก  ข้าพเจ้าก็กระทำอย่างเด็ก  เข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างเด็ก และคิดแบบเด็กๆ แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าพเจ้าละจากหนทางแบบเด็กๆ แล้ว” (1คร.13:11) เป็นการง่ายที่จะเป็นเหมือนลูกคนเล็กหรือคนโตอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ที่บ้านลาค์ชของเราเต็มไปด้วยลูกที่หลงทางหรือโกรธ ด้วยความที่ต้องดูแลกันเป็นคู่ๆ  จึงเท่ากับเป็นการให้ความหมายถึงการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ยิ่งผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะนี้มากเท่าไร  ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนี้ก็ยิ่งดูเหมือนเป็นจุดพักบนหนทางสู่จุดหมายปลายทางที่โดดเดี่ยว คือความโดดเดี่ยวของบิดา ของพระเจ้า  ของความเมตตากรุณา  หมู่คณะมิได้ต้องการลูกคนเล็กหรือคนโต คนอื่นๆ อีก ไม่ว่าเขาจะกลับใจหรือไม่ก็ตาม แต่หมู่คณะต้องการบิดาที่ยื่นมือออกไป และพร้อมเสมอที่จะวางมือนั้นบนไหล่ของลูกๆ ที่ปรารถนาจะกลับมา อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งในตัวผมนั้นได้ต่อต้านกระแสเรียกอันนี้ ผมยังคงติดอยู่กับความเป็นลูกในตัวผม ผมไม่ต้องการจะเป็นคนที่มีนัยน์ตาฝ้าฟาง ผมต้องการเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวผมอย่างชัดเจน ผมไม่ต้องการการรอคอยจนกระทั่งลูกของผมกลับบ้าน ผมต้องการที่จะอยู่กับเขาในประเทศที่ห่างไกล หรืออยู่ในทุ่งนากับพวกคนรับใช้ ผมไม่ต้องการอยู่เงียบๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น  ผมอยากจะได้ยินเรื่องราวและตั้งคำถามมากมาย  ผมไม่ต้องการยื่นมือออกไปเมื่อมีเพียงไม่กี่คนที่ต้องการการโอบกอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อบิดาและภาพลักษณ์ของบิดานั้นถูกมองว่าเป็นที่มาของปัญหามากมาย
    หลังจากที่ได้ดำเนินชีวิตเยี่ยงบุตรมาช้านาน    ผมรู้อย่างแน่นอนว่า การเรียกที่แท้จริงคือการเรียกให้เป็นบิดาผู้มีความเมตตากรุณา ไม่มีคำถามใดๆ แต่ให้และอภัยอยู่เสมอ ไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน ในหมู่คณะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นรูปธรรมมาก และบ่อยครั้งเกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ผมต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น      ผมต้องการที่จะเกี่ยวข้องกับชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ของผู้คนทั่วไป ผมต้องการให้ผู้คนนึกถึงผม เชื้อเชิญผม และแจ้งข่าวให้ผมทราบ แต่ในความเป็นจริง มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงความปรารถนาของผม และคนที่รู้ก็ไม่แน่ใจว่าจะตอบสนองอย่างไร คนของผมไม่ว่าจะพิการหรือไม่ก็ตาม ไม่ได้แสวงหาคู่ หรือคนอื่นที่เป็นเพื่อนเล่น หรือแม้แต่แสวงหาพี่น้อง พวกเขาแสวงหาบิดาผู้ที่สามารถอวยพรและให้อภัยพวกเขาโดยปราศจากความต้องการใดๆ ผมมองเห็นความจริงแห่งกระแสเรียกการเป็นบิดาของผมอย่างชัดเจน ในเวลาเดียวกัน ผมก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะติดตามกระแสเรียกนั้น ผมไม่ต้องการอยู่บ้านในขณะที่คนอื่นออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะออกไปด้วยความปรารถนา หรือด้วยความโกรธก็ตาม ผมรู้สึกถึงแรงกระตุ้นอันเดียวกันนี้ และต้องการหนีไปเหมือนอย่างที่คนอื่นๆ เขาทำกัน    แต่ใครเล่าจะอยู่ที่บ้านเมื่อพวกเขากลับมาอย่างเหน็ดเหนื่อย หมด-แรง วิตกกังวล หมดหวัง รู้สึกผิดหรืออับอาย? ใครจะปลอบ-ประโลมพวกเขาว่าหลังจากที่ทุกสิ่งได้ผ่านพ้นไปแล้ว ยังมีสถานที่ที่ปลอดภัยให้พวกเขาได้กลับไปและรับการต้อนรับ ถ้าไม่ใช่ผม แล้วจะเป็นใครล่ะ? ความยินดีของบิดาย่อมแตกต่างจากความพึงพอใจของลูกๆ ที่ดึงดันตามใจของตนเอง ความยินดีของบิดาเป็นความยินดีที่อยู่เหนือการปฏิเสธและความโดดเดี่ยว ใช่แล้ว อยู่เหนือความมั่นใจในตนเองและในหมู่คณะ เป็นความยินดีของบิดาซึ่งมาจากสวรรค์ และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอันโดดเดี่ยวของพระองค์
    ผมไม่ประหลาดใจเลยที่มีน้อยคนมากที่ปรารถนาความเป็นบิดาในลักษณะเช่นนี้ เพราะว่าความทุกข์ทรมานปรากฏชัดเจน ส่วนความยินดีถูกซ่อนเร้นอย่างมิดชิด อย่างไรก็ตาม เมื่อผมปฏิเสธความเป็นบิดาก็เท่ากับว่าผมเลี่ยงความรับผิดชอบของผมในฐานะเป็นผู้ที่บรรลุวุฒิภาวะทางจิต และนั่นก็คือ ผมทรยศต่อกระแสเรียกของผม ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว แต่ผมจะเลือกสิ่งที่ดูเหมือนตรงกันข้ามกับความต้องการทั้งหมดของผมได้อย่างไรกัน เสียงหนึ่งบอกกับผมว่า “อย่ากลัวเลย บุตรจะจูงมือเจ้าและจะพาเจ้าสู่ความเป็นบิดา” ผมรู้ว่าเสียงนั้นไว้ใจได้ คนยากจน คนอ่อนแอ คนที่อยู่ชายขอบของสังคม คนที่ถูกปฏิเสธ คนที่ถูกลืม คนต่ำต้อย ...  พวกเขาไม่ต้องการเพียงให้ผมเป็นบิดาของพวกเขาเท่านั้น แต่เขายังแสดงให้ผมเห็นว่า ผมจะเป็นบิดาอย่างไรสำหรับพวกเขาอีกด้วย ความเป็นบิดาที่แท้จริงคือการแบ่งปันความยากจนของความรักพระเจ้าที่ไม่เรียกร้องสิ่งใดๆ ผมกลัวที่จะเข้าไปในความยากจนนั้น แต่บุคคลผู้เข้าไปแล้วเพราะความไร้สมรรถภาพทางร่างกายหรือสมองเหล่านั้นจะเป็นผู้สอนผม
เมื่อผมมองดูบุคคลที่ผมดำเนินชีวิตอยู่ด้วยกัน ทั้งชายหญิงผู้พิการทางสมองและผู้ดูแลพวกเขา ผมเห็นว่าพวกเขาต้องการบิดาอย่างยิ่ง ซึ่งต้องมีทั้งความเป็นบิดาและมารดา ผู้พิการเหล่านี้ได้รับความทุกข์ทรมานจากการถูกปฏิเสธหรือถูกทอดทิ้ง พวกเขาต้องเจ็บปวดเมื่อเติบโตขึ้น และถามตัวเองว่าพวกเขามีคุณค่าเพียงพอสำหรับความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าหรือ  และพวกเขาล้วนค้นหาสถานที่ที่พวกเขาสามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย และได้รับการต้อนรับจากมือที่อวยพรพวกเขา
    เรมแบรนท์วาดภาพบิดาเป็นชายคนหนึ่ง ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกชาย บิดาคนนี้อาจจะรู้สึกโดดเดี่ยวหรือโกรธ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปเพราะความทุกข์ทรมานและน้ำตา ความรู้สึกโดดเดี่ยวกลายเป็นความสงบอันไม่สิ้นสุด ความโกรธของเขากลายเป็นการขอบคุณที่ไร้ขีดจำกัด ผมต้องกลายเป็นเหมือนเขา ผมเห็นภาพบิดาอย่างชัดเจนเท่าๆ กับที่ผมได้เห็นความโดดเดี่ยวอันงดงามยิ่งใหญ่ ความว่างเปล่าและความเมตตากรุณาของบิดา  ผมสามารถปล่อยให้บุตรคนเล็กและคนโตเติบโตขึ้นในตัวผม จนกว่าจะถึงวันที่บิดาผู้เมตตากรุณาเติบโตเต็มที่ในตัวผมได้หรือไม่?
    ตอนที่ผมไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพื่อชมภาพวาดเรื่องการกลับมาของลูกล้างผลาญ ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะได้ดำเนินชีวิตตามสิ่งที่ผมได้เห็นนั้น ผมอัศจรรย์ใจที่เห็นว่าเรมแบรนท์ได้พาผมไปไกลขนาดไหน เขานำผมจากลูกชายน่าสงสารที่คุกเข่าอยู่ ไปจนถึงชายชราที่ยืนโน้มตัวลง เขานำผมจากที่ซึ่งรับการอวยพรมาสู่การเป็นผู้อวยพร ในขณะที่ผมมองดูมือทั้งสองข้างของตัวเอง ผมรู้ว่าเป็นมือนี้ที่ผมจะต้องยื่นออกไปเพื่อคนทั้งหลายที่ต้องทนทุกข์ทรมาน และวางลงบนไหล่ของผู้ที่มาหาผม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอวยพรพวกเขาด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า