พระจิตเจ้าและการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระวจนาตถ์
16.    อาศัยการทรงนำของพระจิตเจ้า ประวัติแห่งความรอดได้รับการเผยออกในเวทีของโลกมนุษย์ อันที่จริงแล้วได้รับการเผยในจักรวาล ตามแผนนิรันดรของพระบิดาเจ้า ในแผนนั้นพระจิตเจ้าเป็นผู้ทรงริเริ่มเมื่อแรกสร้างโลก และได้รับการเปิดเผยในพันธสัญญาเดิม ได้สำเร็จไปอาศัยพระหรรษทานของพระเยซูคริสตเจ้า และยังดำเนินต่อไปในการสร้างใหม่ อาศัยพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน จนกระทั่งพระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในท่ามกลางพระสิริรุ่งโรจน์ในวาระการสิ้นสุดแห่งกาลเวลา การบังเกิดเป็นมนุษย์แห่งพระบุตรของพระเป็นเจ้า นับว่าเป็นผลงานอันสูงสุดของพระจิตเจ้า “อันที่จริงแล้ว การปฏิสนธิและการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้า นับเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระจิตเจ้า ในประวัติแห่งการสร้างและความรอด นับเป็นพระหรรษทานอันสูงสุด พระหรรษ-ทานแห่งความเป็นหนึ่งเดียว และเป็นแหล่งที่มาของพระหรรษทานทั้งหลาย การที่วจนาถทรงรับเอากาย นับเป็นเหตุการณ์ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงนำไม่เพียงมนุษย์ แต่บรรดาสิ่งสร้างและประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ให้มารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ตลอดไป
    หลังจากที่ได้ทรงปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางพรหมจารีมารีย์ ด้วยเดชะพระจิต (ดู ลก.1:35, มธ.1:20) พระเยซูเจ้าแห่งนาซาเรธ พระเมสสิยาห์และพระผู้ไถ่แต่เพียงพระองค์เดียว ทรงเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า พระจิตเสด็จลงมาเหนือพระองค์ ในขณะที่ทรงรับศีลล้าง (ดู มก.1:10) ทรงนำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร เพื่อจะได้ทรงรับพลังก่อนเสด็จออกเทศนาอย่างเปิดเผย (ดู มก.1:12, ลก.4:1, มธ.4:1) ในโรงธรรมที่นาซาเรธ พระองค์ได้ทรงเริ่มพระราชกิจในฐานะประกาศก โดยทรงนำเอาวิสัยทัศน์ของอิสยาห์ เรื่องการทรงเจิมของพระจิตเจ้ามากล่าวถึงพระองค์เอง ซึ่งบันดาลให้พระองค์ทรงประกาศข่าวดีให้แก่ผู้ยากไร้ ให้ผู้ถูกจองจำได้รับอิสรภาพ และทรงเริ่มกาลเวลาอันเป็นที่สบพระทัยของพระเจ้า (ดู ลก.4:18-19) อาศัยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนป่วย ทรงขับไล่ปิศาจอันเป็นเครื่องหมายที่สำแดงว่า พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าได้มาถึงแล้ว (ดู มธ.12:28) เมื่อเสด็จกลับคืนพระชนม์จากความตายแล้ว พระองค์ทรงส่งพระจิตให้เสด็จมาเหนือบรรดาสาสุศิษย์ พระจิตเจ้าซึ่งพระองค์ทรงสัญญาว่าจะทรงประทานให้แก่พระศาสนจักร เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปหาพระบิดา (ดู ยน.20:22-23)
    ทั้งหมดนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า พระพันธกิจแห่งการไถ่กู้ของพระเยซูเจ้านั้น มีเครื่องหมายอันแสดงให้เห็นว่า พระจิตเจ้าทรงประทับอยู่กับพระองค์อย่างแน่นอน เป็นชีวิต - ชีวิตใหม่ ในกาลเวลา การที่พระบิดาทรงส่งพระบุตร และการที่พระบิดาและพระบุตรทรงส่งพระจิตมานั้น ล้วนมีความสัมพันธ์และต่อเนื่องกันอย่างใกล้ชิด ภารกิจของพระจิตเจ้าในการสร้างและในประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้น ได้รับความหมายใหม่ ในชีวิตและพระพันธกิจของพระเยซูเจ้า “เมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจา ที่พระจิตเจ้าได้ทรงหว่านไว้ ได้เตรียมบรรดาสิ่งสร้าง ประวัติศาสตร์และมนุษย์ ให้ครบบริบูรณ์ในองค์พระคริสตเจ้า”
    บรรดาสมาชิกสมัชชาต่างแสดงความห่วงใย ที่มักจะมีแบ่งแยกระหว่างการทรงดำเนินงานของพระจิตเจ้า และพระเยซูเจ้าองค์พระผู้ไถ่ เพื่อเป็นการให้คำตอบกับความห่วงใยนี้ ข้าพเจ้าขอนำสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในสมณสาสน์ “พระพันธกิจขององค์พระผู้ไถ่” อีกครั้งหนึ่งว่า “(พระจิตเจ้า) จะทรงแทนที่พระคริสตเจ้ามิได้ พระองค์มิได้ทรงเป็นผู้ที่เสด็จเข้ามาเสริมเติมความว่างเปล่าระหว่างพระคริสตเจ้ากับพระวจนาถ (Logos) ตามที่คิดกันไป สิ่งใดก็ตามที่พระจิตเจ้าทรงนำมาในจิตใจมนุษย์ และในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ในวัฒนธรรมและศาสนา เป็นการเตรียมทางให้แก่พระวรสาร และเราจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อเอานำมาเชื่อมโยงกับพระคริสตเจ้า พระวจนาถผู้ทรงรับเอากายเดชะพระจิตเจ้า "เพื่อว่าในฐานะมนุษย์ที่ครบบริบูรณ์ พระองค์จะได้ทรงช่วยมนุษย์ทุกคน และทรงรวบรวมทุกสิ่ง"
    ดังนั้น การที่พระจิตเจ้าทรงประทับอยู่ทั่วไป มิใช่เป็นข้อแก้ตัว ที่จะไม่ประกาศพระเยซูคริสตเจ้าอย่างชัดเจนว่า ทรงเป็นพระผู้ไถ่แต่เพียงพระองค์เดียว ตรงกันข้าม การที่พระจิตเจ้าทรงประทับอยู่ในจักรวาล แยกไม่ออกจากความรอดอันเป็นสากลของพระเยซูเจ้า การที่พระจิตเจ้าประทับอยู่ในบรรดาสิ่งสร้างและประวัติศาสตร์ ย่อมมุ่งไปสู่พระเยซูคริสตเจ้า เหตุว่าในพระองค์ บรรดาสิ่งสร้างและประวัติศาสตร์ ได้รับการไถ่กู้และประสบความสำเร็จ การประทับอยู่และพระราชกิจของพระจิตเจ้า ทั้งก่อนการไถ่กู้ และในวันที่พระองค์เสด็จมาเหนือสาวก ล้วนมุ่งไปยัง
พระเยซูเจ้า และความรอดที่พระองค์ทรงนำมาเสนอ และการที่พระจิตเจ้าทรงประทับอยู่ในสากลจักรวาล ไม่สามารถแยกแยะไปจากพระราชกิจของพระองค์ ในพระวรกายของพระคริสตเจ้าคือ พระศาสนจักรได้