แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

41. โยบร้องขอคำตอบจากพระเจ้า
    โยบเป็นผู้ที่ศรัทธา เขามีความเชื่อและไว้วางใจพระเจ้าและหลีกเลี่ยงการทำบาป โยบเป็นคนมั่งมี เขามีบุตรชายเจ็ดคน บุตรสาวสามคน และมีแกะจำนวนมากนอกจากนั้นเขาก็ยังมีอูฐ วัว และลาตัวเมีย    สำหรับโยบไม่เป็นการยากที่เขาจะมีความเชื่อในพระเจ้า ผู้ทรงประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เขา
    แต่พระเจ้าต้องการจะทดลองใจโยบ ได้มีกลุ่มโจรเข้ามาที่ฝูงสัตว์ของเขา โจรเหล่านั้นได้ฆ่าคนเลี้ยงแกะและก็ขโมยสัตว์ไป แต่ถึงกระนั้นโยบก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรเพราะว่าเขามีความไว้ใจในพระเจ้า    ต่อมาเหตุการณ์ร้ายก็เกิดกับโยบเป็นครั้งที่สองขณะที่บุตรชายและบุตรสาวของเขานั่งที่โต๊ะอาหาร    พายุหมุนก็พัดมาอย่างรุนแรงและทำลายบ้านของเขา    บุตรชายและบุตรสาวของโยบก็ตายโดยก้อนหินที่สร้างบ้านได้ตกลงมาทับเขาเหล่านั้น    เมื่อโยบได้ยินเรื่องเศร้าโศกดังกล่าว เขาก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุม โกนศีรษะแสดงความทุกข์ กราบลงหน้าจรดพื้น กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าตัวเปล่าออกมาจากครรภ์มารดา ข้าพเจ้าก็จะตัวเปล่ากลับไป
พระยาห์เวห์ประทานให้ พระยาห์เวห์ทรงเอาคืน
ขอถวายพระพรแด่พระนามของพระยาห์เวห์”
    แต่ก็ยังมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับโยบตามมาอีก    เขาได้เป็นฝีร้ายตั้งแต่ฝ่าเท้าจรดศรีษะ    เขาใช้เศษภาชนะดินเผาขูดตามตัวและนั่งอยู่บนกองขี้เถ้า    ภรรยาของโยบเข้ามาหาและพูดว่า “ท่านยังยึดมั่นในความดีพร้อมอยู่อีกหรือ จงสาปแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ”    แต่เขาตอบนางว่า “เธอพูดอย่างหญิงโง่จะพึงพูด ถ้าเรารับของดีๆ จากพระเจ้า ทำไมเราจึงไม่รับของไม่ดีด้วยเล่า”
    โยบมีเพื่อนอยู่สามคน    เมื่อเขาทั้งสามได้ยินเรื่องโชคร้ายของโยบ    เขาก็ตกลงกันจะไปเยี่ยมโยบเพื่อที่จะให้กำลังใจเขาและทำให้เขามีความสบายใจขึ้นบ้างแต่เมื่อพวกเขาได้มาพบกับโชคร้ายที่โยบได้รับ    เขาทั้งสามก็ร้องไห้สงสารโยบที่ต้องเผชิญเคราะห์กรรมเช่นนั้น    เขาทั้งสามนั่งอยู่ข้างๆ โยบเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ไม่มีใครพูดกับโยบแม้เพียงคำเดียวเพราะเห็นว่าโยบต้องทุกข์ทรมานมาก    แล้ววันหนึ่งโยบก็เป็นผู้เริ่มต้นพูดกับพระเจ้าและโต้เถียงกับพระองค์    เขาได้บ่นกับพระองค์ในความทุกข์ลำบากที่เขาได้รับ    เขาต่อว่าพระองค์ที่ส่งเขามาในโลกนี้ เขาเป็นคนบริสุทธิ์คนหนึ่ง แต่เคราะห์กรรมที่เกิดกับเขามากมายนัก
    เพื่อนทั้งสามของโยบมีความกลัวมากที่ได้ยินโยบกล่าวดังนั้น เขาต้องการจะปกป้องพระเจ้า และเขาก็พูดกับโยบว่า “ท่านกล่าวปรักปรำพระเจ้าได้อย่างไร ทุกคนทราบดีว่าพระองค์ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม พระองค์ประทานรางวัลให้กับคนดีและลงโทษคนบาป        พระองค์จะไม่ทำให้ท่านได้รับความทุกข์ทรมานอย่างนี้ถ้าท่านไม่สมควรจะได้รับการลงโทษอย่างนั้น แต่โยบมีความเชื่อในเหตุผลของเขา เขาเรียกร้องให้พระเจ้าอธิบายให้เขาฟังว่า ทำไมคนที่ศรัทธาอย่างเขาจึงต้องมาสมควรได้รับความทุกข์ยากลำบากอย่างนี้
    เพื่อนของเขาพยายามอธิบายให้เขาฟังเป็นเวลานานเพื่อให้เขาเปลี่ยนใจยอมรับว่าเขาเป็นคนผิด    เพราะว่าพระเจ้ามิใช่ผู้ทรงความอยุติธรรม แต่โยบก็ไม่ยอกเลิก เขาต้องการจะเข้าใจให้ได้ว่าทำไมพระเจ้าจึงตอบแทนความเชื่อของเขาด้วยสิ่งชั่วร้าย แล้วพระเจ้าก็ตรัสกับโยบออกมาจากลมพายุ พระองค์ถามเขาว่า “ผู้นี้เป็นใครที่ใช้ถ้อยคำไร้ความรู้ ทำแผนการของเราผิดไป จงคาดสะเอวอย่างชายฉกรรจ์เถิด เราจะถามท่าน ท่านจะต้องตอบเรา”    “ท่านอยู่ที่ไหนเมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดิน จงบอกมาซิถ้าท่านมีความรู้มากจริง    ท่านสามารถแยกแผ่นดินออกจากน้ำได้ไหม? ท่านให้มีเวลากลางวันและกลางคืนหรือ กำหนดเวลาได้ไหม? ท่านทำให้ดวงดาวเกิดขึ้นบนท้องฟ้าได้ไหม? ท่านเป็นคนจัดหาอาหารให้สำหรับสัตว์บนโลกนี้หรือ?”  โยบได้ฟังคำถามของพระเจ้าแต่เขาไม่มีคำตอบให้พระเจ้า และแล้วเขาก็ได้เข้าใจว่าพระเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าการเข้าใจได้    ดังนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เขามีความวางใจในพระองค์    แม้ว่าแผนการของพระองค์จะไม่สามารถเข้าใจได้ก็ตาม
    โยบทูลตอบพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าพระองค์ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง ไม่มีผู้ใดขัดขวางพระประสงค์ของพระองค์ได้    พระองค์สามารถทำได้สำเร็จ นอกเหนือไปจากวามโง่เขลา ข้าพระองค์ขอยอมรับว่าพระองค์มีเหตุผลของพระองค์ แผนการของพระองค์เป็นสิ่งประเสริฐ ข้าพระองค์ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ นับตั้งแต่บัดนี้ข้าพระองค์ไม่เพียงแต่จะทราบจากสิ่งที่พระองค์ตรัสแก่ข้าพระองค์เท่านั้น แต่ข้าพระองค์ได้เห็นด้วยตาของข้าพระองค์เองด้วย    และดังนั้น ข้าพระองค์จะเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์ได้ทูลกับพระองค์กลับไป และข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์ตลอดไป” (โยบ)